วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แบงก์แย่งดูดลูกค้า ประกันภัยรถยนต์ ผงะ! 8 ด.เบี้ยโตแค่ 0.02%

แบงก์แย่งดูดลูกค้า ประกันภัยรถยนต์ ผงะ! 8 ด.เบี้ยโตแค่ 0.02%

หลังจากช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ ธุรกิจประกันวินาศภัยเติบโตเฉลี่ยรวมกันเพียง 1.17% แต่เมื่อผ่านเดือน ส.ค.ไปแล้ว ปรากฎว่าทั้งระบบกลับมีผลงานแย่หนักกว่าเดิม โดยโตแค่ 0.02% จากมูลค่าเบี้ยปะกันรับตรงรวม 1.33 แสนล้านบาท ทำให้ต้องไปเหนื่อยยากกว่าเดิมในช่วงอีก 3-4 เดือนที่เหลือของปี แม้ว่าช่วงไตรมาส 4 จะเป็นช่วงต่ออายุกรมธรรม์ลูกค้ารายใหญ่ของหลายแห่งก็ตาม ซึ่งหลายค่ายหวังว่าเบี้ยจะเข้ามาชดเชยโปะยอดที่หายไปก่อนหน้านั้น     

แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการประกันวินาศภัยรายหนึ่ง กล่าวว่านอกจากสาเหตุภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนัก บวกกับไม่มีปัจจัยบวกจากโครงการต่างๆมาสนับสนุนภาพรวมให้ธุรกิจเติบโตเหมือนที่ผ่านมาแล้ว ปัญหาหลักสำคัญสำหรับปีนี้ คือ แบงก์พาณิชย์ที่ปล่อยกู้ให้ลูกค้าระดับกลาง-ใหญ่ ตัดสินใจใช้ฐานข้อมูลลูกหนี้ในมือบีบให้ลูกค้าต่ออายุกรมธรรม์กับบริษัทประกันภัยในเครือของแบงก์เอง ทั้งที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของลูกค้า แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพื่อแลกกับเงินสินเชื่อหมุนเวียนในธุรกิจ

“ปัญหานี้กำลังแพร่ระบาดในวงการมาก บริษัทประกันภัยเครือแบงก์ในกลุ่มท็อป 10 โดยในจำนวนนี้ไม่น้อยกว่า 3 ราย มีตัวเลขเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากการโยกลูกค้าเข้ามา ทำให้บริษัทประกันเดิมของลูกค้าธุรกิจหลายรายได้แต่ทำตาปริบๆ เพราะไม่มีอำนาจต่อรอง เบี้ยหายกันไปต่อหน้าต่อตาหลายแห่ง จากนั้นไปปูดอยู่กับรายอื่น วิธีนี้ถือว่าไม่ยุติธรรม เป็นการทำลายระบบและขาดธรรมาภิบาล แต่หน่วยงานเกี่ยวข้องก็ไม่สามารถลงมาทำอะไรได้ เพราะถือว่าเป็นการแข่งขันตามกลไกตลาด”

ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นการทำลายระบบตัวกลาง หรือนายหน้าประกันภัย เพราะบริษัทประกันภัยหลายแห่งในปัจจุบัน ทำตัวเป็นนายหน้าออกกรมธรรม์เอง เพื่อหวังกินรวบและสร้างตัวเลขผลประกอบการให้ออกมาดูดี แต่เมื่อเกิดเหตุจะต้องเคลมสินไหม กลับไม่สามารถให้คำปรึกษาเยียวยาลูกค้าได้ดีและมากเท่ากับนายหน้าที่เคยให้คำปรึกษาและแนะนำลูกค้าให้อย่างมืออาชีพ

ทั้งนี้ ผลประกอบการด้านเบี้ยประกันภัยช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ตามรายงานข้อมูลของสมาคมประกันวินาศภัยไทยและสำนักงานอัตราเบี้ยประกันวินาศภัย พบว่าบริษัทประกันภัย 10 อันดับแรก กวาดเบี้ยรวมกัน 7.91 หมื่นล้านบาท จากทั้งระบบ 1.33 แสนล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดรวมกัน 49.38% หรือเกือบ 50% ของทั้งระบบ 62 บริษัท

เบี้ยรับรวมในกลุ่มท็อป 10 ได้แก่ วิริยะประกันภัย 2.24 หมื่นล้านบาท ติดลบ 1.2% หรือหายไป 271 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน, ทิพยประกันภัย 1.16 หมื่นล้านบาท ติดลบ 3.28% เบี้ยหายไป 395 ล้านบาท, กรุงเทพประกันภัย 9.65 พันล้านบาท ติดลบ 0.22% เบี้ยหายไป 21.7 ล้านบาท, เมืองไทยประกันภัย 6.53 พันล้านบาท เติบโต 16.8% เบี้ยเพิ่มพรวด 939 ล้านบาท, สินมั่นคงประกันภัย 6.32 พันล้านบาท เติบโต 7.91% เบี้ยเพิ่ม 463 ล้านบาท

ประกันคุ้มภัย 5.63 พันล้านบาท ติดลบ 4.99% เบี้ยหายไป 295 ล้านบาท, โตเกียวมารีนประกันภัย 5.21 พันล้านบาท ติดลบ 10.71% เบี้ยหายไป 625 ล้านบาท, แอลเอ็มจีประกันภัย 3.98 พันล้านบาท ติดลบ 0.31% เบี้ยหายไป 12.5 ล้านบาท, มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ 3.95 พันล้านบาท ติดลบ 2.62% เบี้ยหายไป 106 ล้านบาท และธนชาตประกันภัย 3.74 พันล้านบาท เติบโต 1.8% หรือเบี้ยเพิ่ม 66 ล้านบาท

นอกจากกลุ่มท็อป 10 แล้ว ยังมีหลายแห่งน่าสนใจอีก เช่น อาคเนย์ประกันภัย มีเบี้ยรวม 3.08 พันล้านบาท เติบโต 17.25 หรือเบี้ยเพิ่ม 453 ล้านบาท, เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย 2.45 พันล้านบาท เติบโต 5.16% เบี้ยเพิ่มมา 120 ล้านบาท, บูพา ประกันสุขภาพ 1.86 พันล้านบาท เติบโต 30.55% หรือเพิ่มมา 436 ล้านบาท เพราะตลาดประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นได้รับความนิยมจากผู้บริโภคตามกระแสค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับซิกน่าประกันภัย 1.48 พันล้านบาท เติบโต 9.85% หรือเบี้ยเพิ่ม 133 ล้านบาท

เจ้าพระยาประกันภัย เบี้ยรวม 1.02 พันล้านบาท เติบโต 28.07% หรือเบี้ยเพิ่ม 225 ล้านบาท เพราะโหมโปรโมทภาพลักษณ์ผ่านการโฆษณาอย่างหนัก, KSK ประกันภัย เบี้ยรวม 873 ล้านบาท เติบโต 36.99% หรือเบี้ยเพิ่ม 235 ล้านบาท สวนทางกับไอโออิ ประกันภัยที่มีเบี้ยรวม 1.73 พันล้านบาท ติดลบ 11.37% หรือหายไป 227 ล้านบาท ตามภาวะตลาด ประกันภัยรถยนต์ ที่วูบลงไปมาก ขณะที่ไทยเศรษฐกิจประกันภัย เบี้ยรวม 694 ล้านบาท ติดลบ 27.55% เบี้ยหายวับไป 264 ล้านบาท หรือมากกว่า 1 ใน 3 สะท้อนสัญญาณน่ากลัวอันตรายไม่น้อย

เบี้ยประกันภัยรถยนต์ทั้งระบบ 7.86 หมื่นล้านบาท ติดลบเล็กน้อย 0.96% แต่มีไฮไลท์ที่มีการปรับเพิ่มและลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น สินมั่นคงประกันภัย 5.81 พันล้านบาท เติบโต 9.2% หรือเบี้ยเพิ่ม 489 ล้านบาท, ประกันคุ้มภัย 4.44 พันล้านบาท ติดลบ 6.25% เบี้ยหายไป 296 ล้านบาท, เมืองไทยประกันภัย 3.29 พันล้านบาท เติบโต 19.89% หรือเบี้ยเพิ่มมา 546 ล้านบาท, โตเกียวมารีนประกันภัย 2.32 พันล้านบาท ติดลบ 22.29% เบี้ยหายไปอย่างน่าตกใจ 668 ล้านบาท, อาคเนย์ประกันภัย 196 พันล้านบาท เติบโต 25.64% หรือเพิ่มมา 400 ล้านบาท และไทยเศรษฐกิจประกันภัย เบี้ยรวม 434 ล้านบาท ติดลบ 38.95% หรือหายไปเกินครึ่ง 277 ล้านบาท

เฉพาะในส่วนเบี้ยรถยนต์ภาคสมัครใจ ทั้บระบบ 6.83 หมื่นล้านบาท ติดลบ 1.14% เท่ากับเบี้ยหายไป 785 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยอดขายไม่กระเตื้อง แต่มีไฮไลท์ เช่น สินมั่นคงประกันภัย 5.12 พันล้านบาท เติบโต 8.46% เบี้ยเพิ่มมา 399 ล้านบาท, ประกันคุ้มภัย 4.19 พันล้านบาท ติดลบ 6.98% เบี้ยหายไป 314 ล้านบาท, เมืองไทยประกันภัย 3.11 พันล้านบาท เติบโต 20.69% เบี้ยเพิ่มพรวด 534 ล้านบาท สวนทางภาพรวมอุตสาหกรรม, โตเกียวมารีนประกันภัย 2.23 พันล้านบาท ติดลบ 22.24% เบี้ยหายไป 638 ล้านบาท, ไทยเศรษฐกิจประกันภัย 379 ล้านบาท ติดลบ 42.92% เบี้ยหายไปอย่างน่ากลัว 285 ล้านบาท

สำหรับเบี้ยที่ไม่ใช่รถยนต์ (นันมอเตอร์) รวมทุกประเภท 5.46 หมื่นล้านบาท เติบโต 1.48% หรือเพิ่มมา 794 ล้านบาท ที่โดดเด่น เช่น เมืองไทยประกันภัย 3.23 พันล้านบาท เติบโต 13.81% หรือเบี้ยเพิ่มมา 392 ล้านบาท, วิริยะประกันภัย 1.86 พันล้านบาท ติดลบ 15.13% หรือหายไป 332 ล้านบาท

เบี้ยนันมอเตอร์ที่มีการเติบโตโดดเด่น อยู่ในกลุ่มประกันภัยเบ็ดเตล็ด 4.37 หมื่นล้านบาท เติบโต 2.37% นำโดยเบี้ยประกันอุบัติเหตุ (PA) และเบี้ยประกันสุขภาพ (Health) โดย PA มีเบี้ยรวม 1.59 หมื่นล้านบาท เติบโต 5.35% หรือเพิ่มเข้ามา 812 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มท็อป 10 บริษัทแรก ล้วนแล้วแต่พร้อมใจเติบโตเพิ่มขึ้น มากน้อยแตกต่างกันไป ได้แก่ ทิพยประกันภัย, เอซ อินชัวรันซ์, เมืองไทยประกันภัย, สามัคคีประกันภัย, ซิกน่าประกันภัย, กรุงเทพประกันภัย, กรุงไทยพาณิชประกันภัย, นิวแฮมพ์เชอร์, โตเกียวมารีน และธนชาตประกันภัย

ส่วนประกันสุขภาพ 4.93 พันล้านบาท เติบโต 19.21% หรือเพิ่มขึ้น 795 ล้านบาท ท็อป 10 บริษัทอันดับแรกสำหรับเบี้ยกลุ่มนี้เติบโตกันหมด ได้แก่ บูพา ประกันสุขภาพ, ซิกน่าประกันภัย, กรุงเทพประกันภัย, มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์, โตเกียวมารีนประกันภัย, สามัคคีประกันภัย, วิริยะประกันภัย, แอกซ่าประกันภัย, ทิพยประกันภัยและประกันคุ้มภัย

ดังนั้น ช่วงที่เหลือของปี ต้องลุ้นกันว่าตัวเลขเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงมากน้อยเท่าไร หรืออาจอยู่ในระดับทรงตัว แต่หลายฝ่ายคาดว่าเนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของการขาย ไม่น่าชะลอตัวไปกว่าเดิม

ประกันภัยรถยนต์ เช็คเบี้ย

 

ประกันภัยรถยนต์ promotion



5 เทคนิคจอดรถในห้างฯไม่กลัวรถหาย #ประกันภัยรถยนต์ By:ASN Broker

5 เทคนิคจอดรถในห้างฯไม่กลัวรถหาย #ประกันภัยรถยนต์ By:ASN Broker

  ปัจจุบันมีการเหตุโจรกรรมรถยนต์เกิดขึ้นไม่เว้นในแต่ละวัน หรือเบาหน่อยก็คงเป็นการงัดแงะ ทุบ เพื่อฉกฉวยสิ่งของมีค่าในรถยนต์ ถ้าหากจอดไว้ในบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิดก็ดีหน่อย เพราะช่วยให้หัวขโมยทำมิดีมิร้ายได้ลำบากขึ้น แต่ถ้าจอดรถตามห้างสรรพสินค้าหรือที่จอดรถสาธารณะล่ะ จะรับมืออย่างไรดี?
     เราจะพาไปรู้จักเทคนิค 5 ข้อสำหรับจอดรถในห้างฯแบบไม่ต้องกลัวหัวขโมยกันครับ


     1. จอดรถในชั้นที่มีทางเข้าห้างฯเท่านั้น
     ห้างสรรพสินค้าบางแห่ง อาจแบ่งที่จอดรถออกเป็นสองชั้น ต่อชั้นของตัวห้างฯหนึ่งชั้น ทำให้เกิดเป็นชั้นครึ่งที่ไม่มีทางเข้าห้างโดยตรง จำเป็นต้องเดินขึ้น-ลงบันไดเพื่อไปยังชั้นที่มีทางเข้าตัวห้างฯ ซึ่งชั้นครึ่งเหล่านี้มักมีผู้คนเดินพลุกพล่านน้อยกว่าชั้นปกติ ทำให้หัวขโมยสามารถลงมือได้ง่ายขึ้น ทางที่ดีควรเลี่ยงชั้นครึ่งเหล่านี้ ไปจอดชั้นที่มีทางเข้าห้างสรรพสินค้าแทนเสียจะดีกว่า อย่างน้อยก็มีคนเดินผ่านไปผ่านมาช่วยเป็นหูเป็นตา

     2. จอดรถใกล้ทางเข้าห้างฯมากที่สุด
     นอกจากจะจอดรถในชั้นที่มีทางเข้าไปยังตัวห้างฯแล้ว ยังควรจอดรถใกล้กับประตูห้างฯด้วย เนื่องจากเป็นจุดที่มีคนเดินผ่านอยู่แล้ว หากจอดรถไว้ที่ไกลๆ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยวและลับตาคน เพิ่มความเสี่ยงต่อการโจรกรรมมากยิ่งขึ้น

     3. ตรวจสอบให้แน่ใจทุกครั้งว่าล็อคประตู
     เจ้าของรถควรดับเบิ้ลเช็ค หรือตรวจสอบซ้ำทุกครั้งหลังล็อคประตูรถ ว่าถูกล็อคเรียบร้อยแล้วจริงๆ ด้วยการดึงมือเปิดประตูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเปิดไม่ออก สำหรับรถบางรุ่นที่มีระบบ Keyless Entry ที่ใช้มือเปิดประตูแบบสัมผัส ก็เพียงก้มลงไปดูว่าตัวล็อคภายในถูกกดลงแล้ว
     เนื่องจากปัจจุบันหัวขโมยมีเครื่องมือที่สามารถส่งสัญญาณรบกวนคลื่นรีโมทของรถ ซึ่งหากเจ้าของรถไม่ตรวจสอบอย่างรอบคอบ ก็อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้โดยง่าย

     4. จอดรถในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ
     การจอดรถในที่มืด ช่วยให้เหล่ามิจฉาชีพทำงานได้สะดวกขึ้น เนื่องจากโอกาสที่จะถูกพบเห็นมีน้อยกว่า ทางที่ดีควรจอดในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพราะนอกจากตัวรถจะปลอดภัยขึ้นแล้ว ยังเพิ่มปลอดภัยต่อเจ้าของรถขณะอยู่เดินอยู่ในที่จอดรถอีกด้วย

     5. เก็บของมีค่าให้มิดชิดที่สุด
     ข้อนี้เป็นจุดที่คุณผู้หญิงส่วนใหญ่มองข้ามอยู่บ่อยๆ เนื่องจากบางคนมักเก็บกระเป๋าถือไว้ใต้เบาะคนนั่ง แล้วปล่อยให้สายกระเป๋าโผล่ออกมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งหัวขโมยก็จะรู้ทันทีว่ามีของมีค่าอยู่ใต้เบาะแน่นอน
     ทางที่ดีควรเก็บสิ่งของประเภทกระเป๋า อุปกรณ์ราคาแพงต่างๆ หรือแม้แต่ถุงที่มีลักษณะสวยงาม เช่น ถุงผ้าสักหลาด เอาไว้ในกระโปรงท้ายรถให้หมด ส่วนรถที่มีลักษณะแฮทช์แบ็คก็ควรปิดแผงบังตาไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้โจรพบเห็นสิ่งของได้ง่าย

     แม้ว่าที่กล่าวมานั้น อาจไม่ช่วยป้องกันมิจฉาชีพได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงลงได้เป็นอย่างดี
ที่มา : http://auto.sanook.com/
Asn Broker ประกันภัยรถยนต์ http://www.asnbroker.co.th

 

ประกันภัยรถยนต์



วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หากก๊าซฯในอ่าวไทยหมดอีก 6-8 ปีข้างหน้า อนาคต LPG จะมาจากไหน? รัฐต้องทบทวน #ประกันภัยรถยนต์

หากก๊าซฯในอ่าวไทยหมดอีก 6-8 ปีข้างหน้า อนาคต LPG จะมาจากไหน? รัฐต้องทบทวน #ประกันภัยรถยนต์

เราไม่อาจปฏิเสธว่า ก๊าซหุงต้มหรือ LPG เป็นสินค้ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนทั้งประเทศ แต่ปัญหาที่คนไทยต้องเผชิญในอีก 6-8 ปีข้างหน้า จะพบว่า แหล่งผลิตก๊าซหุ้งต้มในประเทศ ที่ได้จากอ่าวไทยกำลังจะหมดไป เราต้องหันไปนำเข้าเกือบ 100%  

     สิ่งที่คนไทยหันมาตระหนัก คงต้องเน้นการใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และราคาต้องสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง  ซึ่งเป็นเพียงหนทางเดียวที่ไทยจะยังคงมีความมั่นคง ที่มีLPGใช้ในระยะยาวต่อไป  การแก้ไขปัญหาจึงต้องครบวงจร มีการบริหารความต้องการใช้อย่างบูรณาการ ทั้งด้านอุปสงค์ หรือการใช้LPGให้ถูกต้อง ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต และมองการจูงใจให้เกิดการจัดหา LPG เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
     เมื่อพิจารณาในแง่ของการใช้ปัจจุบันแยกเป็น LPG ภาคครัวเรือนซึ่งมีการใช้มากสุด รองลงมาเป็นภาคปิโตรเคมี ภาคขนส่งและ ภาคอุตสาหกรรม ตามลำดับ ซึ่งที่ผ่านมารัฐใช้นโยบายควบคุมราคาให้ต่ำกว่าต้นทุนหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ทั้งในส่วนของ LPG ครัวเรือนและภาคขนส่ง ขณะที่การนำเข้าLPGจากต่างประเทศที่มีราคาแพง แต่ราคาที่ต่ำรัฐได้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันมาอุดหนุนส่วนต่างราคา   โดยขณะนี้ราคาLPGครัวเรือนอยู่ที่ 22.63 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) LPG ขนส่งอยู่ที่  22 บาทต่อกก. (มีผลตั้งแต่ 1ต.ค.57)   แต่ต้นทุนราคาหน้าโรงแยกก๊าซฯอยู่ที่ 24.82 บาทต่อกก.(ราคาที่ถูกตรึงไว้หน้าโรงแยกก๊าซที่ 333 เหรียญต่อตัน) ขณะที่ต้นทุนการจัดหาอยู่ที่ประมาณ 27.85 บาทต่อกก.ดังนั้นหากจะให้สะท้อนกลไกตลาดก็ควรจะสะท้อนไปที่ต้นทุนการจัดหา

     อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องพิจารณาคือราคา LPG ขนส่งนั้นต่ำกว่าครัวเรือน แนวทางราคาจึงควรจะเท่ากันโดยเฉพาะขนส่งนั้นเป็นภาคที่มีอัตราการขยายตัวมากที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากราคาขายปลีกต่ำกว่าน้ำมันเบนซินมาก โดยราคา LPG ภาคขนส่งที่ 21.38 บ./กก. ในปัจจุบัน เทียบเท่า 11.55 บ./ลิตร (ในขณะที่ราคาขายจริงในสถานีบริการ LPG จะสูงกว่าที่ 12 – 14 บ./ลิตร เนื่องจากไม่มีการควบคุมค่าการตลาดของผู้ค้า ซึ่งค่าการตลาดที่ผู้ค้าได้จริงจะมากกว่า 3 บ./ลิตร หรือกว่า 6 บ./กก.) ราคาเมื่อเทียบค่าความร้อนที่เท่ากับน้ำมันเบนซินจะประมาณ 15 บ./ลิตร ซึ่งต่ำกว่า E10 ที่ประมาณ 38 บ./ลิตรอยู่มาก ดังนั้นการใช้ LPG ที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นอุปสรรคต่อนโยบายการส่งเสริมการใช้เอทานอลที่ผลิตได้ในประเทศ ในขณะที่การจัดหา LPG รองรับการใช้เพิ่มขึ้นในภาคขนส่งต้องมาจากการนำเข้า (หากไม่มีการกระตุ้นการจัดหาในประเทศมากขึ้น)
     การใช้ LPG ในครัวเรือนเพื่อใช้ในก๊าซหุงต้มมีความจำเป็นต่อชีวิตความเป็นอยู่และมีผลกระทบต่อค่าครองชีพสำหรับผู้มีรายได้น้อย แต่เป็นภาคที่มีการใช้มากที่สุดถึง 2.4 ล้านตัน/ปี การใช้กลไกการควบคุมราคาให้ต่ำเพื่อชดเชยค่าครองชีพจะต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่การอุดหนุนทั้งระบบก็พบว่ากลับมีการช่วยคน ที่ไม่ได้จนจริงและอีกส่วนทำให้เกิดการลักลอบไปยังประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดนและกองทุนน้ำมันฯที่ชดเชยราคาที่ต่ำที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันฯกลายเป็นว่าเราไปช่วยเพื่อนบ้านด้วยไม่ใช่แค่คนไทยกันเอง

     ดังนั้นการใช้กลไกการช่วยเหลือโดยตรงกับผู้มีรายได้น้อย หลายรัฐบาลพยายามหามาตราการช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบให้กับผู้มีรายได้น้อย พร้อมๆไปกับทยอยปรับราคาเพื่อให้ราคาสะท้อนต้นที่แท้จริง  เห็นได้รัฐบาลสมัยปี  2556  มีการทยอยปรับราคา  จากราคา 18.13 บ./กก. เป็น 24.82 บ./กก. ทำให้การใช้ในปี 2556 ปรับลดลง   2.409 ล้านตัน/ปี หรือลดลง 20% จากปี 2555 ที่มีการใช้อยู่ที่ 3.047 ล้านตัน/ปี
     อย่างไรก็ตามมีคนเปรียบเทียบว่ารัฐบาลอเมริกายังส่งเสริมให้ใช้ LPG ในภาคขนส่งได้ แต่นั่นก็เพราะความโชคดีที่สหรัฐอเมริกามีการค้นพบแหล่งก๊าซขนาดใหญ่ (Shale gas)       และนำมาแยกโพรเพนใช้ในบ้านและรถยนต์ จากเดิมที่ต้องนำเข้าโพรเพน วันนี้อเมริกาส่งออกโพรเพนจำนวนมาก ดังนั้นการส่งเสริมใช้ LPG ในภาคขนส่งจึงมีส่วนช่วยพัฒนาการจัดหา shale gas และสร้างโรงแยกก๊าซฯ เพิ่มขึ้น เป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ แต่ราคาขาย LPG ในภาคขนส่งในอเมริกาไม่มีการควบคุมหรืออุดหนุนราคา โดยอยู่ที่ 42.5 บ./กก. ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยมาก

     ขณะที่ประเทศไทยอดีตการค้นพบก๊าซในอ่าวไทย ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นก๊าซเปียกที่สามารถนำมาแยกเพื่อป้อนอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้รัฐบาลสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงมีแนวคิดสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่จ.ระยองภายใต้แผนพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบัน แต่การจัดหาจากอดีตที่พอใช้เวลานี้ LPG ต้องนำเข้ามาเสริมกับความต้องการเพิ่มขึ้นจากปี 2551 ถึงขณะนี้นำเข้ามากกว่า 10 ล้านตันขณะที่อนาคตก๊าซฯในอ่าวไทยที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติประเมินหากไม่มีการจัดหาเพิ่มจะทยอยหมดใน 6-8 ปีข้างหน้า
     การที่มีเสียงเรียกร้องบางส่วนให้รัฐบาลเรียกกลับเอา LPG มาใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือจัดสรรให้กับประชาชนเป็นหลักไม่ให้ปิโตรเคมี คงต้องพิจารณาถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในขณะที่ไทยยังคงมีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอยู่ นอกจากนี้สัญญาซื้อขาย LPG เป็นวัตถุดิบของโรงงานโอเลฟินส์ Gas-based ล้วนเป็นสัญญาซื้อขายระยะยาวกับบริษัทเอกชนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ การแทรกแซงสัญญาระยะยาวที่มีอยู่เดิม อาจส่งผลต่อเนื่องถึงตลาดทุนและความเชื่อถือของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอีกด้วย

     ดังนั้นการสร้างความมั่นคงในการจัดหา LPG นอกจากที่จะพิจารณาการลอยตัวราคาขายของผู้ผลิตให้สะท้อนต้นทุนหรือตลาดโลกแล้ว เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการผลิต LPG ในประเทศ คงต้องพิจารณาว่าในอนาคตเมื่อก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเริ่มลดลง การผลิต LPG จากโรงแยกก๊าซฯจะลดลงตาม เราจะหา LPG ในระยะยาวจากไหน ซึ่งในปัจจุบันเรานำเข้า LPG จากตะวันออกกลาง แต่ในอนาคตเมื่อ shale gas ในอเมริกา ก็จะมีการส่งออกโพรเพนมากขึ้นจากอเมริกา ดังนั้นการนำเข้าโพรเพนจากอเมริกาก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่หมายถึงจะต้องมีการศึกษาการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านถังเก็บผลิตภัณฑ์และท่าเทียบเรือรองรับ รวมทั้งการหาพันธมิตรในภูมิภาคเพื่อให้เกิดความประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) เพื่อช่วยลดต้นทุนนำเข้า
     การบริหารความต้องการใช้และการสร้างความมั่นคงทางการจัดหาจะไม่สามารถบรรลุผล หากไม่มีการทบทวนการควบคุมราคา LPG โดยกระแสโลกปัจจุบันจะมุ่งสู่การลอยตัวราคาพลังงาน เพราะนอกจากจะช่วยให้การใช้มีประสิทธิภาพ เพิ่มการจัดหา ยังช่วยให้ลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งจากการประหยัดการใช้ และยังเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้เชื้อเพลิงภาคอื่น ที่ปัจจุบันกองทุนเรียกเก็บเพื่อนำมาอุดหนุนราคา LPG พร้อมกับช่วยส่งเสริมการใช้เอทานอลซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่ผลิตได้เองในประเทศอีกด้วย

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

 

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันรถยนต์ ชั้น1, ชั้น2พลัส, 3พลัส พรบ. ต่อประกันรถยนต์ จากบริษัท ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ โดย ASN Broker



ประกันปลายปีซึมลึก ศก.ดิ่ง-ลุ้น Q4 เร่งตัว #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

ประกันปลายปีซึมลึก ศก.ดิ่ง-ลุ้น Q4 เร่งตัว #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

ตัวเลขเบี้ยประกันวินาศภัยรวมในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.2557) เพิ่มขึ้นแค่ 1.17% ด้วยมูลค่าเบี้ยรวม 1.18 แสนล้านบาทนั้น สะท้อนอย่างดีว่าแนวโน้มตลอดปีนี้ จะไม่เติบโตมากไปกว่าปี 2556 ที่ทำเบี้ยรวมทั้งธุรกิจได้ 2.03 แสนล้านบาท เพราะเหลือเวลาอีก 5 เดือนนั้น ไม่น่าจะสปีดตัวเลขให้ได้เทียบเท่าปีก่อน
ยิ่งย่างเข้าสู่โค้งท้ายของปีที่เหลือเวลาอีกเพียง 2-3 เดือน ซึ่งโดยปกติแล้ว จะเป็นช่วงที่ธุรกิจต้องคึกคักเหมือนเช่นทุกปี จากปริมาณงานต่ออายุของลูกค้ารายใหญ่ที่เริ่มทยอยเข้ามา แต่ดูเหมือนปีนี้จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะโครงการลงทุนใหม่ๆทั้งของภาครัฐและเอกชนยังไม่ได้เกิดในปีนี้ จึงทำให้ธุรกิจประกันภัยไม่ได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย
ขณะที่งานลูกค้าเก่า ทั้งรายใหญ่และรายย่อย ล้วนแล้วแต่แข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะการตัดราคา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งธุรกิจเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องแข่งขันเพื่อความอยู่รอด จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เบี้ยประกันภัยในตลาดโดยรวมปรับลดลงไปอีก
ยกตัวอย่าง เบี้ยประกันภัยรถยนต์ในปีนี้ นอกจากไม่ได้อานิสงส์จากยอดขายรถใหม่ที่หดวูบไปเกือบ 40% แล้ว จำต้องหันไปแข่งดุเดือดในทุกๆประเภทการประกันภัย ซึ่งวิธีที่ง่ายสุด คือ การตัดราคา หรือเสนอส่วนลด ขณะที่สิทธิประโยชน์ความคุ้มครองยังเท่าเดิม ไม่นับกรณีลูกค้าจำนวนมากที่มีปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ต้องเปลี่ยนแบบประกันไปหากรมธรรม์ราคาถูกกว่าเดิม ซึ่งไม่มีประโยชน์สำหรับบริษัทประกันภัยรถยนต์ที่ต้องเลือกวิธีการทำธุรกิจแบบนี้ เพราะเสี่ยงต่อการขาดทุน
ส่วนการประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (นันมอเตอร์) ยังตลบอบอวลไปด้วยการแข่งขันไม่แพ้เบี้ยรถยนต์เช่นกัน เพราะนอกจากไม่มีงานใหม่งอกออกมาให้แข่งขันกันแล้ว งานเก่าในมือก็ต้องเร่งรักษาฐานลูกค้าเดิมของใครของมันเอาไว้ให้เหนียวแน่นเช่นกัน
ภาวะตลาดอ่อนตัว (ซอฟต์มาร์เก็ต) ที่เกิดจากการแข่งขันรุนแรงเช่นนี้ ย่อมไม่เอื้อต่อการเติบโตให้กับธุรกิจประกันภัยโดยรวมในปีนี้ ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของผู้ประกอบการน้อยใหญ่ที่ต้องเร่งหาทางแก้ไข ซึ่งประกันภัยจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมีกำไรยั่งยืนได้นั้น ไม่เพียงต้องขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่จะต้องขึ้นอยู่กับวิธีการบริหารจัดการที่ดีด้วย เฉพาะอย่างยิ่งการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย นอกเหนือจากแผนการตลาดที่ยอดเยี่ยมและเดินไปให้ถูกทาง
ดังนั้น การแข่งขันลดราคาอย่างไม่สมเหตุสมผล ซึ่งไม่ได้เกิดจากกลไกตลาดที่แท้จริง จึงไม่ใช่การตอบโจทย์ที่ถูกต้องแต่อย่างใด
แหล่งข่าวระดับสูงในวงการประกันวินาศภัยรายหนึ่ง กล่าวว่าเบี้ยประกันภัยรวม 7 เดือน ทั้งระบบทำได้แค่ 1.18 แสนล้านบาท ทำให้ช่วงที่เหลือ ถือเป็นความยากลำบาก เพราะตลาดไม่ขยายตัว ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ภาวะธุรกิจส่งออก ธุรกิจการผลิตอุตสาหกรรมอื่นๆด้วย ดังนั้นหลายแห่งต้องเผชิญความลำบากในช่วงเวลาที่เหลืออย่างแน่นอน
ประกันภัยรถยนต์

ปัญหาที่ตามมาภายหลังการแข่งระดมเบี้ยกันอย่างหนัก คือ คุณภาพงานเหล่านั้น จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำกำไรมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะเห็นได้ว่าบริษัทประกันภัย 10 อันดับแรก จากทั้งหมด 62 บริษัท กุมส่วนแบ่งการตลาดรวมกันถึง 60% นอกนั้นที่เหลืออีก 40% เป็นส่วนแบ่งการตลาดของอีก 52 บริษัท สะท้อนภาวะธุรกิจที่ไม่มีความสมดุล
ปัญหา คือ เมื่อทุกแห่งแข่งเหมือนกันหมด แต่ได้งานและโค้ดราคาเบี้ยประกันแบบคุณภาพต่ำ ยังไม่นับโอกาสเกิดสินไหม หรือมีเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ๆร้ายแรงมาสอดแทรก ย่อมสะท้อนไปถึงผลประกอบการขาดทุนในระยะถัดไป เมื่อบริษัทไม่มีกำไร ย่อมกระทบต่อฐานะการเงินและความมั่นคงในอนาคต กรณีนี้บริษัทประกันภัยกว่าครึ่งระบบจะประคองตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยอย่างไร เพราะเบี้ยประกันกว่า 60% ตกอยู่ในมือของ 10 บริษัทแรก ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของระบบไม่เท่าเทียมกัน
เมื่อบริษัทมีปัญหาฐานะการเงิน ซึ่งอาจเกิดจากหลายๆสาเหตุ ไม่เฉพาะสาเหตุทุจริต หรือทำธุรกิจไม่โปร่งใส ก็จะเกิดปัญหาความเชื่อมั่นต่อลูกค้าผู้เอาประกัน ทำให้ต้องเพิ่มทุน หรือตัดสินใจขายธุรกิจออกไป แต่ถ้าทำไม่ได้ ย่อมมีปัญหาตามมา กระทั่ง คปภ.ออกคำสั่งลงโทษ หนักสุดต้องสั่งปิดไป กองทุนประกันวินาศภัยต้องช่วยเหลือตามมา ก็ถือเป็นความไม่ยุติธรรมต่อบริษัทที่ทำธุรกิจถูกต้องโปร่งใส ซึ่งต้องใส่เงินเข้ากองทุนแทนที่ คปภ.จะมุ่งเน้นกำกับหรือควบคุมวิธีการแข่งขันในธุรกิจให้ถูกต้องมาตั้งแต่ต้นทาง ดีกว่ามาเป็นภาระภายหลัง กลายเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุและไม่ถูกจุด แหล่งข่าวกล่าว
นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่าภาพรวมธุรกิจช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ เติบโตเฉลี่ยราว 3% ซึ่งดีกว่าช่วง 7 เดือนแรกที่โตแค่ 1.17% ซึ่งเป็นภาวะซึมลึกมาตั้งแต่ปี 2556 ที่โตรวม 13% จากนี้คงต้องลุ้นว่าไตรมาส 4 หรือ 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ จะกระเตื้องขึ้นมาบ้างหรือไม่แค่ไหน เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมา ยังไม่ได้เดินเครื่องเต็มกำลัง ทำให้เม็ดเงินยังไม่เข้าระบบ โดยจะเริ่มเห็นผลเต็มที่ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2558 ไปแล้ว
ธรรมชาติของธุรกิจประกันภัยจะโตตามหลังภาพรวมทางเศรษฐกิจ หรือโตอย่างน้อย 2 เท่าของจีดีพี ปีนี้ซบเซา เพราะฐานการโตจาก 2-3 ปีก่อนค่อนข้างสูง แม้เริ่มชะลอในปีก่อนไปบ้าง ธุรกิจประกันภัยมักจะโตแรงในช่วงไตรมาส 1 และ 4 ของแต่ละปี เพราะเป็นช่วงที่งานต่ออายุใหญ่ๆจะเข้ามาจำนวนมาก ดังนั้นช่วงไตรมาส 2-3 ของแต่ละปี มักจะไม่มีการเติบโตที่ร้อนแรง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ นายอานนท์กล่าว.

ขอบคุณเนื้อหา ที่มา: http://www.mittare.com/index.php?q=node/70/4406/MITTARE

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

 

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันรถยนต์ ชั้น1, ชั้น2พลัส, 3พลัส พรบ. ต่อประกันรถยนต์ จากบริษัท ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ โดย ASN Broker



วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คู่มือการเที่ยวเทศกาลยี่เป็งเชียงใหม่ ฉบับเด็กเกรียน (UNOFFICIAL) By:ASN Broker #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

คู่มือการเที่ยวเทศกาลยี่เป็งเชียงใหม่ ฉบับเด็กเกรียน (UNOFFICIAL) By:ASN Broker #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

ขอบคุณเนื้อหาที่มา: http://www.reviewchiangmai.com/865


ต้องขอบอกก่อนว่าคู่มือฉบับนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวไม่ใช่ฉบับทางการ แต่ทุกเหตุการณ์ในคู่มือฉบับนี้ล้วนมาจากเรื่องจริง ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวที่เจ๋งไปพบเจอมาเองตลอดระยะเวลา 7ปี ที่อยู่เชียงใหม่ เพราะเทศกาลยี่เป็งเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เคยพลาดเลยสักปี

แม้ว่าจะมีคู่มือ หนังสือ เว็บไซต์ แนะนำสถานที่ กำหนดการต่างๆออกมามากมาย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่านักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่ยังไม่เคยไป หลายคนอาจรู้ หรือไม่รู้ว่า ท่านกำลังจะต้องเจอเหตุการณ์แบบไหนในสถานที่นั้นๆ  และควรรับมือกับมันยังไง

เพราะเหล่าฝูงชนหลักแสน หลักหมื่นคน ที่ต่างเดินทางมาร่วมงาน ต่างเป็นช่วงเวลาสำคัญของคนรักการถ่ายภาพ เป็นนาทีทองของคู่รักที่นัดพบกันเพื่อพลอดรัก เป็นแหล่งรวมของสงครามประทัดมหาประลัย เป็นโอกาสทองของนักเลงที่ต้องการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของหมู่บ้านตนเอง และเป็นข้ออ้างของนักดื่มที่ใช้เทศกาลเป็นเครื่องมือในการหาเรื่องเมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา และเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี

เที่ยวที่ไหน? (ในตัวเมือง)


1.ข่วงประตูท่าแพ, ข่วงอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
สถานที่สุดฮิตของคู่รักและช่างภาพ ที่ทุกปีจะมีคู่รักและช่างภาพไม่ต่ำกว่าพันชีวิต เดินเที่ยวชมการจัดแสดงความสวยสดงดงามของโคมล้านนาและโคมไฟหลากสีสัน ซึ่งแน่นอนว่าท่านจะไม่พลาดเห็นภาพถ่ายของเพื่อนตามสถานที่เหล่านี้ได้ในหน้า Feed ของ Facebook และ Instagram อย่างแน่นอน ในส่วนนี้ถือว่าปลอดภัยต่อคนแก่หรือผู้สูงอายุที่สุด พราะน้อยมากที่จะได้ยินเสียงความรุนแรงจากการเล่นประทัด 


2.สะพานนวรัตน์, ขัวเหล็ก
ถือเป็นโซนกาพย์สงครามประทัดขนาดย่อมยามค่ำคืนตลอดแนวสะพานลามไปถึงริมน้ำปิง ทุกปีจะมีกลุ่มวัยรุ่นหญิงชายทุกเพศทุกวัย ต่างนำอาวุธประจำตัวของตนเองออกมาสำแดงอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร ตั้งแต่กระเทียม ไฟเย็น จนถึงประทัดที่มีเสียงใกล้เคียงกับระเบิด นำมาวาดลวยลาย ท้าดวลกันบนสะพาน หรือจะโยนลงน้ำก็ตามแต่ แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวผ่านไปมา ก็ไม่มีใครหวั่น หรือต้องเกรงใจกันแล้วนาทีนี้ คำแนะนำคือ เสี่ยง แต่ถ้าอยากลองก็ลองไปกันได้นะ คือท่านจะได้เห็นทั้งความงดงามของประทัดยักษ์หลากสี เสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวตลอดเวลา จนถึงกลุ่มควันยักษ์ที่ลอยคละคุ้งอยู่เต็มสะพาน ตลอด 7ปีที่ผมมาอยู่นี่ สะพานแห่งนี้ยังเป็นสนามประลองยามค่ำคืนที่ไม่เคยหลับใหลทุกปี



3. ถนนเจริญราษฎร์ เส้นวัดเกต ข้างสะพานนวรัฐ
อยากได้ประทัดฉับไวให้มาที่นี้ แทบจะเรียกว่าปิดถนนเดิน ปิดถนนขายกันเลยทีเดียว เมื่อหลายปีก่อนถือว่าเป็นทำเลทองคำของสิงห์นักดื่มที่เยอะที่สุดเลยครับ แต่มีเรื่องและอุบัติเหตุบ่อย จนทางเทศบาลเขาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บริเวณนี้ คือเมื่อก่อนทุกปีจะมีแม่ค้ามาตั้งโต๊ะขายเครื่องดื่มมึนเมา รวมถึงขายประทัด (ปัจจุบันยังขายอยู่) เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทรัพย์น้อยไม่มีหลักแหล่ง มักจะมานั่งดื่มและเล่นประทัดบริเวณใต้สะพานกัน เพราะพื้นที่กว้างขวาง อีกทั้งบรรยากาศดี ติดริมน้ำ มีเสียงเพลงจากร้านผับบาร์ด้านข้างให้ฟัง เรียกว่าคุ้มสุดๆ ไม่ต้องไปแออัดหาร้านไหนไกล แม้ว่าปัจจุบันจะยังมีคนมาเล่นประทัดอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงเหมือนก่อน (จะมีบ้างก็บางครั้ง) ซึ่งโซนนี้อันตรายมาก เพราะมีวัยรุ่นที่มาจากหลากหลายอำเภอเข้ามาแสดงแสนยานุภาพเยอะมาก มีเรื่องชกต่อยกันบ่อย และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีการตั้งเวทีการแสดงดนตรี คอนเซปท์ไร้แอลกอออล์ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย


4.ร้านผับบาร์ ตลอดสาย เช่น ริเวอร์ไซด์,กู้ดวิว ฯลฯ
ทำเลทองทุกปีของสิงห์นักดื่ม ยอดขายที่ถล่มทลายของร้านผับบาร์ โต๊ะภายในร้านถูกจับจองกันข้ามวัน ไม่มีที่ว่างสำหรับคนช้า เต็มไปด้วยหญิงชายหน้าตาดีที่แต่งตัวมาประชันโฉมพร้อมลีลาโยกย้ายส่ายสะโพก คือได้ทั้งลอยกระทงและความเมาไปพร้อมกัน เพราะร้านเหล่านี้ติดริมน้ำพอดิบพอดี บรรยากาศก็ดี ดนตรีก็เพราะ ใครล่ะไม่อยากไป?


5. ด้านหลังศูนย์การจราจร ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่
เมื่อประมาณ 4-5ปีก่อน ตรงส่วนนี้เป็นแหล่งที่เจ๋งไปเป็นประจำทุกปี จะเป็นลานกว้างๆ ให้เดินลงไป บรรยากาศดีมาก เงียบสงบ มีลานเบียร์ให้นั่งดื่มกินด้วย มีคู่รักคนไทย และชาวต่างชาติมาปล่อยโคม ลอยกระทง จุดประทัด (ไม่ดัง) เล่นไฟเย็น อีกทั้งตรงข้ามเป็นริเวอไซด์ครับ มีเสียงเพลงมันๆลอยมาตามลม ถือว่าน่ามานั่งดื่มรับลมเย็นสุดๆ แต่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งสงครามขนาดย่อมของทุกหมู่เหล่าไปแล้วครับ มีทั้งคนขายและคนซื้อ ขนมาทั้งประทัดชุดใหญ่ แบบอาวุธสงคราม ที่สำคัญคนเยอะมาก ไม่มีโต๊ะอะไรให้นั่งอีกทั้งเป็นลานกว้างเสี่ยงต่อการโดนสะเก็ดไฟ และแส้ป๊าว (ประทัดทำมาจากก้านมะพร้าวมัดติดกับเขม่าดินปืน) ตกใส่หัวอย่างยิ่ง


6.คันคลองหน้าภูฟ้าเพลส เจ็ดยอด ตรงข้ามร้าน Fine Thanks
บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยเหล่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อดังแถบนั้น มีกระทง โคมลอย ประทัดวางขายตามริมถนนตลอดทาง มีการเล่นประทัดกันริมฟุตบาทอีกฝั่งถนน เพื่อโยนลงคลอง ใครขับขี่รถผ่านแถวนั้น ถ้าเป็นจักรยานยนต์แส้ป๊าว อาจเฉี่ยวโดนหัวท่านได้ รถยนต์ก็อาจเป็นรอยได้ครับ

7. หน้าเทศบาลนครเชียงใหม่
โซนนี้ถือเป็นโซนแห่งความสุขของนักท่องเที่ยวครับ แต่แออัดด้วยปริมาณคนแบบสุดๆ จะมีกิจกรรมหลากหลายอย่างที่หน่วยงานต่างๆร่วมกันจัดขึ้น เช่น การแสดงพลุ แพกลางน้ำ การประกวดขบวนแห่, กระทงใหญ่, โคมลอย, ทำกระทง, การปล่อยกระทงสาย ฯลฯ และมักเป็นจุดสุดท้ายที่ขบวนแห่ต้องเดินผ่าน เรียกได้ว่า ถ้าอยากได้ความประทับใจที่มีครบทุกรส ก็ให้มาที่นี่


เตรียมตัวยังไง?


1.การแต่งกาย
ที่สำคัญสุดๆคือ อย่าใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ เพราะขาอ่อนของท่านอาจโดนสะเก็ดไฟจากประทัดได้ หรือบางครั้งก็อาจโดนเหยียบเท้าจากใครก็ไม่รู้  ยิ่งในสถานที่ที่มีคนชุกชุม ควรแต่งกายมิดชิด แต่งกายล่อตะเข้ไปท่านอาจโดนถ้ำมอง ลวนลาม แอบถ่ายคลิปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งคนพลุกพล่าน การที่จะควานหาตัวคนกระทำความผิดยิ่งยาก คำแนะนำคือแต่งตัวเหมือนไปเดินป่าเซฟสุด หรือจะแต่งชุด Bike Suit เหมือนในรูปก็ได้นะถ้ากล้าพอ



2.เงิน,ของมีค่า
ไม่ควรพกเงิน เครื่องประดับหรือของมีค่าที่ราคาแพงไปเยอะอย่างที่บอกไว้ คนยิ่งเยอะ มิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาประสงค์ร้ายก็เยอะ แต่ควรพกเศษเหรียญไปเยอะหน่อย เพื่อซื้อของจุกจิก กินเล่น เช่นกระทง ประทัด หรือเศษเหรียญใส่กระทง  และที่สำคัญคือค่าที่จอดรถจักรยานยนต์ 10บาท 20 บาท รถยนต์ 50-100 บาท


3.ไฟแช็ค
อันนี้สำคัญมากไหนจะต้องจุดธูป จุดเทียน ปล่อยโคม จุดประทัด เปิดขวด เปิดโซดา? ปกติขาย 5บาท แต่เทศกาลแบบนี้ 20 บาทก็เจอมาแล้ว ไม่แนะนำให้ใช้ไม้ขีดเพราะลมแรง กว่าจะติดก็เสียเวลา


4.กล้องถ่ายรูป
จะกล้องมือถือหรือกล้องชนิดใดล้วนสามารถใช้บันทึกภาพความประทับใจ เหตุการณ์สำคัญให้ท่านได้ ภาพถ่ายที่ได้มาถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยย้ำเตือนสิ่งที่ดีและไม่ดีที่เราเคยทำทั้งในอดีตและปัจจุบัน ดังนั้นไปเที่ยวที่ไหน อย่าไปตัวเปล่า เก็บภาพไว้สักนิดสักหน่อย เอาไว้อวดลูกอวดหลานในอนาคตก็ยังดี


5.พาหนะในการเดินทาง
ตั้งแต่ 20.00 น. เป็นต้นไป รถจะติดถึงขีดสุด การจราจรวิบัติมาก ท้องถนนเต็มไปด้วยรถจักรยานยนต์ ที่จอดรถยนต์จึงหายาก แต่ก็มีตามร้านรับฝากรถตามสถานที่ต่างๆ ราคาเริ่มต้น 50-100 บาท แนะนำให้ใช้จักรยานหรือจักรยานยนต์จะคล่องตัวที่สุดครับ
ภาพจาก :panoramio.com
ขอบคุณเนื้อหา ที่มา: http://www.reviewchiangmai.com/865

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

 

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันรถยนต์ ชั้น1, ชั้น2พลัส, 3พลัส พรบ. ต่อประกันรถยนต์ จากบริษัท ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ โดย ASN Broker



ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ผู้ช่วยคนสําคัญของสาวๆ นักขับ #ประกันรถเก๋ง #ต่อประกันรถยนต์

ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ผู้ช่วยคนสําคัญของสาวๆ นักขับ #ประกันรถเก๋ง #ต่อประกันรถยนต์

ในยุคปัจจุบันมีสาวๆ จํานวนไม่น้อยเลยที่เลือกขับรถเองมากกว่าจะใช้ขนส่งมวลชนหรือรถสาธารณะ จะเพื่อความสะดวกหรือเพื่อความปลอดภัยเมื่อต้องกลับบ้านในยามค่ํามืด
สิ่งหนึ่งซึ่งสําคัญมากที่ผู้หญิงต้องคํานึงถึงเมื่อขับรถนอกเหนือจากการดูแลสภาพรถ และการมีสติขับขี่ด้วยความระมัดระวังแล้วคือการหาตัวช่วยที่จะสร้างความอุ่นใจเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น
นางกิติยา ฤกษ์ภูริทัต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก พบว่าภายในระยะเวลา 1 ปี มีสถิติคดีอุบัติเหตุจราจรทางบกเฉลี่ยกว่า 60,000 ราย หรือประมาณ 7 รายใน 1 ชั่วโมง ก่อให้เกิดความเสียหายรวมมูลค่าเกือบ 700 ล้านบาท การทําประกันรถยนต์จึงเป็นสิ่งที่จําเป็น เนื่องจากอุบัติเหตุมีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่เสมอผู้ขับขี่จึงต้องหาหลักประกันที่ทําให้แน่ใจว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากความเสียหาย และในกรณีที่ผู้ขับขี่เป็นผู้หญิงการมีตัวแทนเข้ามาช่วยดูแลแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าหลังเกิดอุบัติเหตุจะเป็นสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ และลดความกังวลไปได้”
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าประกันภัยรถยนต์แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ คือหรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า “ประกัน พรบ.” ซึ่งกฏหมายบังคับให้รถทุกคันทุกประเภท ต้องทําประกันภัย รวมทั้งต้องใช้เป็นเอกสารสําคัญอย่างหนึ่งในการต่อทะเบียนเสียภาษีรถยนต์ประจําปีอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็มีรถบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทําประกัน พรบ. ยกตัวอย่างเช่น รถสําหรับเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท และรถสําหรับผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ รถของสํานักพระราชวังที่จดทะเบียนและมีเครื่องหมายตามระเบียบที่เลขาธิการพระราชวังกําหนด รถของกระทรวง ทบวงกรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุขาภิบาล กรุงเทพมหานครbเมืองพัทยา และส่วนราชการท้องถิ่นที่เรียกชื่ออย่างอื่น รถยนต์ทหารตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร รถของหน่วยงานธุรการขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานธุรการที่เป็นอิสระขององค์กรใดๆที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
2. การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
เป็นการประกันภัยที่ใครอยากทําก็ทํา ไม่มีการบังคับ แบ่งเป็น
- ประเภท 1 (ชั้น 1) ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด คือชีวิต ร่างกายหรืออนามัยบุคคลภายนอก และผู้โดยสารภายในรถ, ทรัพย์สินบุคคลภายนอก, ความเสียหาย การสูญหาย หรือไฟไหม้ของตัวรถคันเอาประกันภัย
- ประเภท 2 (ชั้น 2) คุ้มครองชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยบุคคลภายนอกและผู้โดยสารภายในรถ, ทรัพย์สินบุคคลภายนอก, การสูญหายหรือไฟไหม้ของตัวรถคันเอาประกันภัย
- ประเภท 3 (ชั้น 3) คุ้มครองเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก คือ ชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
- ประเภท 4 (ชั้น 4) คุ้มครองเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินบุคคลภายนอก
- ประเภท 5 หรือที่นิยมเรียกว่าประกันรถยนต์ 2 พลัส หรือประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส คุ้มครองชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ ทรัพย์สินบุคคลภายนอกความเสียหายตัวรถยนต์คันเอาประกันที่แจ้งคู่กรณีได้ โดยคู่กรณีต้องเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น การสูญหาย หรือไฟไหม้ของตัวรถคันเอาประกันภัย
จากประเภทของประกันภัยรถยนต์ทั้งหมดจะเห็นว่าประกันรถเก๋งประเภท 1 เป็นประเภทที่คุ้มครองครอบคลุมมากที่สุดสามารถช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการกับความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้ ทั้งนี้การเลือกซื้อประเภทความคุ้มครองรถที่รักของเรา สิ่งสําคัญที่ต้องคํานึงถึงคือค่าเบี้ยประกันที่สามารถจ่ายได้ และความคุ้มครองที่เหมาะสมกับรูปแบบการขับขี่รวมถึงเลือกบริษัทที่ไว้วางใจได้ มีการบริการที่สอดคล้องกับความต้องการ และเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้เอาประกัน
ทําความรู้จักกับประกันรถยนต์ประเภท 1  ตัวช่วยที่ผู้หญิงยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 (CarProtect 1) มีจุดเด่น ดังนี้
• “ซื้อง่าย จ่ายจริง” ไม่ต้องตรวจสภาพรถยนต์ก่อนรับประกัน
• มอบเงินชดเชยให้ระหว่างนํารถเข้าซ่อม 5,000 บาท ต่อครั้ง
• เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 13,400 บาท
• หายห่วงทุกการเดินทาง ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน สูงสุด 3 ครั้งต่อปีภายใต้โครงการเมืองไทยยิ้มได้...เมื่อรถเสีย (Roadside Assistant) เสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งรถเสีย, สอบถามเส้นทาง, น้ํามันหมด, ล็อครถโดยไม่ตั้งใจ, ฯลฯ
ที่มา : http://www.mbamagazine.net/

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

 

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันรถยนต์ ชั้น1, ชั้น2พลัส, 3พลัส พรบ. ต่อประกันรถยนต์ จากบริษัท ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ โดย ASN Broker



วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

10 สิ่งของที่ควรมีติดรถยนต์ไว้เป็นอย่างยิ่ง By:ASN Broker #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง #ต่อประกันรถยนต์

10 สิ่งของที่ควรมีติดรถยนต์ไว้เป็นอย่างยิ่ง By:ASN Broker #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง #ต่อประกันรถยนต์

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : askmen.com

เยอะเหลือเกินนะครับ ไม่ว่าจะหมอน ผ้าห่ม ขนม หนังสือ บุหรี่ ใบกระท่อม หรือแม้แต่ถุงยาง ที่เราๆ ท่านๆ มักขนขึ้นไปหมกไว้บนรถ แล้วหวังว่าวันนึงจะได้ใช้แต่ก็ไม่ยักจะได้ใช้สักที งั้นวันนี้เรามาดูสิ่งของ 10 ประเภทที่เราสมควรเอาขึ้นไปไว้บนรถมั่งดีกว่า เพราะรับรองว่าคุณได้ใช้มันแน่นอน

ที่วัดลมยาง
อาจเป็นแค่อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ที่ดูไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ เพราะยังไงคนใช้รถก็คงเช็คลมยางสม่ำเสมออยู่แล้ว แต่ในกรณีที่ไม่ใช่คนใส่ใจรถยนต์เท่าไหร่นัก หรือไม่ค่อยได้ใช้รถบ่อยนัก การมีเจ้าอุปกรณ์จิ๋วๆ แบบนี้ยิ่งจะทำให้เราปลอดภัยยิ่งขึ้น


น้ำมันสำรอง
อาจฟังดูไร้สาระไปสักหน่อยกับประเทศที่มีปั๊มน้ำมันอยู่ทั่วประเทศแบบนี้ แต่หลายครั้งที่เรามักต้องใจคอไม่ดีเวลาเดินทางไกลๆ หรือไปที่แปลกๆ แล้วไม่มั่นใจว่าจะหาปั๊มน้ำมันได้ เพราะงั้นมีติดรถไว้ให้พออุ่นใจได้ก็ดีเหมือนกันนะครับ


ที่ชาร์จโทรศัพท์
ทั้งๆ ที่ต้องใช้บ่อยสุด แต่หลายคนมักมองว่านี่ไม่ใช่อุปกรณ์ที่จำเป็นเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะว่าหลายต่อหลายครั้งที่คุณมักหงุดหงิดเพราะไม่มีอุปกรณ์แบบนี้ติดรถมาด้วย


ไฟฉาย
เฮ้ย! เอามาทำไม เกะกะเปล่าๆ...ก็จริงครับที่ดูแล้วไม่น่าจำเป็นเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะว่าหลายครั้งคุณเคยร้องหาแสงสว่างจากหลอดไฟเล็กๆ พวกนี้ แถมในเวลาที่คุณอยากซ่อมรถเองในความมืด แสงไฟนี้แหละครับ ง่ายๆ และเหมาะที่สุด


ยางสำรอง
บอกไม่ได้หรอกครับว่ารถคุณจะยางแตกเมื่อไหร่ แต่ถ้าไม่อยากเคว้งคว้างรอการช่วยเหลือ มียางอะไหล่สักเส้นพร้อมอุปกรณ์เปลี่ยนยางสักเซท แค่นี้ก็เกินพอแล้วครับ


สายพ่วงแบตเตอรี่
ถึงไม่ได้จั๊มพ์ไฟให้ตัวเอง แต่ก็เผื่อไว้จั๊มพ์ไฟให้ชาวบ้านเขาก็ถือว่าจิตอาสามิใช่น้อยเลยนะครับ


GPS และ แผนที่
อย่ามั่นใจป้ายจราจรและความสามารถด้านเส้นทางของคุณมากนัก แนะนำให้หาอุปกรณ์พวกนี้ติดรถไว้บ้าง หรือถ้ากลัวว่าจะเป็นการเสียศักดิ์ศรีที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย ก็คิดซะว่าการหลงทางมันน่าอายกว่าเยอะ


ยาและชุดปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน
ไม่ต้องจัดเต็มมาก เอาแค่พวกยาวแก้ปวด พลาสเตอร์ ยาล้างแผล หรือยารักษาโรคประจำตัวอะไรเทือกๆ นี้ก็เพียงพอแล้วครับ เพราะอย่างน้อยถ้ามีอะไรฉุกเฉินถึงมาจะได้ไม่ต้องวุ่นวายหาทีหลัง


อาหารและน้ำ
เหมือนกันครับ ไม่ต้องจัดเต็มชุดใหญ่ เอาแค่ว่าไว้ใช้แก้หิวแก้กระหาย หรือมีไว้ใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ และที่สำคัญกินเสร็จแล้วอย่าลืมเอาลงไปทิ้งด้วยนะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวมดจะขึ้นมาเยือน


คู่มือประกันภัยรถยนต์พร้อมเอกสารสำคัญ
อย่ามันใจว่ารถของคุณจะไม่วิ่งไปเฉี่ยวไปชนใคร หรือจะไม่มีใครวิ่งมาเฉี่ยวมาชนคุณ ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะมีประกันภัยรถยนต์ชั้นไหน ก็เอาติดรถไว้ให้พร้อมครับ แล้วเก็บไว้ในที่ที่หาง่ายหน่อย เวลามีอะไรฉุกเฉินจะได้มีสติพอที่จะหาเจอ

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

 

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันรถยนต์ ชั้น1, ชั้น2พลัส, 3พลัส พรบ. ต่อประกันรถยนต์ จากบริษัท ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ โดย ASN Broker