เกียร์รถยนต์ กับเรื่องน่ารู้!! เทคนิคการขับรถเกียร์ธรรมดา : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
เทคนิคเบื้องต้นในการขับรถเกียร์ธรรมดา
- เหยียบคลัทช์ทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ มาสู่ระบบขับเคลื่อน เพราะหากลืมปลดเกียร์มาที่ตำแหน่งเกียร์ว่าง การเหยียบคลัทช์จะทำให้รถไม่พุ่งไปข้างหน้า
- เลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วของรถ และเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ไม่ต่ำ หรือสูงเกินไป (ประมาณ 2,000 รอบ/นาที ขึ้นไป) จะทำให้การขับขี่นุ่มนวลยิ่งขึ้น และประหยัดน้ำมันอีกด้วย
- สำหรับมือใหม่ พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ต้องขึ้นสะพาน แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องติดค้าง อยู่บนสะพาน เทคนิคง่าย ๆ ก็คือ ปลดเกียร์ว่าง พร้อมกับดึงเบรกมือ และเมื่อจะเคลื่อนตัวให้ผู้ขับเหยียบคลัชท์ และเข้าเกียร์ 1 พร้อมที่จะออก แล้วเหยียบคันเร่งช้า ๆ พร้อมกับปลดเบรกมือ รถอาจจะไหลบ้างเล็กน้อยตามพื้นที่ลาดเอียง มือใหม่หัดขับไม่ต้องตกใจ ออกตัวรถไปตามปกติ
- ฝึกเปลี่ยนเกียร์ให้เกิดความชำนาญ โดยใช้ประสาทสัมผัสแทนการเหลือบมอง เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
- การชะลอรถ/หยุดรถ เมื่อขับมาด้วยความเร็ว ให้ค่อย ๆ แตะเบรก อย่าพึ่งเหยียบคลัทช์ เพื่อให้กำลังของเครื่องยนต์เป็นตัวช่วยชะลอรถ (ENGINE BRAKE) จากนั้น เมื่อรถใกล้จะหยุด ให้เหยียบคลัทช์ และเมื่อรถหยุดสนิทให้ปลดเกียร์ว่าง พร้อมทั้งดึงเบรกมือเพื่อป้องกันรถไหล
ข้อควรระวัง ไม่ควรวางเท้าไว้ที่แป้นคลัทช์ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เหยียบคลัทช์ก็ตาม เพื่อยืดอายุการใช้งานของลูกปืนคลัทช์ นอกจากนี้ ไม่ควรเลี้ยงคลัทช์เมื่อรถติดอยู่บนเนิน หรือสะพาน เพราะจะทำให้คลัทช์ไหม้ หรือคลัทช์ลื่น และอายุการใช้งานของผ้าคลัทช์ก็จะสั้นลงด้วยขอบคุณที่มา:http://www.3mautofilmclub.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557
เกียร์รถยนต์ กับเรื่องน่ารู้!! เทคนิคการขับรถเกียร์ธรรมดา : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
โบรกเกอร์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์ชั้น1,
โปรโมชั่น รถยนต์,
พ ร บ รถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557
10 พฤติกรรมขับรถสุดแย่ที่พบเป็นประจำ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
10 พฤติกรรมขับรถสุดแย่ที่พบเป็นประจำ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
"อุบัติเหตุ" แม้ว่าจะไม่มีใครอยากให้เกิด แต่หากผู้ใช้รถใช้ถนนยังมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่แล้วล่ะก็ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิด
วันนี้ Sanook!Auto มี 10 พฤติกรรมขับรถสุดแย่มาฝากกันครับ
วันนี้ Sanook!Auto มี 10 พฤติกรรมขับรถสุดแย่มาฝากกันครับ
10 พฤติกรรมขับรถสุดแย่ที่พบเป็นประจำ
1. เปิดไฟตัดหมอกทิ้งไว้
ไฟตัดหมอก เป็นอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยในสภาวะที่มีหมอกลงจัดหรือฝนตกหนัก เพื่อให้รถคันอื่นสามารถเห็นรถของเราได้จากระยะไกล แต่ปัจจุบันกลับมีผู้เปิดใช้ไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ แม้ในสภาพอากาศปกติ ซึ่งแสงที่ได้นั้นทำให้รบกวนสายตาผู้ขับขี่คันอื่นเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อต้องขับตามหลังเป็นเวลานานๆแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
2. ไม่ใช้สัญญาณไฟเลี้ยว
ไฟเลี้ยวเป็นอุปกรณ์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยยามต้องการเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน แต่เดี๋ยวนี้กลับมีผู้ขับขี่จำนวนมากที่เปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายมาก เพราะมักจะทำให้รถคันที่อยู่ในเลนตกใจอยู่บ่อยๆ
3. ขับช้าแต่แช่ขวา
พฤติกรรมขับรถแช่ในช่องจราจรด้านขวา ก็เป็นพฤติกรรมที่พบเห็นได้บ่อยขึ้น ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของคนขับก็ตาม เนื่องจากกฏหมายกำหนดให้เลนขวามีไว้สำหรับการแซงเท่านั้น ซึ่งการขับรถแช่ขวาจะทำให้ผู้ขับขี่ที่ขับเร็วกว่า ต้องแซงขึ้นไปทางด้านซ้ายแทน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้มากกว่า
4. ขับรถจี้หลังกระชั้นชิด
การขับรถจี้คันหน้าถือเป็นพฤติกรรมที่ก่อความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ และยังถือว่าเป็นมารยาทที่แย่อีกด้วย ทางที่ดีควรเว้นระยะคันหน้าประมาณ 2 วินาที หรืออาจน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับสภาพจราจร หรือหากต้องการแซง ก็ควรใช้ไฟสูงขอทางแทนดีกว่า หรือหากไม่หลบก็แซงซ้ายไปเลยเมื่อสภาพจราจรเอื้ออำนวย
5. แซงกระชั้นชิด
การแซงกระชั้นชิดไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เป็นพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุตามมาได้ ทางที่ดีก่อนแซงควรกะระยะของคันที่สวนมาให้แน่ใจว่ามีระยะทางมากพอให้เร่งแซง ที่สำคัญคือเมื่อแซงพ้นแล้ว ควรรีบกลับไปยังช่องทางเดินที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว แต่อย่าลืมว่าต้องให้รักษาระยะห่างไว้ด้วย
6. เปิดไฟสูงค้างไว้
การเปิดไฟสูงค้างไว้ ส่วนมากเกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เพิ่งขับรถยนต์ใหม่ๆ ที่ยังใช้อุปกรณ์ภายในรถได้ไม่คล่องแคล่ว ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายต่อรถที่สวนมาอย่างมาก เพราะไฟสูงมีความเข้มของแสงสูง ทำให้สายตาพร่ามัวชั่วขณะได้ เป็นอันตรายต่อผู้ร่วมทางอย่างยิ่ง
7. ขับรถด้วยความเร็วเกินกฏหมายกำหนด
ทางหลวงหลายๆเส้น มักอนุโลมให้ผู้ขับขี่ สามารถใช้ความเร็วได้ถึง 120 กม./ชม. ซึ่งก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน การขับรถด้วยความเร็วสูงมากๆนั้น จะทำให้มีเวลาตัดสินใจน้อยลงหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา หลายๆประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย มีโฆษณาออกมาเพื่ช่วยรณรงค์ให้ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วอย่างเหมาะสม เพราะการขับรถเร็วถือเป็นปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นอันดับต้นๆ
8. แทรก/เบียด/ปาดหน้าก่อนถึงทางร่วมทางแยก
สิ่งที่พบเห็นได้เสมอๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลารถติดหนัก คือจะมีรถส่วนน้อยที่ไม่อดทนต่อแถวในเลนตามการจราจรปกติ แต่จะใช้วีธีแทรกหรือเบียดหัวแถว บริเวณก่อนถึงทางแยกเล็กน้อย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจพอๆกับแซงคิวซื้อของนั่นแหละ เพราะนอกจากจะเป็นการกีดขวางจราจรเลนอื่นแล้ว ก็จะทำให้รถเคลื่อนตัวได้ช้ากว่าปกติเมื่อได้สัญญาณไฟเขียวอีกด้วย เพราะต้องปล่อยให้คนกลุ่มนี้แซงไปก่อนนั่นเอง
9. เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อวิ่งตรงบนทางแยก
มีผู้ขับขี่ไม่น้อยที่มีเจตนาดีด้วยการเปิดไฟฉุกเฉินก่อนถึงทางแยก เพื่อบอกให้ผู้ร่วมทางรู้ว่า "ฉันจะขับตรงไปนะ!" แต่เจตนาดังกล่าวไม่มีประโยชน์เลยแถมยังก่อให้เกิดความเสี่ยงอีกด้วย เนื่องจากรถทางด้านซ้ายและขวาจะเห็นไฟกระพริบเพียงข้างเดียว ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าผู้ขับจะเลี้ยวซ้ายหรือขวามากกว่าที่จะขับตรงไป ซึ่งโดยปกติหากต้องการขับรถตรงไป ก็ไม่จำเป็นจะต้องเปิดสัญญาณใดๆอยู่แล้ว
10. เมาแล้วขับ
แม้ว่าปัจจุบันจะมีการรณรงค์ต่อต้านการเมาแล้วขับอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังสามารถพบเห็นได้อยู่บ่อยๆ เพราะบางครั้งคนขับจะคิดว่าตัวเองแค่รู้สึกมึนๆ แต่ไม่ถึงกับเมา (ซึ่งก็คือเมานั่นแหละ!) ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยิ่ง และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้
เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับ 10 พฤติกรรมการใช้รถที่ได้กล่าวไปข้างต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสามัญสำนีกของผู้ใช้รถยนต์ทุกคนอยู่แล้ว ฉะนั้นเราจึงควรปฏิบัติตามกฏจราจร เพื่อให้การเดินทางบนท้องถนนเป็นเรื่องปลอดภัยมากขึ้นครับ
ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
โบรกเกอร์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์,
ประกันรถยนต์ชั้น1,
โปรโมชั่น รถยนต์,
พ ร บ รถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557
ทำอย่างไรจะรู้ทัน...ช่างซ่อมรถยนต์ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
ทำอย่างไรจะรู้ทัน...ช่างซ่อมรถยนต์ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
ทุกวันนี้พวกเราหลายคนคงต้องเผชิญหน้ากับบรรดาช่างที่พวกเขาเปิดรับบริการซ่อมรถยนต์คอยรักษาปัญหาอาการไม่สบายของรถให้หายเป็นปลิดทิ้ง ที่แยกกันมีตั้งแต่เบรค โช๊ค ช่วงล่าง แบตเตอร์รี่ ไปจนถึงเครื่องยนต์ และการซ่อมตัวถังที่หลายคนที่มักไม่ค่อยระวังได้แวะเวียนไปใช้กันบ่อยๆ
อาชีพช่างซ่อมรถยนต์ นับว่าเป็นอาชีพที่เราน่าจะคุ้นเคยที่สุด หลังจากออกรถมากกว่าเซลล์ ที่ผีปากกล้าขายรภให้เรา แต่มีสักกี่คนที่รู้ว่าช่างเหล่านั้นทำอะไรกับรถเราบ้าง เราไม่ได้จะสอนให้คุณเป้นช่างแต่ วันนี้เราจะมาพูดถึงการรู้ทันช่างที่บางครั้งจำเป็นต้องรู้ เพื่อจะได้เข้าใจถึงความคุ้มค่าและราคาที่เราได้และต้องเสียเงินให้พวกเขาทำงาน ซึ่งก็ไม่ยากจนเกินเข้าใจ
1. รู้ปัญหา ข้อนี้สำคัญมากเมื่อรถมีปัญหา สิ่งที่คุณควรทำอันดับแรกคือ รู้ว่าอะไรคือต้นตอของปัญหาถ้าเป็นไปได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณพอเริ่มรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้วว่า คุณจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถกรณีนั้นๆ สักเท่าไรกันแน่
2.ตีสนิทกับช่าง เราไม่ได้ให้คุณไปหว่านเสน่ห์ช่าง หรือไปเป็นขวัญใจ แต่ให้พูดคุยเพื่อรับฟังคำแนะนำและแนวทางที่เขากำลังจะทำให้เรา ก่อนที่เขาจะลงมือทำ ซึ่งจะช่วยให้เรามั่นใจได้ยิ่งขึ้นว่าเขาจะไม่มามั่วแนวกับรถเรา ซึ่งจะเป็นการเลี้ยงไข้และทำให้รถเสื่อมสภาพมากกว่าคืนสภาพ
3.ชวนเพื่อนมาช่วยดูแล ถ้าในกรณีที่รถมีปัญหาที่หนักบ้างครั้ง คุณก็อาจคนที่ต้องรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมช่าง อาจจะชวนเขามาดูหรือโทรพูดคุย แต่อย่าไปหักหน้าช่าง ให้คุณรู้เอาไว้ใช่ว่า และดูการทำงาน หรือในกรณีที่รถคุณซ่อมหนัก ต้องนอนอู่ก็ควรจะแวะเวียนหรือโทรไปพูดคุยกับช่างบ้างว่า รถเป็นอย่างไร
4.ทดสอบงานซ่อม เมื่อรถซ่อมเสร็จ เป้นหน้าที่ของเราที่ต้องทดสอบชิ้นงานที่ออกมาจากมือพวกเขา คนจำนวนไม่น้อยไว้ใจช่างมากเกินไป และทำให้คนเหล่านี้ได้ใจที่จะขอเรียกเก็บเงินก่อน ทำให้เราตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบทันที จำไว้จ่ายเงินเมื่อไรมีปัญหาเราจะแก้ไขยาก
แม้จะมีการรับประกันในระยะเวลาที่ช่างอาจจะบอกกับคุณ แต่ทางที่ดีคุณต้องลองทดสอบผลงานก่อนนำรถออกไป หรือขับทดลองหากจำเป็น และกรณีที่ช่างมีการกล่าวถึงการรับประกัน ถามให้แน่ชัดและให้เขาเขียนใบเสร็จรับเงินพร้อมหมายเหตุตามที่ได้ให้เงื่อนไขไว้ เพื่อจะได้เป็นหลักฐานยืนยัน
เหล่านี้เป็นวิธีง่ายๆที่คุณสามารถปฏิบัติได้ เมื่อต้องนำรถเข้าไปเผชิญหน้ากับช่าง ซึ่งการที่เราป้องกันความผิดพลาดไว้เป้นเรื่องที่ดีกว่าต้องมาเสียใจภายหลัง และที่สำคัญคือ เมื่อมีปัญหาสำคัญควรจะเลือกช่างที่ไว้ใจได้และชำนาญงานในการซ่อมจริงๆเพื่อให้เรามั่นใจว่า เขาเข้าใจปัญหานั้นอยู่แล้ว โดยที่เราไม่ได้เป็นหนูทดลอง
ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถกะบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์,
ประกันรถยนต์ชั้น1,
โปรโมชั่น รถยนต์,
พ ร บ รถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557
10 เรื่องน่ารู้... ก่อนซื้อรถใหม่ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
10 เรื่องน่ารู้... ก่อนซื้อรถใหม่ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
รถยนต์เป็นสิ่งที่เกือบทุกคนอยากจะมีไว้ใช้ แต่ทว่าราคาของมันไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถซื้อได้ บางคนเก็บเงินหลายปีกว่าจะซื้อได้ ดังนั้น เราควรจะต้องมีความรู้เรื่องนี้พอสมควร ไม่ควรรีบร้อน ซึ่งการจะซื้อรถยนต์ป้ายแดงครั้งแรก บางครั้งมันก็ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้ อาจจะมีอุปสรรคต่างๆ หรือคิดไม่ออกว่าจะซื้อแบบไหนดีวันนี้ทางเว็บไซต์ ASN Broker ประกันภัยรถยนต์ จึงมีความรู้เด็ดๆ มาฝากคนรักรถเกี่ยวกับเรื่อง 10 เรื่องน่ารู้... ก่อนซื้อรถใหม่ (ตอน 1) หลังจากที่ได้แนะนำความรู้เกี่ยวกับ เรื่องควรรู้กับ... การขับรถยามค่ำคืนไปใน 2 ตอนที่แล้ว1. การเลือกรถการจะเลือกซื้อรถ ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้น หรือถามผู้รู้ และความต้องการของเรา ว่าเราชอบอะไร และต้องการใช้งานในลักษณะอย่างไร
- ยี่ห้อรถยนต์ นั้นสามารถเข้าเวบของยี่ห้อนั้นดูข้อมูล เรื่องการให้บริการ ศูนย์บริการ ข่าวไม่ดีต่างๆ รุ่นรถที่เราชอบ รวมถึง option ต่างๆ ของแต่ละรุ่น ที่จำเป็นในการใช้งานได้
- สีรถ อาจจะเลือกตามสีที่ชอบ หรือตามดวง ตามความเชื่อ
- ราคารถยนต์ ควรประเมินตัวเองว่า สามารถจ่ายได้ขนาดไหน เมื่อซื้อรถจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายหรือไม่ อย่าฟังคนอื่นมาก ให้ฟังหูไว้หู เพราะเวลาเรามีปัญญาเรื่องการเงินคงไม่มีใครมาช่วยจ่าย
2. การเลือกศูนย์บริการ (Service Center)การเลือกศูนย์บริการที่เข้าไปซื้อรถ ควรเลือกศูนย์ที่ไว้ใจได้ เพราะเราต้องอยู่กับศูนย์นั้นอีกหลายปีทีเดียว เพราะหากเลือกผิดแล้ว อาจจะช้ำใจไปอีกนาน และจะทำให้เมื่อต้องการทำอะไรเกี่ยวกับรถก็ลำบากไปหมด ซึ่งเราจะรู้ได้ยังไง ให้พิจารณาตามนี้ดูครับเป็นตัวแทนจากยี่ห้อรถยนต์ที่เราต้องการจะซื้อ และให้ตรวจสอบประวัติของศูนย์ โดยอาจถามข้อมูลจากคนรอบข้างที่เคยไปใช้บริการ หรือข่าวลือต่างๆ โดยบางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนพระเจ้า บางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนขอทาน บางศูนย์เจ้าของเป็นผู้มีอิทธิพล (เวลาเรามีปัญหาหลังจากซื้อรถไป เซลแมนจะเอามาขู่เราด้วย)ซึ่งการเลือกศูนย์ให้เลือกที่มีประวัติดี มีคนชมมากกว่าคนด่า ต่อให้ตั้งศูนย์ใหม่แต่เจ้าของคนเดิม ทีมงานเดิม การบริการก็ยังห่วยเหมือนเดิมครับ นอกจากนี้ อาจเลือกศูนย์บริการใกล้บ้าน สะดวกต่อการติดต่อ และประหยัดน้ำมัน3. การเลือกเซลแมนขั้นตอนนี้สำคัญมากกว่าการเลือกศูนย์บริการอีกนะครับ เพราะหากเจอเซลที่ดี เซลจะเป็นเหมือนที่ปรึกษาเรื่องรถที่ดีสำหรับคุณที่เดียว และคุณจะได้รถตามที่คุณหวัง แต่หากเจอเซลแย่คุณจะโดนโกงสารพัดวิธีเซลแมน คือผู้ที่คอยให้คำแนะนำเรื่องรถ ทำสัญญา เตรียมรถให้เรา แต่ที่สำคัญที่สุด เค้าจะต้องขายรถให้เราเพื่อทำกำไรให้ทางบริษัท และค่าคอมมิสชัน กำไรจากส่วนอื่นๆ ที่เราพลาดเผลอไปยอมรับโดยไม่ระวัง ซึ่งสำคัญกว่าบริการเราซะอีกแล้วเราจะเลือกยังไง?
- ถ้าได้เซลที่เป็นญาติพี่น้องที่ดี จะดีมากเค้าคงเลือกสิ่งดีๆให้พี่น้องกันโดยไม่หวังผลกำไรมากอยู่แล้ว
- เพื่อนพี่น้อง แนะนำเซลให้ แสดงว่าคนคนนั้นเคยใช้บริการมาแล้ว เซลคงรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีทุกคน
- ใช้น้ำเสียงการให้บริการฟังแล้วรู้สึกสบายใจ แต่หากฟังแล้วไม่สบายใจก็เปลี่ยนคนเถอะ
- ขั้นตอนการอธิบายรถ อธิบายแล้วเราเข้าใจ ถามอะไรสามารถตอบได้
- อย่าเลือกเพียงเพราะหน้าตา หรือเพราะพูดเพราะ
4. ของแถมของแถมก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องดูว่าเราได้อะไรบ้าง แม้ว่าในส่วนนี้อาจจะไม่ใช่ส่วนที่สำคัญมาก ซึ่งของที่แถมมาส่วนใหญ่จะมีดังต่อไปนี้
- น้ำมันเต็มถัง
- ส่วนลดเงินสด
- เบาะหนัง
- ฟิล์มกรองแสงรอบคัน ยี้ห้ออะไร ประกันกี่ปี ติดรุ่นไหนได้บ้าง ราคาที่ติดได้เท่าไร ติดที่ไหน
- เคลือบสี+กันสนิม ทำฟรีทุกครั้ง หรือเสียตังค์แต่ละครั้งเท่าไร
- ประกันภัยชั้น 1 ฟรีหรือเปล่า
- Sensor ถอยหลัง 2 หรือ 4 จุด ไม่ได้ติดจากโรงงาน ต้องถามว่าซื้อของอะไร ติดตั้งที่ไหน รับประกันกี่ปี ซ่อมที่ไหน
- อุปกรณ์แต่งรถ เช่น สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส ต้องถามว่าซื้อของอะไร ของศูนย์ ของร้าน หรือของแท้ ติดตั้งที่ไหน ส่วนใหญ่เค้าจะแถมของที่ซื้อจากร้าน
- ของอื่นๆ เช่น ผ้าคลุมรถ หมอนผ้าห่ม พรมปูพื้น สายรองเบลท์ อุปกรณ์ฉุกเฉิน ผ้ายางปูพื้น ถาดหลังกันเปื้อน น้ำหอม ชุดทำความสะอาด ที่ล๊อคพวกมาลัย หมอนผ้าห่ม ม่านบังแดด ฯลฯ
5. ประกันภัยประกันภัยเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องถาม ไม่ว่าจะแถมให้ฟรี หรือเราเสียตังค์เอง เราควรจะถามข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับประกันจากเซล หากเซลตอบไม่ได้ หรือเราไม่เข้าใจ ก็อย่าเพิ่งจอง โดยให้ดูที่
- เป็นของบริษัทอะไร น่าเชื่อถือหรือเปล่า
- บริษัทประกันนั้นมีข่าวไม่ดีจากลูกค้าหรือเปล่า เช่น บริการไม่ดี บริการช้า
- ซ่อมศูนย์ หรือซ๋อมอู่ ถึงจะเป็นประกันชั้น 1 แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถซ่อมได้ทุกที่ เพราะราคาการซ่อมที่ประกันสามารถจ่ายได้บางศูนย์หรือบางอู่ก็รับไม่ได้ อย่างกรณี มีศูนย์ยี่ห้อ A 2 ที่แถวบ้าน แต่ที่หนึ่งรับเคลมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่อีกที่เมื่อไปเคลมจะมีส่วนต่างที่เราต้องจ่ายเพิ่มเอง แต่ศูนย์ที่รับเคลมที่ไม่มีส่วนต่างรอคิวซ่อมนานเป็นเดือนๆ เราต้องรู้ก่อนเพื่อไม่เสียความรู้สึกภายหลัง
- ข้อควรรู้สำหรับมือใหม่ หากรถเราเสียหายโดยไม่มีคู่กรณีเราต้องจ่ายประกันเริ่มต้น 1000 บาท แต่หากมีคู่กรณี คู่กรณีจ่ายครับซ่อมฟรี แต่เสียเวลา
6. การทำสินเชื่อหากไม่ได้ซื้อเงินสด ควรถามเรื่องนี้กับเซลด้วย เพราะเราต้องทำ สัญญาเช่าซื้อกับธนาคารนั้น ซึ่งสิ่งที่เราควรรู้คือ
- บริษัทหรือธนาคารอะไร ที่เราจะทำสินเชื่อด้วย
- มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเท่าไร
- จำเป็นต้องมีประกันวงเงินสินเชื่อหรือเปล่า
- คำนวณค่าใช้จ่ายวันรับรถ เช่น ค่ารถยนต์รุ่นที่เราจอง ค่าจดทะเบียน ค่ามัดจำป้ายแดง ค่าประกันภัยชั้น 1 พ.ร.บ. ค่าตกแต่ง และค่าประกันภัยวงเงินสินเชื่อ
7. การจองรถยนต์ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่เราเริ่มที่จะเสียเงินแล้ว หากเราพอใจกับตัวรถยนต์รุ่นที่เราต้องการ บวกกับของแถมที่เซลจะจัดให้ รวมถึงลักษณะนิสัย คำอธิบายของเซลล์ และเรื่องประกันแล้ว เราก็จองรถได้เลย แต่หากยังรู้สึกลังแล ก็อย่าเพิ่งจอง ให้ลองคิดทบทวนส่วนบางคนอาจจะมีคำถามว่าทำไมต้องจอง เนื่องจากรถนั้น มีราคาแพง หากไม่มีการ Order โรงงานก็จะไม่ผลิตรถมาขาย ดังนั้นเมื่อเราจองรถ เซลล์จะเก็บหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อไปใช้ประกอบการส่งข้อมูลให้โรงงานผลิตรถยนต์ รถที่ผลิตออกมาคันนั้นจะผลิตตามรุ่น และสี ตามที่เราจองไปทุกประการ หากทำมาแล้วไม่ตรง เรามีสิทธิที่จะไม่เอา และขอค่าจองคืนได้ โดยมีข้อแนะนำดังนี้
- อย่าลืมขอใบเสร็จหรือสัญญาการจอง
- สัญญาการจองต้องระบุรุ่น และสีของรถที่เราต้องการให้ถูกต้อง
- สัญญาการจองต้องเขียนของแถมทุกอย่างให้ครบ อย่าเชื่อการบอกปากเปล่า
- ถามเลยว่ารถจะมาเมื่อไร และจะติดต่อกลับเราวันไหน ระบุให้ชัดเจนในสัญญาเลยครับ
- หากเราละเอียดมากๆ แล้วถ้าเซลงอแง หรือแกล้งลืมๆ ไม่จด เราก็บอกไปเลยครับว่ายังไม่จอง อย่ารีบร้อนนะ เพราะรถไม่ใช่ถูกๆ
- หลังจากจองเสร็จก็รอ หากเซลล์โทรมาเปลี่ยนแปลงเรื่องของแถมก็แล้วแต่เราว่ารับได้ไหม รับไม่ได้ก็ขอเงินจองคืนครับ
8. การตรวจรับรถป้ายแดงแล้วก็ถึงเวลาที่รถเรามาถึง บางที่หากเราติดฟิล์ม หรือไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม เซลล์จะโทรให้ไปรับรถเลย แต่หากเรามีการตกแต่งที่ไม่ได้ทำมาจากโรงงาน เซลล์จะให้ไปดูรถ และตรวจรถที่มาจากโรงงาน โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ควรพาผู้เชียวชาญเรื่องรถยนต์ สี และพวกจับผิดเรื่องรถยนต์เก่งๆ ไปด้วย ถ้าเราเป็นมือใหม่
- ขอดูเอกสารที่รถลงถึงอู่ ว่าวันที่เท่าไร ช่างตรวจรับหรือยัง เค้าจะเรียกว่าใบ Warranty Bosket หากไม่มี ค่อยมาตรวจใหม่วันหลัง
- จดหมายเลขเครื่องเอาไว้ ว่ารถคันนี้เราเช็คแล้ว
- ตรวจดูความเรียบร้อยอื่นๆ
- การติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ขอดูใบติดตั้ง ใบรับประกันเขียนถูกต้องเหรือเปล่า มีฟองอากาศหรือเปล่า
- สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส ติดตั้งเรียบร้อยหรือไม่ น็อตที่ใช้เป็นแบบไหน กันสนิมหรือเปล่า ขอบยางหารติดดีหรือไม่ ใช้ซิลิโคนอะไร มีรอยหรือเปล่า สีเข้ากับสีรถหรือไม่
- Sensor ถอยหลัง ทดสอบว่าวัดการถอยหลังยังไง
- เบาะหนัง สีตรงตามที่เราต้องการหรือไม่ ตะเข็บ ติดเรียบเนียนดีหรือเปล่า
9. ทำสัญญาซื้อขาย หรือสัญญารับรถตราบใดที่เรายังไม่เซ็นรับรถ เราก็เหมือนพระเจ้า แต่เมื่อไรก็ตามเราเซ็นรับรถแล้วและเราเอารถออกจากศูนย์ ก็เป็นอีกเรื่องทันที โดยเราควรตรวจสอบอีกครั้งก่อนรับรถโดยดูส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้
- รถสวยงามอย่างที่เราต้องการ หรือไม่ ใช่รุ่นที่เราต้องการหรือเปล่า ไม่ใช่มาจากโรงงานอีกรุ่น มาแต่งเป็นอีกรุ่นที่เราต้องการ
- ตรวจตามข้อ 8 อีกรอบ เอาหมายเลขเครื่องมาดูเลยครับว่าหมายเลขเดียวกับที่เราตรวจมาแล้วหรือเปล่า
- ตรวจดูการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเสริมตามข้อ 8
- เช็คน้ำมันเต็มถังหรือเปล่า
- เอกสารต่างๆ เช่น ประกัน พ.ร.บ. หรือใบเสร็จค่ามัดจำป้ายแดง และสมุดคู่มือป้ายแดง
- ตรวจสอบป้ายแดงว่าเป็นของแท้หรือเปล่า โดยของแท้ต้องมีตรา ขส....
- เอกสารเซ็นต์เตรียมจดทะเบียน จะได้ป้ายขาวเมื่อไร เลือกเลขทะเบียนได้หรือไม่ หรือต้องติดต่อกับขนส่งเอง
10. รับรถยนต์ถ้าครบทุกอย่าง ตามที่กล่าวมาแล้ว ก็รับรถไปได้เลยครับขอบคุณที่มา:http://www.3mautofilmclub.comเรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Brokerเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์,
ประกันรถยนต์ชั้น1,
โปรโมชั่น รถยนต์,
พรบ.รถยนต์,
พ ร บ รถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557
เรื่องน่ารู้ ตอน ทะเบียนรถ !! โอนลอย.. สะดวกแต่ไม่ปลอดภัย ? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
เรื่องน่ารู้ ตอน ทะเบียนรถ !! โอนลอย.. สะดวกแต่ไม่ปลอดภัย ? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
ปัจจุบัน การซื้อ-ขายรถยนต์ เน้น "ซื้อง่าย - ขายคล่อง" โดยหากท่านเป็นคนหนึ่งที่ประสงค์จะซื้อ - ขายรถเก่า ไม่ว่าจะขายให้กับ "เต้นท์รถ" หรือบุคคลทั่วไป อาจมีคำถามหนึ่งที่มักเกิดขึ้น คือ "โอนลอย" ดีหรือไม่ ??
วันนี้ทางเว็บไซต์ ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ 3เอ็ม ออโต้ฟิล์ม คลับ (3M Auto Film Club) ก็มีความรู้เด็ดๆ มาฝากคนรักรถกับตอน เรื่องน่ารู้ ตอน ทะเบียนรถ !! โอนลอย.. สะดวกแต่ไม่ปลอดภัย ? หลังจากได้แนะนำความรู้ตอน ทางเลือกของคนใช้รถ !! อีโค คาร์ หรือแก๊สรถยนต์ !? ไปในตอนที่แล้วการโอนลอย คืออะไร
การโอนลอย ตามความหมายของกรมขนส่งคือ การที่เจ้าของรถได้ขายรถของตนแล้ว และทำการลงนาม ในเอกสารการโอนรถยนต์ และใบมอบอำนาจให้ผู้ซื้อ โดยมิได้มีการดำเนินการทางทะเบียนที่สำนักงานขนส่งข้อดีของวิธีนี้ คือ ความสะดวกในการซื้อขาย ซึ่งสามารถเปลี่ยนชื่อผู้รับโอนได้เสมอ แต่ข้อเสียที่ตามมา คือความยุ่งยาก และเสียเวลาตัวอย่างเช่น นาย A ขายรถให้กับเต๊นท์เมื่อ 1 ปีก่อน จากนั้นรถดังกล่าวได้ถูกซื้อไปโดยนาย B และนาย B ก็ยังไม่ได้นำเอกสารการโอนลอยที่นาย A ให้ไว้กับเต๊นท์ไปทำการจดทะเบียนเป็นชื่อตน อยู่มาวันหนึ่ง นาย B ขับรถไปชนคนแล้วหลบหนีไป ทางตำรวจตรวจสอบพบว่ายังเป็นชื่อของ นาย A ทำให้นาย A เดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งส่วนการแก้ไขสำหรับเหตุการณ์นี้ นาย A ต้องนำหลักฐานสัญญาซื้อขายที่ทำกับทางเต๊นท์ไปยืนยันว่าตนไม่ได้ครอบครองรถแล้ว ซึ่งในทางกฎหมายการโอนลอย กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะเป็นจองผู้ซื้อ (เต๊นท์) ตั้งแต่วันที่ผู้ขายส่งมอบอีกหนึ่งข้อเสียของการโอนลอย คือ เรื่องของเอกสารหลักฐาน เอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียน ของเจ้าของเดิมมีการหมดอายุ ต้องเสียเวลาไปหาเอกสารปัจจุบัน เป็นต้นขอบคุณที่มา:http://www.3mautofilmclub.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
โบรกเกอร์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์,
โปรโมชั่น รถยนต์,
พ ร บ รถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557
จับกระแส !! Skyactiv Technology คืออะไร : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
จับกระแส !! Skyactiv Technology คืออะไร : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
เป็นที่พูดถึงกันพอสมควรสำหรับ เทคโนโลยี Skyactiv ของค่ายรถยนต์ Mazda ที่หลายๆ คนอาจได้ยินในเป็นอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา (ถึงกับเป็นประเด็นอยู่ในเว็บบอร์ดชื่อดังต่างๆ)
วันนี้ทางเว็บไซต์ ก็มีความรู้เด็ดๆ มาฝากคนรักรถกับตอน จับกระแส !! Skyactiv Technology คืออะไร หลังจากได้แนะนำความรู้ตอน
เทคนิคการดูแลรถยนต์สีขาว ขั้นเทพ !! ไปในตอนที่แล้ว
เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ (Skyactiv) คือ Next-Generation Technology หรือเทคโนโลยีของรถสมรรถนะสูง แต่ดูแลรักษาง่าย และประหยัดพลังงาน โดยรวม 5 นวัตกรรมใหม่ของรถเข้าไว้ด้วยกัน ประกอบไปด้วยSKYACTIV-D
เครื่องยนต์ สกายแอคทีฟ-ดี เป็นเครื่องยนต์ดีเซลสะอาดที่ให้แรงบิดสูง และการเผาไหม้ที่สะอาด รอบจัด ตอบสนองดี ให้การขับขี่ที่สนุกขึ้นกว่าเดิมจุดเด่น
- การสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงประมาณ 20% (เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซล MZR-CD ขนาด 2.2 ลิตร ของมาสด้าในปัจจุบัน) เนื่องจากอัตราส่วนการอัดที่ต่ำถึง 14.0:1
- เพิ่มเทอร์โบชาร์จเจอร์สองขั้น (Two-stage Turbocharge) ทำให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องตลอดช่วงความเร็วรอบ (สูงสุด 5,200 รอบต่อนาที)
- น้ำหนักลดลง 10% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซล MZR-CD ขนาด 2.2 ลิตร ของมาสด้าในปัจจุบัน
- ความเสียดทานภายในเครื่องยนต์ลดลง 20%
- ผ่านการทดสอบมลพิษทั้ง EURO 6 ของยุโรป, Tier II BIN 5 ของสหรัฐอเมริกา และ Japan’s Post New Long-Term ของญี่ปุ่น โดยไม่ต้องใช้เครื่องบำบัดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ที่มีราคาแพง
SKYACTIV-G
เครื่องยนต์ สกายแอคทีฟ-จี ให้ความแรงคู่กับ ความประหยัด เทคโนโลยีใหม่ของเครื่องยนต์เบนซิน ทำให้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีอัตราส่วนการอัดสูงที่สุดในโลก คือ อัตรา 14.0:1 ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น 15% และแรงบิดเพิ่มขึ้น 15%จุดเด่น
- อัตราส่วนการอัดสูง 14.0:1 พร้อมท่อระบายไอเสียแบบ 4-2-1 ลูกสูบแบบมีโพรง หัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงรูปแบบใหม่ และนวัตกรรมอื่นที่ป้องกันการเผาไหม้ผิดปกติ
- ความเสียดทานในเครื่องยนต์ลดลง 30%
- จังหวะการเปิด-ปิดวาล์วตามลำดับแปรผันอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านไอดี และไอเสีย (dual S-VT) ลดการสูญเสียกำลังจากการปั๊ม
- การออกแบบโดยใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาขึ้น: น้ำหนักลดลง โดยรวม 10%
- ลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลงถึง 15% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์เบนซิน MZR ขนาด 2 ลิตร ของมาสด้าในปัจจุบัน
SKYACTIV-BODY
เทคโนโลนี สกายแอคทีฟ-บอดี้ คือ การทำให้รถมีน้ำหนักเบา พร้อมความปลอดภัยที่เหนือกว่า ทั้งแข็งแรง และให้ความปลอดภัยในระดับสูง แต่น้ำหนักเบากว่าเดิมจุดเด่น
- น้ำหนักรถยนต์ลดลง 8% โดยใช้โครงสร้างตัวถังที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ กระบวนการผลิตใหม่ และใช้เหล็กกล้าทนแรงดึงสูงในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
- ให้การขับขี่ที่ดีขึ้น เนื่องจากความแข็งแรงเพิ่มขึ้นกว่า 30% กับแนวคิด “โครงสร้างตรง” และ “งานโครงกรอบแบบต่อเนื่อง”(โครงสร้างวงแหวน)
SKYACTIV-CHASSIS
สกายแอคทีฟ-แชสซี ที่มาสด้าได้ออกแบบระบบช่วงล่าง และระบบบังคับเลี้ยวใหม่ ให้คุณควบคุมรถยนต์ได้อย่างคล่องแคล่ว ตอบสนองเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพิ่มความสบายในการขับขี่ และเสถียรภาพในการทรงตัวของรถได้อย่างเหนือชั้นจุดเด่น
- ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับ “ความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างรถ และผู้ขับขี่” ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการควบคุมรถของ Mazda MX-5 และช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่
- คุณภาพในการขับขี่ที่ดีขึ้นตลอดช่วงความเร็วรอบใช้งาน เนื่องจากการออกแบบทางวิศวกรรมใหม่ที่สมบูรณ์ของการวางระบบรองรับด้านหลัง ตำแหน่งของเทรลลิ่งอาร์ม ส่วนประกอบของระบบบังคับเลี้ยว และการตั้งค่าการขับขี่จากทุกองค์ประกอบ
- ความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า จากน้ำหนักของแชสซีที่ลดลง 14% เนื่องมาจากระบบรองรับที่พัฒนาขึ้นใหม่ ได้แก่ สตรัทด้านหน้า และช่วงล่างหลังแบบมัลติลิงค์
SKYACTIV-DRIVE
สนุกกับการขับขี่มากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีเกียร์อัจฉริยะ สกายแอคทีฟ-ไดรฟ์ เพิ่มความเร้าใจให้ระบบเกียร์อัตโนมัติที่ตอบสนองดี คืนความสนุกให้การขับขี่ พร้อมทั้งยังประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงจุดเด่น
- เทคโนโลยีที่ไม่เหมือนใคร รวมข้อดีของเกียร์ซีวีที (CVT) คลัตช์แผ่นคู่ (Dual Clutch) และเกียร์อัตโนมัติแบบดั้งเดิมเข้าไว้ด้วยกัน
- การควบคุมการขับเคลื่อนโดยตรงตลอดช่วงการทำงาน (ทอร์กคอนเวอร์เตอร์ที่มีระบบคลัตช์แบบล็อคอัพตลอดช่วงการทำงาน) ทำให้รู้สึกเหมือนขับขี่ด้วยเกียร์ธรรมดาอย่างแม่นยำ และปรับปรุงการประหยัดเชื้อเพลิงได้สูงสุด 7% เมื่อเปรียบเทียบกับเกียร์อัตโนมัติในปัจจุบัน
- มีการตอบสนองในการเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็ว และราบเรียบ เนื่องจากโมดูลเมคคาโทรนิกส์แบบใหม่
ขอบคุณที่มา:http://www.3mautofilmclub.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถกะบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์,
ประกันรถยนต์ชั้น1,
โปรโมชั่น รถยนต์,
พ ร บ รถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557
เจาะลึกเรื่องรถ Header คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
เจาะลึกเรื่องรถ Header คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
เฮดเดอร์เป็นอุปกรณ์หนึ่งในระบบท่อระบายไอเสียที่ได้รับความสนใจในการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ แต่จะยุ่งยาก เพราะราคาที่แพง และมีคำถามว่าได้กำลังเพิ่มขึ้นมากคุ้มค่าแค่ไหน?
วันนี้ทางเว็บไซต์ asnbroker.co.th ก็มีความรู้เด็ดๆ มาฝากคนรักรถกับตอน เจาะลึก Header คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร? หลังจากที่ได้แนะนำความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ไขข้อข้องใจ.. ไฟแนนซ์รถยนต์ ไปใน 2 ตอนที่แล้วเครื่องยนต์ 4 จังหวะที่ใช้กันในรถยนต์ทั่วไปมีการทำงานต่อเนื่อง ดูด - อัด - ระเบิด-คาย ในการหมุนเพลาข้อเหวี่ยงรอบต่อ 11 วัฏจักรการทำงาน คือ ดูด-ลูกสูบเลื่อนลง วาล์วไอดีเปิดเพื่อรับไอดีเข้ามา อัด-ลูกสูบเลื่อนขึ้น วาล์วไอดี-ไอเสียปิดสนิท เพื่ออัดเตรียมให้มีการจุดระเบิดในจังหวะต่อไป และระเบิด-จุดระเบิด ด้วยหัวเทียน (สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน) หรือจุดระเบิดด้วยการฉีดละอองน้ำมันเข้าผสมกับอากาศที่ถูกอัดแน่นจนร้อนจัด (สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล) แล้วต่อเนื่องถึงจังหวะสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับ -เฮดเดอร์- คือ คาย-ลูกสูบเลื่อนขึ้น วาล์วไอเสียเปิดเพื่อระบายไอเสียออกจากเครื่องยนต์ เและเตรียมรับไอดีในจังหวะดูดต่อไปการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ได้ผลเต็มที่นั้น ต้องเพิ่มการประจุอากาศ และน้ำมันในด้านไอดี ควบคู่กับการระบายไอเสียออกจากเครื่องยนต์ให้เร็ว และหมดจดที่สุด ถ้าเพิ่มเฉพาะไอดี แต่ไอเสียระบายออกไม่ทันหรือไม่หมด กำลังของเครื่องยนต์ก็จะเพิ่มขึ้นไม่เต็มที่กลับกัน แม้เครื่องยนต์ไม่ได้ปรับแต่งด้านการประจุไอดี แต่ถ้าสามารถเพิ่มการระบายไอเสียให้ดีขึ้นได้ ก็จะมีกำลังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเสมือนเครื่องยนต์เป็นบ้าน ถ้าเพิ่มเฉพาะประสิทธิภาพการนำน้ำสะอาดเข้าบ้าน โดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพการนำน้ำเสียออก น้ำเสียอาจค้างอยู่ และผสมกับน้ำดี หรือมีแรงต้านการดูดน้ำดีเข้าบ้านขอบคุณที่มา:http://www.3mautofilmclub.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์,
ประกันรถยนต์ชั้น1,
โปรโมชั่น รถยนต์,
พ ร บ รถยนต์,
เมืองไทย ประกันภัยรถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557
รู้จักหัวใจแห่งการระบายความร้อน.. ระบบหม้อน้ำ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
รู้จักหัวใจแห่งการระบายความร้อน.. ระบบหม้อน้ำ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
การทำงานของเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความร้อนจะสูงมาก การระบายความร้อนออกจากเครื่องให้ได้มากที่สุด จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งหัวใจของระบบระบายความร้อนจะประกอบไปด้วย หม้อน้ำ พัดลมหม้อน้ำ และปั้มน้ำ
หม้อน้ำ (Radiator)
หม้อน้ำ คืออุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน จากน้ำที่ไหลมาจากโพรงผนังเสื้อสูบ เข้าสู่หม้อน้ำทางด้านบน ไหลลงตามท่อน้ำในหม้อน้ำ ซึ่งท่อน้ำเหล่านี้ จะเชื่อมติดกับครีบระบายความร้อน (รังผึ้ง) ซึ่งทำจากโลหะที่ถ่ายเท ความร้อนได้รวดเร็ว เมื่อน้ำเหล่านี้ เคลื่อนตัวจากด้านบน ลงสู่ด้านล่าง ก็จะถ่ายเทความร้อนออกไป ให้ครีบระบายความร้อน
ขณะเดียวกันนั้น พัดลมหม้อน้ำ (Fan) จะทำการหมุน เพื่อดูดอากาศที่อยู่ด้านหน้าหม้อน้ำ ผ่านครีบระบายความร้อนหม้อน้ำ ออกมาทางด้านหลัง ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความร้อนไปเป็นอากาศ
พัดลมหม้อน้ำ (Fan)
พัดลมหม้อน้ำ จะทำหน้าที่ระบายความร้อน โดยจะพัดเอาความร้อนด้านหน้า หม้อน้ำ (Radiator) ผ่านครีบระบายความร้อน ออกมาทางด้านหลังหม้อน้ำ ซึ่งพัดลมหม้อน้ำนี้จะมี 2 ประเภทประกอบไปด้วย
สำหรับเครื่องยนต์ที่วางเครื่องตามแนวยาวของตัวรถ จะติดตั้งพัดลมหม้อน้ำ บนแกนเพลาเดียวกับเพลาปั๊มพ์น้ำ (Water pump) และจะมีสายพานคล้องยึดไว้ เพื่อรับแรงฉุดหมุนมาจาก พูลเล่ย์เพลาข้อเหวี่ยง (Crankshaft Pulley)
- พัดลมหม้อน้ำขับเคลื่อนด้วยแรงฉุดหมุน
สำหรับพัดลมไฟฟ้า จะใช้มอเตอร์ในการหมุนใบพัด และต่อสวิตช์ร่วมกับสายไฟที่มาจากแบตเตอรี่ ในเครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ การหมุนของมอเตอร์พัดลมไฟฟ้า จะถูกควบคุมโดยสวิตช์ความร้อน ซึ่งในขณะที่สตาร์ท และอุ่นเครื่องอยู่ ความร้อนจากภายในโพรงน้ำ ยังไม่สามารถทำให้วาล์วน้ำเปิดออกได้ ซึ่งทำให้ เครื่องยนต์อุ่นตัวเร็วขึ้น เมื่อถึงจุดความร้อนประมาณ 88 ถึง 95 C พัดลมไฟฟ้า จึงจะเริ่มทำงาน และจะหยุดทำงาน เมื่ออุณหภูมิของน้ำหล่อเย็น ต่ำกว่านี้
- พัดลมหม้อน้ำไฟฟ้า
ปั๊มน้ำ (Water Pump)
สำหรับปั๊มพ์น้ำนั้น จะทำหน้าที่ให้น้ำหล่อเย็นในระบบ เกิดการหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ตราบที่เครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ โดยปกติปั๊มพ์น้ำ จะติดตั้งอยู่ที่ปลายด้านหน้าของเสื้อสูบ การทำงานของปัมพ์น้ำ จะได้รับแรงฉุดให้หมุนมาจากสายพาน ซึ่งคล้องไปกับ พูลเล่ย์เพลาข้อเหวี่ยง (Crankshaft Pulley)
ขอบคุณที่มา:http://www.3mautofilmclub.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
โบรกเกอร์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์,
ประกันรถยนต์ชั้น1,
พ ร บ รถยนต์,
เมืองไทย ประกันภัยรถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557
เทคนิคในการกำจัดยางไม้ ติดรถ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
เทคนิคในการกำจัดยางไม้ ติดรถ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
เรื่องความสะอาดของตัวรถ แต่ละคนคงให้ความสำคัญแตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส, พื้นที่ และความใส่ใจของเจ้าของแต่ละคน ยิ่งช่วงที่ฝนตกบ่อยๆ ด้วยแล้ว สังเกตได้เลยว่าแต่ละคันนี่ต้องมีคราบติดตัวรถกันทั้งนั้น เพราะถึงจะขัดสีจนเอี่ยมซักเพียงไหน พอเจอฝน หรือน้ำขังมันก็เลอะเหมือนเดิม แต่คราบสกปรกแบบนี้ยังธรรมดา เมื่อเทียบกับคราบยางมะตอยหรือยางไม้ ที่หากเอาออกไม่ถูกวิธี (ขูดอย่างเดียว) อาจทำให้เกิดรอยที่ตัวถังได้ครับ
วันนี้ทางเว็บไซต์ 3เอ็ม ออโต้ ฟิล์ม (3M Auto Film) จึงมีความรู้เด็ดๆ มาฝากคนรักรถเกี่ยวกับเรื่อง เทคนิคในการกำจัดยางไม้ หลังจากที่ได้แนะนำความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ไมล์เรืองแสง ดาบ 2 คมของคนใช้ถนน ไปในตอนที่แล้ว
การล้างรถด้วยแชมพูล้างรถธรรมดานั้น ไม่สามารถกำจัดคราบแมลง, ยางไม้หรือยางมะตอยได้ แต่การกำจัดคราบสกปรกเหล่านี้ทำได้ง่ายกว่าที่คุณคิด เพียงแต่ต้องมีตัวช่วยอย่างแอลกอฮอล์สำหรับจุดไฟ (Denatured Alcohol หรือเอธิลแอลกอฮอล์ 95 %) หรือ Bug & Tar Remover ที่เป็นน้ำยาทำความสะอาดเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็มีอยู่หลายแบรนด์พอสมควร สามารถหาซื้อได้ตามแผนกประดับยนต์ในห้างสรรพสินค้า หรือตามคาร์แคร์ที่เป็นเฟรนไชส์
ซึ่งวิธีทำความสะอาดคราบยางไม้นั้น อันดับแรกคือ ล้างรถให้เอี่ยมอ่องซะก่อน เพื่อจะปลดเปลื้องเอาคราบสกปรกที่อยู่ใกล้ๆ กับคราบแมลง, ยางไม้หรือยางมะตอยออกให้หมด เพราะไม่งั้นเวลาที่เราลงมือล้างคราบดังกล่าว สีก็จะเป็นรอยจากการเสียดสีของดิน หรือฝุ่นที่ติดค้างอยู่นั่นเอง และการล้างรถก่อนยังช่วยให้เราเห็นคราบสกปรกชัดเจนกว่าด้วยครับ
หลังจากนั้นให้ใช้ผ้านุ่มๆ ชุบแอลกอฮอล์จนชุ่ม แล้วกดทับบริเวณที่เลอะคราบแมลง, ยางไม้หรือยางมะตอยเอาไว้ 10-30 วินาที เพื่อให้คราบดังกล่าวนิ่มลง และถ้าบริเวณที่เลอะมีขนาดค่อนข้างกว้าง ก็ให้ชุบแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น
ในกรณีที่เป็นซากแมลง ให้ใช้ผ้าชุบแอลกอฮอล์ชุ่มๆ คลุมบริเวณที่เลอะ แล้วค่อยๆ เช็ดเป็นรูปวงกลมจากนอกเข้าสู่ใน ก็จะทำให้คราบนิ่มลงได้
ซึ่งถ้าปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้แล้ว ยังพบว่าไม่หายก็คงต้องพึ่งคาร์แคร์แล้วล่ะครับ และโดยส่วนใหญ่เค้าจะมีโปรแกรมขจัดคราบเหล่านี้อยู่แล้วครับ
ขอบคุณที่มา:http://www.3mautofilmclub.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถกะบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์,
ประกันรถยนต์ชั้น1,
โปรโมชั่น รถยนต์,
พ ร บ รถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557
เทียบสเป็ค! Honda Civic และ Toyota Altis ใครเหนือกว่าใคร : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
เทียบสเป็ค! Honda Civic และ Toyota Altis ใครเหนือกว่าใคร : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์
เปิดตัวไปสดๆร้อนๆสำหรับ Toyota Corolla Altis 2014 ใหม่ล่าสุด ซึ่งก็ตามมาด้วยเสียงวิจารณ์กันต่างๆนาๆ ทั้งเรื่องของรูปลักษณ์หน้าตาและราคาว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
วันนี้ จะมาเทียบสเป็คและอ็อพชั่นกันหมัดต่อหมัดคู่แข่งตลอดกาลระหว่าง HondaCivic และ Toyota Corolla Altis 2014 ใหม่ ว่าใครเหนือใครตรงไหนกันบ้าง
โดยหลักเกณฑ์การเลือกรุ่นย่อยนั้น เราได้ยกเอารุ่นท็อปสุดที่มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากที่สุดของทั้งสองรุ่นมาเปรียบเทียบกันนั่นคือ Toyota Corolla Altis 1.8 V Navi และ Honda Civic 2.0 EL Navi ครับ
มิติตัวถังและเครื่องยนต์
เริ่มต้นด้วยขนาดตัวถังที่ Altis 2014 ที่ได้เปรียบเรื่องความยาวและความกว้างกว่า Civic อย่างชัดเจน ขณะที่ Altis 2014 กลับมีสมรรถนะด้อยกว่าเนื่องจากตัดเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรออกไป โดย Civic มีแรงม้าถึง 155 ตัว ซึ่งมากกว่า Altis อยู่ 14 แรงม้า และแรงบิดที่มากกว่าอยู่ 23 นิวตันเมตร
ด้านระบบเกียร์ของ Altis 2014 เป็นแบบแปรผันต่อเนื่อง (CVT) ที่ล็อคอัตราทดได้ 7 จังหวะ ขณะที่ Civic เป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ซึ่งทั้งสองให้บุคลิกต่างกันขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล โดยทั้งคู่สามารถรองรับเชื้อเพลิง E85 ได้
อุปกรณ์มาตรฐาน
มาต่อด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่ถือว่าค่อนค้างใกล้เคียงกัน ทั้งคู่มาพร้อมไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมหลอด HID ทั้งคู่ สามารถควบคุมการเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ แต่ Altis ใหม่มีฟังก์ชั่นไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Light) เพิ่มขึ้นมา ในขณะที่ที่ปัดน้ำฝนของ Altis จะมีระบบอัตโนมัติมาให้ ซึ่ง Civic ยังคงเป็นแบบตั้งหน่วงเวลาทั่วไป กระจกมองหลังของ Altis เหนือกว่าด้วยระบบตัดแสงอัตโนมัติ ช่วยให้แสงไฟจากรถด้านหลังไม่แยงตา ขณะที่ Civic ต้องปรับเองด้วยมือ
แต่กระนั้น Civic ยังมาพร้อมโหมด Eco Assist ที่ช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์และระบบแอร์เพื่อให้ได้ความประหยัดน้ำมันสูงสุด ขณะที่ Altis จะมีเพียงสัญลักษณ์ Eco ช่วยแนะนำผู้ขับขี่เท่านั้น
อุปกรณ์ต่างๆนอกเหนือจากนี้แทบจะเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นกุญแจอัจฉริยะที่มาพร้อมปุ่มสตาร์ท แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบนำทาง สามาเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth ได้ และยังมีกล้องมองหลังช่วยในการถอยจอดอีกด้วย
ระบบความปลอดภัย
ด้านระบบความปลอดภัยของทั้งpAltis 1.8V และ Civic 2.0 EL ให้มาค่อนข้างครบ โดยทั้งคู่มาพร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า ในขณะที่ Civic มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง i-Side มาให้ด้วย ทั้งสองรุ่นมีระบบเบรค ABS ระบบกระจายแรงเบรค EBD ระบบเพิ่มแรงเบรค BA ระบบควบคุมเสถียรภาพก็มีให้ทั้งคู่โดย Altis ใช้ชื่อว่า VSC ขณะที่ Civic จะใช้ชื่อว่า VSA
สนนราคาของ Toyota Corolla Altis 1.8V Navi อยู่ที่ 1,069,000 บาท ในขณะที่ Honda Civic 2.0 EL Navi ราคาอยู่ที่ 1,130,000 บาท แต่ด้วยข้อแตกต่างกันระหว่างสมรรถนะและอุปกรณ์มาตรฐาน ทำให้ Toyota Corolla Altis เป็นรถที่มีอุปกรณ์ติดรถมาให้เยอะกว่า ขณะที่ Honda Civicก็ให้สมรรถนะที่ดีกว่าแง่ของกำลังเครื่องยนต์ แม้ว่าอ็อพชั่นภายในจะด้อยกว่าแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยบุคลิกที่ต่างชัดเจนของทั้งสองรุ่น ก็คงขึ้นอยู่กับคุณผู้อ่านแล้วล่ะครับว่าชอบยี่ห้อไหนมากกว่ากัน
Honda CivicHonda CivicHonda Civic Honda Civic Honda Civic Honda Civic Honda Civic Honda Civic Toyota Altis 2014 Toyota Altis 2014 Toyota Altis 2014 Toyota Altis 2014 Toyota Altis 2014 Toyota Altis 2014 Toyota Altis 2014 Toyota Altis 2014Toyota Altis 2014
ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blogขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ เช็คเบี้ยฟรีวันนี้รับฟรี Voucher ส่วนลดคาร์แคร์ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ป้ายกำกับ:
เคลมประกัน,
ต่อประกันรถยนต์,
บริษัทประกันภัยรถยนต์,
เบี้ยประกันภัยรถยนต์,
โบรกเกอร์,
ประกันชั้น1,
ประกันชั้น2,
ประกันชั้น2พลัส,
ประกันชั้น3,
ประกันชั้น3พลัส,
ประกันภัย ชั้น1,
ประกันภัย ชั้น1 ราคา,
ประกันภัยรถยนต์,
ประกันรถกระบะ,
ประกันรถเก๋ง,
ประกันรถยนต์,
ประกันรถยนต์ชั้น1,
โปรโมชั่น รถยนต์,
พ ร บ รถยนต์,
ราคา ประกัน ชั้น1
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)