วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ภาษีรถยนต์ใหม่ เริ่มใช้ปี 59 เรื่องที่คนเตรียมถอยรถป้ายแดงควรรู้ #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้

ภาษีรถยนต์ใหม่ เริ่มใช้ปี 59 เรื่องที่คนเตรียมถอยรถป้ายแดงควรรู้
ภาษีรถยนต์ใหม่ เริ่มใช้ปี 59 เรื่องที่คนเตรียมถอยรถป้ายแดงควรรู้ 

ภาษีรถยนต์ใหม่ เริ่มใช้ปี 59 เรื่องที่คนเตรียมถอยรถป้ายแดงควรรู้ 
ที่มา http://www.smartsme.tv/lifestyle-detail.php?id=18543
        ภาษี รถยนต์ใหม่ ที่จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2559 ทำให้คนที่กำลังคิดจะ ซื้อรถ ต้องนั่งคำนวณตัวเลขกันวุ่นกับภาษีที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น
แต่งานนี้ Eco Car ได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆ เพราะได้ลดภาษี !!

        ใครที่กำลังวางแผนซื้อรถใหม่ในช่วงปี 2559 เตรียมเก็บเงินเพิ่มได้เลย เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
รัฐบาลจะทำการปรับอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ทั้งระบบ เนื่องจากเห็นว่า
การจัดเก็บภาษีในอัตราเดิมนั้นมีการบิดเบือนโครงสร้างทางภาษีสรรพสามิต และก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีรถยนต์
จึงได้มีการคลอดเกณฑ์การจัดเก็บภาษีรถยนต์แบบใหม่ โดยพิจารณาจากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ด้วยหวังจะลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศนั่นเอง

        งานนี้เหล่าผู้ที่กำลังจะควักกระเป๋าซื้อรถประเภทอีโคคาร์ ดูเหมือนจะได้รับอานิสงส์จากภาษีใหม่ไปเต็ม ๆ
เพราะเป็นรถประเภทที่ปล่อยไอเสียในอัตราที่ไม่สูงมาก ทำให้อัตราการเก็บภาษีลดลงไปโดยปริยาย ขณะที่รถยนต์ประเภทอื่นๆ
ที่ปล่อยไอเสียในอัตราที่สูง ก็เตรียมก้มหน้ารับรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้นตามปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้เลย
ซึ่งแบ่งเป็นการคิดภาษีตามประเภทรถยนต์และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนี้
       จากตารางที่แสดงอยู่ด้านบนทางด้านกรมสรรพสามิตแบ่งแยกรถยนต์อย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่สามารถจำแยกเครื่องยนต์ออกไปอย่างละเอียดได้
อัตราภาษีจะอย่างในช่วง 10% จนไปถึง 50% เลยทีเดียว เราจะมาแบ่งแยกให้ชัดเจนเพื่อทำควมเข้าใจกับระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่กัน
โดยจะแบ่งออกเป็น 8 ประเภท
1. รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 40% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)
 
เก๋ง/เอสยูวี ไม่เกิน 2,000 ซีซี ภาษีขึ้น 3-10 %
       รถยนต์นั่งในพิกัดนี้ ถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาด มีตั้งแต่ รถยนต์ระดับซับคอมแพคท์ จนถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมหลายรุ่น
ที่หันมาใช้เครื่องยนต์ความจุน้อยลง รวมทั้งเอสยูวีบางรุ่นด้วย
       ในอัตราภาษีเดิม รถยนต์ซับคอมแพคท์ ที่รองรับน้ำมันE20เช่น โตโยตา วีออส, เชฟโรเลต์ โซนิค, ฟอร์ด ฟิเอสตา
จะเสีย25%แต่อัตราใหม่ รถเหล่านี้ถ้าปล่อยCO2 ไม่เกิน150กรัมต่อกิโลเมตร จะต้องเสียภาษีเพิ่มเป็น30%
ส่วนรถบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85 เช่น ฮอนด้า แจ๊ซ จะเสีย 25% เท่าเดิม
       รถยนต์คอมแพคท์ ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1,780-2,000 ซีซี และรองรับน้ำมัน E85 เช่น โตโยตา อัลทิส (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี),
ฮอนดา ซีวิค, เชฟโรเลต์ ครูซ (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี), มาซดา 3 อัตราเดิมเสีย 22 % ส่วนอัตราใหม่ รุ่นที่ปล่อย CO2
ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียเพิ่มเป็น 25 % ส่วนรุ่นที่ปล่อยในพิกัด 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียเพิ่มเป็น 30 %
ส่วนรถที่รองรับน้ำมัน E20 จากเดิมเสีย 25 % ก็จะต้องเพิ่มเป็น 30 % หรือ 35 % ตามปริมาณการปล่อยไอเสีย
       รถยนต์นั่งขนาดกลางและเอสยูวีหลายรุ่น ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เช่น โตโยตา แคมรี, ฮอนดา แอคคอร์ด,
ฮอนดา ซีอาร์วี, นิสสัน เทอานา, มาซดา ซีเอกซ์-5 ฯลฯ มีทั้งรุ่นที่รองรับน้ำมัน E20 และ E85 ซึ่งถูกคิดภาษีอยู่ที่ 25 %
และ 22 % ตามลำดับ รถระดับนี้ ส่วนใหญ่ยังคงปล่อยไอเสียในพิกัด 151-200 กรัมต่อกิโลเมตรอยู่
ดังนั้น จะเสียภาษี 35 % หรือ 30 % ขึ้นกับน้ำมันที่รองรับ
       นอกจากนี้ รถยนต์ระดับพรีเมียม ตั้งแต่ขนาดซับคอมแพคท์ จนถึงขนาดกลางหลายรุ่น ก็จะถูกคิดภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน
ขึ้นอยู่กับปริมาณการปล่อยไอเสีย

เก๋ง/เอสยูวี 2,001-2,500 ซีซี ภาษีแพงขึ้น
       ในพิกัดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์นั่งและเอสยูวีขนาดกลาง รวมถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมบางรุ่น  ซึ่งเดิมเสียภาษี 30%และ27%
ขึ้นอยู่กับว่ารองรับน้ำมัน E20 หรือ E85 ซึ่งเท่าที่สำรวจรถในตลาด พบว่า รถที่ใช้เครื่องยนต์ระดับนี้ จะปล่อยไอเสีย 151-200
กรัมต่อกิโลเมตร ดังนั้นจะถูกเพิ่มภาษีเป็น 35 % สำหรับรถที่รองรับน้ำมัน E20 และ 30 % สำหรับบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85
2. รถยนต์นั่งประเภทอี 85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)
3. รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 10%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 10%
– ปล่อยก๊าซเกิน 100-150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 20%
– ปล่อยก๊าซเกิน 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30%
4. รถยนต์ Eco Car (เดิมจัดเก็บภาษี 17%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร และใช้น้ำมัน E85 ได้ จัดเก็บภาษี 12%
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 14%
– ปล่อยก๊าซเกิน 100-120 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 17%
5. รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 3%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 5%
6. รถยนต์กระบะที่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 5%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 7%
7. รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (ดับเบิ้ลแคป) มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 12%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 12%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 15%
8. รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 20%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25%
– ปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30%
       รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (PPV) ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 3,250 ซีซี จากเดิมเสียภาษี 20 % ทุกรุ่น ในอัตราใหม่จะเพิ่มเป็น 25 % สำหรับรถที่ปล่อยไอเสีย ไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร และ 30 % สำหรับรถที่ปล่อยไอเสียเกิน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ส่วนใหญ๋นั้นยังมีค่าไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร หมายความว่า ในปี 2559 รถพีพีวี จะเสียภาษีแพงขึ้นอีก 10 % แทบทุกรุ่น
       จากภาพด้านบนจะเห็นได้ว่ารถยนต์ประเภทอีโคคาร์นั้นมาราคาถูกลง ซึ่งเป็นนโยบายที่ทางกรมสรรพสามิตต้องการสนับรถยนต์ประหยัดพลังงานและรักษ์โลกโดยจะปล่อยก๊าซ CO² ต่ำกว่า 100 g/km
สรุป : ภาษีใหม่ = มาตรฐานใหม่
       อัตราภาษีใหม่นี้ คาดว่าจะทำให้รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ขายอยู่ในตลาด มีราคาสูงขึ้น เพราะต้นทุนค่าภาษีจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย3-10%อย่างไรก็ตาม
ภาษีใหม่นี้ จะสร้าง “มาตรฐานใหม่” ให้แก่วงการยานยนต์ไทย โดยจะกระตุ้นให้ผู้ผลิต พัฒนา และสร้างสรรค์รถยนต์ที่ประหยัดพลังงาน และปล่อยไอเสียต่ำ เพื่อให้อยู่ในพิกัดภาษีที่เหมาะสม ดังนั้น ในระยะยาว คนไทยจะได้ใช้รถยนต์ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ช่องสยามธุรกิจ เสนอข่าว ASN Broker เปิดเกมรุกตลาดนายหน้าประกัน ชูกลยุทธ์ QC การขายแบบ Tele Marketing 100%

ช่องสยามธุรกิจ เสนอข่าว ASN Broker เปิดเกมรุกตลาดนายหน้าประกัน ชูกลยุทธ์ QC การขายแบบ Tele Marketing 100%
ช่องสยามธุรกิจ เสนอข่าว ASN Broker เปิดเกมรุกตลาดนายหน้าประกัน ชูกลยุทธ์ QC การขายแบบ Tele Marketing 100%

ASN Broker เปิดเกมรุกตลาดนายหน้าประกันในไทย ประกาศใช้กลยุทธ์ QC การขายแบบ Tele Marketing 100% ยึดหลักความถูกต้องตามกฏ คปภ.และประโยชน์สูงสุดของลูกค้า มัดใจผู้บริโภคขึ้นสู่ตำแหน่ง บริษัทยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งในดวงใจ “ธวัชชัย ชีวานนท์” ผู้บริหารไฟแรงระบุ วางระบบที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริง การันตีไม่มีมัดมือชกแน่นอนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยื่นในอนาคต  ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมปีนี้ 1,100 ล้านบาท โต 25% จากปีก่อน 

           
            นายธวัชชัย ชีวานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASN Broker ผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และประกันชีวิตในระบบการขายผ่านโทรศัพท์ หรือ เทเล มาร์เก็ตติ้ง (Tele Marketing) ที่ได้มาตรฐานระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยถึงทิศทางการขยายธุรกิจนายหน้าประกันฯ ท่ามกลางกระแสการแข่งขันรุนแรงว่า  บริษัทฯ มุ่งสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างการยอมรับในกลุ่มผู้บริโภค ควบคู่กับการสร้างยอดขายและรายได้ เพื่อขึ้นสู่เป้าหมายบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิตอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดกับพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมที่จะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว



            เขากล่าวว่า การขึ้นสู่เป้าหมายบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิตยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค ในระบบการขายแบบ Tele Marketing ในประเทศไทย บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ยึดมั่นในมาตรฐานความถูกต้อง โปร่งใส ตามกฎกติกาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตั้งแต่ขั้นตอนการขายจนถึงขั้นตอนกรรมธรรม์ถึงมือลูกค้า นอกจากนั้นยังมีระยะเวลาการตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัย (Free Look Period) โดยให้สิทธิ์ผู้เอาประกันภัยสามารถยกเลิกกรมธรรม์ได้ภายในเวลาถึง 30 วัน เพื่อให้ลูกค้าซื้อประกันจากบริษัทฯด้วยความเต็มใจและพึงพอใจ

           “ความแตกต่างของการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิตของ ASN Broker ที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นโดยเฉพาะรายเล็กก็คือ เรามีระบบตรวจสอบการซื้อประกันของลูกค้า(QC : Quality control) ถึง 100% อย่างชัดเจนตั้งแต่ขั้นตอนการขายของ Tele Sale คือหลังจบการขายแล้ว จะมีทีม QC เข้ามาตรวจสอบการเจรจาซื้อขายระหว่างพนักงานและลูกค้าในทุกๆ สัญญา ว่าให้ข้อมูลกรมธรรม์กับลูกค้าครบถ้วนหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ ลูกค้ายินยอมซื้อด้วยความเต็มใจหรือไม่ ก่อนดำเนินการออกเอกสารสัญญาในลำดับขั้นตอนต่อไป เพื่อให้การซื้อประกันอยู่บนข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเพื่อป้องกันปัญหาการซื้อประกันที่ไม่รับความยินยอมจากผู้บริโภคอย่างแท้จริง ทำให้ที่ผ่านมาเราไม่มีปัญหากับลูกค้าเรื่องการซื้อประกัน ซึ่งเราเชื่อว่าระบบ QC ที่ดีจะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่น และได้รับประโยชน์สูงสุดจากการซื้อประกันทุกรายการ และในที่สุด ASN Broker จะเข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้า”  นายธวัชชัยกล่าว

          ปัจจุบัน บริษัทฯ รับเป็นนายหน้าขายประกัน 2 ประเภทคือ ประกันวินาศภัยประกันภัยรถ ให้กับบริษัทประกันชั้นนำรวมกว่า 10 บริษัท มีสัดส่วนเบี้ยประกันถึง 75% ของเบี้ยประกันทั้งหมด และประกันชีวิตให้กับบริษัทประกันชีวิต 2 ราย มีสัดส่วนเบี้ยประกัน 25% ของเบี้ยประกันทั้งหมดประมาณ 880 ล้านบาทในปี 2557 ที่ผ่านมา โดยมีทีมขาย หรือ Telesale Agent รวม 200 คน และในปี 2558 บริษัทฯ ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมกว่า 1,100 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% จากปี 2557 ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าการเติบโตของภาพรวมอุตสาหกรรม โดยในปี 2557 ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยประกันภัยรถยนต์มีมูลค่ารวม 117,903 ล้านบาทเติบโตติดลบ0.47% จากปีก่อน (ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)
 "บริษัทมีจุดแข็งในการดำ เนินงานที่มีความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น โดยเฉพาะราย เล็ก ด้วยระบบการตรวจสอบการซื้อ ประกันของลูกค้าถึง 100% ตั้งแต่ขั้น ตอนการขายของทีมขายบริการหลัง การขาย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบการเจรจาซื้อขายระหว่างพนักงานและลูกค้า ทำให้ที่ผ่านมาบริษัทไม่เคยมีปัญหากับลูกค้าเรื่องการซื้อประกัน" นายธวัชชัยกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนหาพาร์ต เนอร์ทางธุรกิจรายใหม่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมี 2 แห่ง คือ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และ บมจ.พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต นอกจากนี้ ยังมีแผนเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร จากปัจจุบันที่เน้นการขายเฉพาะกลุ่มลูกค้ารายย่อย คาดว่าในปี 2559 จะเริ่มรุกกลุ่มลูกค้าองค์กรผ่านช่องทางขายตรง โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้ารวมประมาณ 20,000 ราย

สำหรับปีนี้ตั้งเป้ามีเบี้ยประกันภัยรับรวม 1,100 ล้านบาท เติบโต 25% และตั้งเป้ามีกำไรจากค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ย 20% หรือประมาณ 200 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 880 ล้านบาท เติบโต 8% จากประกันวินาศภัย 75% และประกันชีวิต 25%.

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ตั้งทริปเปิ้ล เอ พลัสฯ ที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมยื่นไฟลิ่งเข้า เอ็ม เอ ไอ กระจายหุ้นต้นปีหน้า

เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ตั้งทริปเปิ้ล เอ พลัสฯ ที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมยื่นไฟลิ่งเข้า เอ็ม เอ ไอ กระจายหุ้นต้นปีหน้า
เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ตั้งทริปเปิ้ล เอ พลัสฯ ที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมยื่นไฟลิ่งเข้า เอ็ม เอ ไอ กระจายหุ้นต้นปีหน้า
เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ประกาศแต่งตั้ง บริษัททริปเปิ้ล เอ พลัส แอดไวเซอรี จำกัด  เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมเสนอขายหุ้น IPO เข้าตลาด mai “ธวัชชัย ชีวานนท์” ผู้บริหารไฟแรงเผย ระดมทุนขยายกิจการ ทั้งสร้างระบบฐานข้อมูลอัจฉริยะเพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บริษัทเข้าใจทุกความต้องการของลูกค้าในอนาคต อันจะนำมาสู่วิธีปิดการขายได้ง่ายขึ้น พร้อมตั้งเป้าเบี้ยรับรวมปีนี้และปีหน้าโต 25% ขณะที่ FA มั่นใจ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เล็งกระจายหุ้นต้นปีหน้า

นายธวัชชัย ชีวานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยประกันภัยรถยนต์ และประกันชีวิต ที่ได้มาตรฐานระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยว่า  ขณะนี้บริษัทมีความพร้อมในทุกๆ ด้านแล้ว  ที่จะก้าวเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ    โดยได้แต่งตั้งให้ บริษัท ทริปเปิ้ล เอ พลัส แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ปัจจุบัน เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ประกันภัยรถยนต์ และประกันชีวิต โดย มีสัดส่วน 75% เป็นเบี้ยประกันวินาศภัยประกันภัยรถยนต์ และ 25% เป็นประกันชีวิต ซึ่งในปี 2558 ตั้งเป้ายอดเบี้ยรับประกันรวมจะโตขึ้น 25% หรือคิดเป็นตัวเลข 1,100 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตขึ้นในอัตรา 25% เช่นเดียวกันในปี 2559

“ตลอดปี 2558 จนถึงขณะนี้ เบี้ยรับรวมยังคงเติบโตใกล้เคียงเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายด้านภาพรวมเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงชะลอตัว และแม้ในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่สดใส แต่ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว โดยส่วนหนึ่งคือการจับมือ 5 พันธมิตรในธุรกิจประกัน จัดหาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่เป็นสินค้าเฉพาะของ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ กับพันธมิตร ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และนั่นจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้สำเร็จ” นายธวัชชัย กล่าว

นอกจากนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ ยังได้รับผลดีจากที่ผู้ประกอบการรถยนต์ค่ายใหญ่ต่างเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดแสดงนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านยานยนต์ ซึ่งจะกระตุ้นให้ยอดขายประกันภัยรถยนต์ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และถึงแม้ภาพรวมตลาดรถยนต์ใหม่ๆ จะไม่โต แต่ประเมินว่าตลาดนี้ใหญ่มากพอที่จะเป็นช่องทางให้ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เติบโตในธุรกิจประกันวินาศภัยประกันภัยรถยนต์ต่อไปได้ ด้วยการปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลา  และจัดเตรียมเครื่องมือต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด

กรรมการผู้จัดการ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ กล่าวต่อว่า สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้ในการขยายธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยประกันภัยรถยนต์ และประกันชีวิต พร้อมกับลงทุนพัฒนาระบบ “ฐานข้อมูลอัจฉริยะ” ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลระบบไอทีที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า ได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เหมาะกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น โดยมั่นใจว่า “ฐานข้อมูลอัจฉริยะ” จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เข้าใจทุกความต้องการของลูกค้าในอนาคต

“การตัดสินใจระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้  ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัทฯ  ที่จะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจของ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ มีโอกาสเติบโตได้ดียิ่งขึ้นบนพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่าเดิม เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทมีผลประกอบการที่ขยายตัวต่อเนื่องทุกปี เมื่อผนึกกับการมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นจะเพิ่มความสามารถในการต่อยอดธุรกิจในอนาคตได้เป็นอย่างดี  ซึ่งเชื่อว่า เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จะเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเมื่อมีการเปิดให้จองซื้อหุ้นและเข้าซื้อขายในอนาคต” นายธวัชชัย กล่าวในที่สุด

นางสาวปิ่นมณี  เมฆมัณฑนา  กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริปเปิ้ล เอ พลัส แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ที่วางใจเลือกบริษัทเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการนำหุ้นไอพีโอเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้   โดยเชื่อว่า  เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เป็นบริษัทที่จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผลประกอบการเติบโตในทิศทางที่ดีมาโดยตลอด นับตั้งแต่ก่อตั้ง และถือว่าเป็นบริษัทนายหน้าประกันภัยและประกันชีวิตรายแรกที่นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงถือเป็นอีกบริษัทที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มในอนาคตที่ยังสามารถเติบโตต่อไปได้อีกมาก   ตามการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ และการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ที่จะทำให้ประชาชนหันมาให้ความความสำคัญและสนใจในการทำประกันชีวิตมากขึ้น

สำหรับผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมาของเอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2557 บริษัทมีเบี้ยรับรวม 887.70 ล้านบาท บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.17  จากปี 2556 โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 153 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 21 ล้านบาท สำหรับงวด 6 เดือนของปี 2558 สิ้นสุดมิถุนายน 2558 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 79 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 12 ล้านบาท โดยมีสินทรัพย์รวม 130 ล้านบาท หนี้สินรวม 47  ล้านบาท และมีส่วนผู้ถือหุ้นรวม 83  ล้านบาทคิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 0.56 เท่าทั้งนี้ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียน 65 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 260 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท และมีทุนเรียกชำระแล้ว 50 ล้านบาท จะเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทต่อประชาชนในครั้งนี้รวมจำนวนทั้งสิ้น 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25  บาท หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 23.07 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล เพื่อจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขออนุมัติการกระจายหุ้นให้กับประชาชนเป็นการทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)  ซึ่งคาดว่าจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลได้ภายในปีนี้และเข้าทำการซื้อขายในต้นปี 2559

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

INTV /นสพ.ตลาดวิเคราะห์ เสนอข่าว เอเอสเอ็น จับมือ 5 พันธมิตรบุกตลาดประกันรถยนต์เต็มสูบ #ข่าวเด่นวันนี้ #เรื่องเล่าเช้านี้

INTV /นสพ.ตลาดวิเคราะห์ เสนอข่าว เอเอสเอ็น จับมือ 5 พันธมิตรบุกตลาดประกันรถยนต์เต็มสูบ #ข่าวเด่นวันนี้ #เรื่องเล่าเช้านี้
INTV /นสพ.ตลาดวิเคราะห์ เสนอข่าว เอเอสเอ็น จับมือ 5 พันธมิตรบุกตลาดประกันรถยนต์เต็มสูบ #ข่าวเด่นวันนี้ #เรื่องเล่าเช้านี้

เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เปิดมิติใหม่วงการนายหน้าประกันภัยรถยนต์ ประกาศจับมือ 5พันธมิตรจัดข้อเสนอที่เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายผู้ซื้อรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ และโตโยต้า "ธวัชชัย ชีวานนท์" บอสใหญ่มั่นใจ ดันเป้ายอดเบี้ยรับรวมปี 59 โต 25% จากปี 58 ที่คาดว่ายอดเบี้ยรับรวมจะอยู่ที่1,100 ล้านบาท ขณะที่ 5 พันธมิตรฟันธงผลิตภัณฑ์จะเหมาะสมทั้งราคาและความคุ้มครอง ทั้งเชื่อดัน เอเอสเอ็น สู่อันดับนายหน้าที่มียอดขายติด TOP 10 ของตลาดประกันภัยรถยนต์

          นายธวัชชัย ชีวานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยประกันภัยรถยนต์ และประกันชีวิต ที่ได้มาตรฐานระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้สร้างมิติใหม่ให้กับธุรกิจนายหน้าประกันภัยรถยนต์ ด้วยการจับมือกับ 5 บริษัทประกันภัยรถยนต์ระดับแนวหน้า ขยายฐานลูกค้าในกลุ่มประกันภัยรถยนต์ ด้วยการร่วมกันจัดหาแพ็คเกจประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จำหน่ายตรงถึงลูกค้าในระบบการขายผ่านโทรศัพท์ หรือ เทเล มาร์เก็ตติ้ง (Tele Marketing) เพื่อให้การขายในแต่ละครั้งประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น และลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุดในสินค้าและบริการที่บริษัทฯได้นำเสนอ โดย 5 บริษัทประกันภัยรถยนต์ที่เข้าร่วมในโครงการดังกล่าวประกอบด้วย บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท
          นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน)
          "ความร่วมมือกับ 5 พันธมิตรดังกล่าว เป็นการขยายฐานลูกค้าของบริษัทฯ และพันธมิตรให้เพิ่มขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลลูกค้าของเอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ที่มุ่งพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางธุรกิจ ซึ่งฐานข้อมูลที่มีอยู่ดังกล่าวจะถูกนำมาใช้เพื่อร่วมวิเคราะห์ และจัดหาแพ็คเกจผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถในแต่ละประเภท และแต่ละยี่ห้อเพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการซื้อประกันภัยรถยนต์หนึ่งกรมธรรม์ โดยในช่วงแรกจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ และโตโยต้า ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทย ก่อนจะขยายไปสู่กลุ่มอื่นๆ ต่อไป ซึ่งมั่นใจว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และเอเอสเอ็น โบรกเกอร์เอง" นายธวัชชัย กล่าว 

          กรรมการผู้จัดการ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ กล่าวต่อว่า ความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้ง 5 รายในครั้งนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นสำหรับการขยายฐานธุรกิจร่วมกันระหว่างบริษัทโบรกเกอร์และบริษัทประกัน ซึ่งในอนาคตบริษัทฯ อาจมีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายอื่นๆ หรือขยายความร่วมมือระหว่างกันไปยังกลุ่มลูกค้าอื่นๆ ต่อไป โดยใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ บริษัทฯ จะยังพัฒนาระบบฐานข้อมูลลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการซื้อประกันภัยที่เหมาะสม ในขณะเดียวกันมั่นใจว่าจะช่วยสนับสนุนให้เบี้ยรับของบริษัทฯ เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยในปี 2559 บริษัทฯ ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมโตขึ้น 25% จากปี 2558 ที่คาดว่าเบี้ยรับรวมจะอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าอุตสาหกรรมประกันภัย ที่มีคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวเท่านั้น
          ดร.สมนึก สงวนสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างเอเอสเอ็น โบรกเกอร์ และ สินทรัพย์ประกันภัย ในครั้งนี้ เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าเฉพาะที่มีกำลังซื้อสูง และมีพฤติกรรมการใช้รถดี สถิติความเสียหายอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งนับจากนี้ สินทรัพย์ประกันภัย จะร่วมมือกับ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ พัฒนากลุ่มลูกค้าในระยะยาวร่วมกันโดยจะปรับความสมดุลของราคาและความคุ้มครองให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อประกันได้ง่ายขึ้น
"เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เป็นบริษัทนายหน้าที่มีโครงสร้างและแนวทางการทำงานคล้ายกับเรา ซึ่งมีการทำงานที่ชัดเจน ระบบการขายมีคุณธรรม ทำให้การทำงานระหว่างกันราบรื่น เราเชื่อมั่นว่าในที่สุด เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จะมียอดขายติด TOP 10 และเราจะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจระหว่างกันตลอดไป อย่างมีธรรมาภิบาล ยึดมั่นตามมาตรฐานสากล ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ." ดร.สมนึก กล่าว
          นายสมบูรณ์ วงศ์รัศมี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ KPI กล่าวว่า KPI และ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จะร่วมเดินหน้าขยายโครงการใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพ และจะพัฒนาบริการให้ทันสมัย รวดเร็ว สร้างรายได้จากฐานลูกค้าใหม่ให้เพิ่มขึ้น เพื่อเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจร่วมกัน โดยบริษัทฯ จะส่งเสริมให้ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ได้แสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่
          "เราเป็นบริษัทประกันภัยที่มีธนาคารกรุงไทยถือหุ้น ซึ่งถือว่าเรามีโอกาสในการขยายฐานลูกค้า ที่ถือเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ อีกทั้งเราเป็นบริษัทหนึ่งที่มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจประกันภัยมายาวนานและมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง พร้อมที่จะขยายธุรกิจร่วมกับ เอเอสเอ็น เป็นอย่างดี ซึ่ง เอเอสเอ็น ก็เป็นโบรกเกอร์ที่มีศักยภาพในการบริการลูกค้า มีจรรยาบรรณในการทำงาน มีความเป็นมืออาชีพ และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด" นายสมบูรณ์ กล่าว

          ดร.ศรัณฐ์ หวั่งหลี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัทฯ พร้อมให้การสนับสนุน เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ อย่างเต็มที่ โดยเปิดโอกาสให้ใช้ศักยภาพการทำธุรกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ จะนำมาซึ่งความสำเร็จทางธุรกิจ ของทั้งสองฝ่าย ขณะที่ลูกค้าจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ จากกรรมธรรม์ที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เหมาะสม
          นายหลักชัย สุทธิชูจิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ จะนำมาซึ่งความพึงพอใจของลูกค้า และเชื่อมั่นว่าด้วยความตั้งใจบวกกับประสบการณ์ในการทำธุรกิจมากว่า 10 ปี ในที่สุดแล้ว เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ และเป็นโบรกเกอร์ที่อยู่ในใจของลูกค้าตลอดไป
          นายธีระ นิลสลับ รองประธานบริหารสายงานการตลาดและการขาย บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือกับ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ในครั้งนี้ ถือเป็นโครงการพิเศษ เป็นความร่วมมือระยะยาว ที่จะทำให้การทำตลาดง่ายขึ้นและมีประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ทั้งผู้เอาประกัน, บริษัทประกันภัย และนายหน้าประกันภัย
          "จุดเด่นของ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ คือมีผู้บริหารเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีแนวทางการทำตลาดที่ฉีกไปจากรูปแบบเดิมๆ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับ เอเชียประกันภัยที่ยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด เพื่อให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ตลอดจนบุคลากรของ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และอยู่ในธุรกิจมานานกว่า 10 ปี จึงมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ความร่วมมือระหว่างกันประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก" นายธีระ กล่าว
          อย่างไรก็ตาม สำหรับจุดแข็งของ เอเชียประกันภัย คือ มีความแตกต่างจากบริษัทอื่น คือ Pot mixของบริษัทฯ จะมีอัตราส่วนของเบี้ยประกันแบบ 2+ 3+ มากกว่าประกันภัยรถยนต์ชั้นหนึ่ง เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้คิดค้นกรมธรรม์ประเภทนี้ ดังนั้นการให้ประกันภัยต่างๆ จะเน้นให้สอดคล้องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ นอกจากนี้การพัฒนาแบบประกันภัยรถยนต์ ก็เป็นลักษณะที่หลากหลาย เช่น 2+ 3+ 35+up Moto3+เป็นต้น  

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Bike for dad สำรวจเส้นทางและขบวนปั่น 5ธันวาคม2558 #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้


Bike for dad สำรวจเส้นทางและขบวนปั่น 5ธันวาคม2558 #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้
Bike for dad สำรวจเส้นทางและขบวนปั่น 5ธันวาคม2558 #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ จะทรงนำคนไทยทั่วประเทศปั่นจักรยานอีกครั้ง เพื่อ “ในหลวง” ผ่านกิจกรรม “ปั่นเพื่อพ่อ” Bike for Dad ในโอกาสคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว 88 พรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ.2558 มี 67 ประเทศทั่วโลกตอบรับเข้าร่วมกิจกรรม พร้อมกัน 11 ธ.ค. 2558 เวลา 15.00 น.

คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 เข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบกรอบแนวทางในการจัดกิจกรรมตามพระราชปณิธานและพระราโชบายของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร ในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อแสดงความจงรักภักดี กตัญญูกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ร่วมใจทดแทนพระคุณพ่อ เพื่อความสามัคคีของชาวไทยและต่างชาติ เพื่อสุขภาพกายและใจ ตลอดจนความสดชื่นแจ่มใส และชมศิลปวัฒนธรรมของชาติ โขนกลางแปลงเฉลิมพระเกียรติ
โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฏราชกุมาร จะเป็นองค์ประธานนำขบวนจักรยานประชาชนในวันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2558 เวลา 15:00 นาฬิกา เส้นทางจะเริ่มต้นและสิ้นสุดที่บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต โดยเริ่มจาก บริเวณลานพระราชวังดุสิต มาตามถนนราชปรารภ เข้าสู่แยกประตูน้ำ เลี้ยวขวาที่แยกราชประสงค์ เข้าสู่ถนนปทุมวันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนสีลม เข้าวงเวียนโอเดี่ยน ถนนเยาวราช สะพานพระปกเกล้าฯ ถนนวงเวียนใหญ่ ถนนอรุณอมรินทร์ หอประชุมกองทัพเรือ แยกศิริราช สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า สนามหลวง ถนนราชดำเนินนอก มาจบที่ลานพระราชวังดุสิต รวมระยะทางประมาณ 29 กิโลเมตร โดยการจัดรูปขบวนแบ่งเป็น 4 ขบวน ประกอบด้วย
- ขบวน A สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปั่นนำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และประชาชน 500 คน
- ขบวน B พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงปั่นนำขบวนข้าราชการ และประชาชน 500 คน
- ขบวน C พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงปั่นนำขบวนข้าราชการ และประชาชน 500 คน
- ขบวน D เป็นขบวนประชาชนในกรุงเทพฯที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์รวม 100,000 คน
- ส่วนขบวน S ชุดซ่อมจักรยาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคณะแพทย์รวม 100 คน
- สำหรับต่างจังหวัดจัดกิจกรรมพร้อมกันในวันและเวลาเดียวกันทั่วประเทศ
นอกจากนี้จะเปิดรับสมัครนักปั่นทางไกลจากต่างจังหวัด จากจังหวัดบ้านเกิดของตัวเองเข้ามายังกรุงเทพฯเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ในชื่อ การปั่นจักรยานจตุรทิศ
ในการนี้ รัฐบาลขอพระบรมราชานุญาตใช้พระตราสัญลักษณ์ในการจัดงาน ประกอบด้วย พระตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์พระปรมาภิไธยย่อ ภปร.และพระนามาภิไธยย่อ มวก. บนพื้นหลังสีเหลืองทอง ต่อด้วยข้อความอักษรภาษาอังกฤษ "Dad"ปั่นเพื่อพ่อ BIKE FOR DAD พร้อมพระราชทานคำว่า "ของขวัญของพ่อ ...คือลูกรู้แทนคุณ" การประชุมดังกล่าว คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ร่วมกันพิจารณาแผนประชาสัมพันธ์กิจกรรม การถ่ายทอดสดทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค และต่างประเทศ การจัดสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมและเฝ้ารับเสด็จฯ ตลอดเส้นทาง และการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 21 ตุลาคมนี้

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เพิ่มสิทธิผู้ประกันตน พ.ร.บ.ประกันตนใหม่ บังคับใช้ 20 ตุลาคมนี้ #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้

เพิ่มสิทธิผู้ประกันตน พ.ร.บ.ประกันตนใหม่ บังคับใช้ 20 ตุลาคมนี้ #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้
เพิ่มสิทธิผู้ประกันตน พ.ร.บ.ประกันตนใหม่ บังคับใช้ 20 ตุลาคมนี้ #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้

ใก้ลจะถึงแล้วสำหรับประกาศใหม่ของประกันสังคมที่เหล่าชาวทำงานหาเช้ากินค่ำต้องจ่ายทุกเดือน ASN Broker(ประกันภัยรถยนต์) จึงนำข้อมูลฉบับใหม่มาฝากกันกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติประกาศเป็นพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2558 ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2558 และจะมีผลบังคับใช้ 120 วัน นับแต่วันที่ประกาศ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2558 ที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนจะได้รับตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฉบับใหม่ คลอบคลุมในหลายกรณี ได้แก่ กรณีผู้ประกันตนเจ็บป่วย ตาย ทุพพลภาพ ว่างงาน คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร โดยสาระสำคัญในการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตน อาทิเช่น
 
            กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เพิ่มค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคและค่าใช้จ่ายเป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันตน ในกรณีได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์โดยปัจจุบันไม่ครอบคลุม ในส่วนผู้ประกันตนที่เจ็บป่วยเรื้อรังหรือทุพพลภาพและถึงแก่ความตายจะได้รับเพิ่มสิทธิประโยชน์ แม้ส่งเงินสมทบไม่ครบตามสิทธิ ส่วนผู้ประกันตนที่ทำให้ตนเองบาดเจ็บ ทุพพลภาพ และเสียชีวิต หรือสูญเสียสมรรถภาพทางร่างกายโดยไม่เกิดจากการทำงาน จะได้รับเงินทดแทนในอัตราไม่เกินร้อยละ 50 ของค่าจ้าง จากเดิมไม่ได้รับสิทธิ ทั้งนี้ ในขณะที่ผู้ทุพพลภาพก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2538 ซึ่งเป็นวันที่สำนักงานประกันสังคมได้แก้ไขกฎหมายเพื่อขยายความคุ้มครองผู้ทุพพลภาพ ส่งผลให้ผู้ทุพพลภาพ 2 กลุ่มนี้ได้รับสิทธิประโยชน์ไม่เท่ากัน คือกลุ่มหนึ่งได้รับสิทธิประโยชน์เพียง 15 ปี และอีกกลุ่มหนึ่งได้รับตลอดชีวิต ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตลอดชีวิตเท่ากัน
 
            กรณีคลอดบุตร ผู้ประกันตนจะมีสิทธิได้รับประโยชน์ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ๆ ละ 13,000 บาท รวมถึงได้เงินสงเคราะห์การหยุดงาน 90 วันไม่เกิน 2 ครั้งสำหรับผู้ประกันตนหญิง ส่วนกรณีสงเคราะห์บุตร สำหรับบุตรอายุ 0 - 6 ปี มีสิทธิได้รับคราวละไม่เกิน 3 คน เหมาจ่ายรายเดือน เดือนละ 400 บาท/คน จากเดิมที่กำหนดไว้ 2 คนเท่านั้น  ขณะที่กรณีว่างงาน เพิ่มให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์กรณีนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว เนื่องจากเหตุสุดวิสัยโดยยังไม่มีการเลิกจ้าง และผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน เช่น โรงงานถูกน้ำท่วม จะได้รับเงินในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน จากเดิมที่ไม่ให้การคุ้มครอง รวมทั้งกรณีไม่สามารถจ่ายเงินสมทบได้จากเหตุสุดวิสัย (ปัจจุบันผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเมื่อถูกเลิกจ้างหรือลาออกเท่านั้น) 
 
            กรณีตาย เงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย  ได้ปรับแก้ไข : ถ้าก่อนถึงแก่ความตาย ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 36 เดือน แต่ไม่ถึง 120 เดือน ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับ 50% ของค่าจ้างรายเดือน คูณด้วย 4 (เท่ากับค่าจ้างประมาณ 2 เดือน) จากเดิมจ่ายแค่ 1.5 เดือน แต่ถ้าผู้ประกันตน จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 120 เดือน ให้จ่าย 50% ของค่าจ้าง คูณด้วย 12 (เท่ากับค่าจ้างประมาณ 6 เดือน) จากเดิมจ่ายแค่ 5 เดือน ปรับปรุงหลักเกณฑ์การได้รับสิทธิประโยชน์ เพิ่ม : ผู้ประกันตนสามารถทำหนังสือ ระบุบุคคลผู้มีสิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพไว้ล่วงหน้าได้ โดยมีสิทธิได้รับร่วมกับทายาท หากไม่มีทายาท หรือไม่มีบุคคลที่ทำหนังสือระบุจะให้สิทธิแก่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา (ปัจจุบัน : ผู้ประกันตนที่ไม่มีทายาท (บิดา มารดา บุตร และคู่สมรส) ไม่สามารถทำหนังสือระบุบุคคลผู้มีสิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพไว้ล่วงหน้าได้ โดยเงินบำเหน็จชราภาพจะตกเป็นของกองทุน)  ทั้งนี้ รวมไปถึงผู้ประกันตนที่ไม่มีสัญชาติไทย หากทำงานครบตามสัญญาจ้างและไม่ประสงค์ทำงานต่อในประเทศไทย ให้มีสิทธิรับเงินชราภาพแม้จะส่งเงินสมทบไม่ถึง 180 เดือนก็ตาม
 
            อีกทั้ง พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับใหม่ ยังกำหนดให้รัฐบาลร่วมส่งเงินสมทบให้กับผู้ประกันตนมาตรา 40 ในอัตราไม่เกินครึ่งหนึ่งที่ผู้ประกันตนนำส่ง และยังขยายการคุ้มครองไปยังลูกจ้างชั่วคราวทุกประเภทของส่วนราชการ  (ปัจจุบัน คุ้มครองเฉพาะลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน)ให้เป็นผู้ประกันตนมาตรา33 โดยส่วนราชการต้องเป็นผู้ยื่นทะเบียนและนำส่งเงินสมทบให้และจะครอบคลุมถึงลูกจ้างรายวันด้วย อย่างไรก็ตาม ยังขยายความคุ้มครองให้กับลูกจ้างไทยของนายจ้างที่มีสำนักงานในประเทศ และไปประจำทำงานในต่างประเทศ
 
            นอกจากนี้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อกำกับดูแลความโปร่งใส ได้มาตรฐาน และผู้ที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมการประกันสังคม จะต้องมีคุณสมบัติตามระเบียบที่กำหนด และต้องแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แชร์เต็มโซเชียล วินาทีไทยส่งต่อรับบอลกันไปมา 10 กว่าครั้ง คนแห่ชื่นชม #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้ #pantip

แชร์เต็มโซเชียล วินาทีไทยส่งต่อรับบอลกันไปมา 10 กว่าครั้ง คนแห่ชื่นชม #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้ #pantip
แชร์เต็มโซเชียล วินาทีไทยส่งต่อรับบอลกันไปมา 10 กว่าครั้ง คนแห่ชื่นชม #ยกทัพข่าวเช้า #เรื่องเล่าเช้านี้ #pantip

ASN Broker(ประกันภัยรถยนต์)ร่วมแสดงความยินดีกับชาวไทยเมื่อคืนที่ผ่านมา ในการแข่งขันฟุตบอลโลก2018รอบคัดเลือก  
โซนเอเชียนที่ผ่านมา ของทีมชาติไทยโดยในระหว่างแข่งขัน ช่วงใกล้จบนาทีที่70
ฝ่ายไทยได้ครอบครองบอลและโชว์ศักยภาพ ในการต่อบอลกันไปมา10กว่าครั้ง
และทำเข้าประตูช่วยให้ไทยชนะเวียดนาม3-0

หลังเกิดกระแสในโซเชี่ยลบอกเล่าชื่นชมแชร์ส่งต่อวินาทีต่อบอลของไทย
และยกให้เป็นจังหวะต่อบอล "ติกิ ตาก้า"ของไทย  

ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว ในศึกฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ รอบชิงชนะเลิศนัดแรก ที่ไทยชนะมาเลเซีย 2-0 ช่วงท้ายเกม
ซึ่งในครั้งนั้นแข้งช้างศึกต่อบอลไปมาถึง 27 ครั้ง ชนิดคู่แข่งไม่สามารถแย่งได้ ก่อนจะไปจบที่ ชาริล ชัปปุยส์ ซัดหลุดเสาออกไป

ติกิ ตาก้า คือ สไตล์การเล่นฟุตบอลที่มีลักษณะเด่นคือ การส่งและเคลื่อนไหวในระยะสั้น โดยส่งผ่านช่องหลากหลายวิธี
และรักษาการครองบอลไว้ สไตล์การเล่นนี้เริ่มมาจากสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาในลาลีกา
ในช่วงการคุมทีมของโยฮัน ไกรฟฟ์ จนมาถึงในยุคปัจจุบัน และฟุตบอลทีมชาติสเปน
โดยผู้จัดการทีมอย่าง ลุยส์ อาราโกเนส และ บีเซนเต เดล โบสเก แนวทางการเล่นตีกี-ตากา
ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนไปในลักษณะแนวคิดที่มีโซนการเล่น

 ขอบคุณคลิปจาก ไทยรัฐ (แชร์คลิปสาธารณะผ่านYoutube)

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กรมการขนส่งทางบก เตือน!!! ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะใช้ใบนามบุคคล เร่งเปลี่ยนก่อนโดนยึดใบ

กรมการขนส่งทางบก เตือน!!! ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะใช้ใบนามบุคคล เร่งเปลี่ยนก่อนโดนยึดใบ
กรมการขนส่งทางบก เตือน!!! ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะใช้ใบนามบุคคล เร่งเปลี่ยนก่อนโดนยึดใบ

กรมการขนส่งทางบก เตือน!!! ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะที่ขอผ่อนผันใช้ ใบอนุญาตขับรถจัก รยานยนต์ส่วนบุคคลเป็นหลักฐานในการจดทะเบียน รถจักรยานยนต์สาธารณะ (ป้ายเหลือง) ให้เร่งน าใบขับขี่สาธารณะตัวจริงมาแสดงต่อ เจ้าหน้าที่ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2558 หากพ้นก าหนดระยะเวลาดังกล่าวจะถูกเพิก ถอนทะเบียนรถจักรยานยนต์สาธารณะ (ป้ายเหลือง) ทันที!!!

นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า เพื่อเร่งรัดการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์สาธารณะ ในเขตกรุงเทพมหานครให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กรมการขนส่งทางบกได้ผ่อนผันให้ผู้ขับขี่ที่ยังไม่มีใบอนุญาต ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะสามารถใช้ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลเป็นหลักฐานทดแทนในการจดทะเบียน รถจักรยานยนต์สาธารณะ (ป้ายเหลือง) เป็นกรณีพิเศษ เพื่ออ านวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่ที่ยังไม่มีใบอนุญาต ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อได้รับใบอนุญาต ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะแล้วให้ด าเนินการแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อแก้ไขข้อมูลภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2558 มิฉะนั้น จะถูกเพิกถอนทะเบียนรถป้ายเหลือง หากปัจจุบันพบว่ามีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะในเขตกรุงเทพมหานคร (50 เขต) ที่ขอผ่อนผันใช้ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลยื่นเป็นหลักฐานทดแทนในการจดทะเบียนป้ายเหลืองและ ยังไม่ได้น าใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะตัวจริงมาแสดงมีจ านวน 5,809 ราย จึงขอให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ สาธารณะที่ท าเรื่องขอผ่อนผันไว้ให้เร่งด าเนินการน าใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะตัวจริงมาแสดงต่อ กรมการขนส่งทางบกและส านักงานขนส่งกรุงเทพมหานครในพื้นที่ที่วินตั้งอยู่ภายในระยะเวลาที่ก าหนด ซึ่งหากพ้น ระยะเวลาดังกล่าวแล้ว กรมการขนส่งทางบกจะด าเนินการเพิกถอนทะเบียนรถจักรยานยนต์สาธารณะที่เคยได้รับ อนุญาตแล้วทันที

นายสนิท กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการขนส่งทางบกด าเนินการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์สาธารณะในเขต กรุงเทพมหานครตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และเริ่มบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน กระท าความผิดอย่างเข้มงวด ซึ่งก าหนดให้ผู้ขับรถ เสื้อวิน บัตรประจ าตัว และรถจักรยานยนต์รับจ้างทุกคันจะต้องถูกต้อง ตามกฎหมายและข้อมูลที่ปรากฏต้องถูกต้องตรงกัน โดยขอความร่วมมือประชาชนเลือกใช้รถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากผู้ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะที่ถูกต้องจะได้รับการอบรม เกี่ยวกับกฎจราจร มารยาทการขับรถ และผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรจากส านักงานต ารวจแห่งชาติก่อนได้รับ ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ส าหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมายจะสังเกตได้จากแผ่น ป้ายทะเบียนรถซึ่งต้องเป็นสีเหลืองและเสื้อวินพร้อมบัตรติดเสื้อแบบใหม่ หากพบเห็นการฝ่าฝืน เอาเปรียบผู้โดยสาร หรือพบรถจักรยานยนต์ไม่ปลอดภัย สามารถจดรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่เกิดเหตุ หมายเลขทะเบียนรถ เพื่อแจ้งเบาะแสได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องเรียน สายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือสอบถามรายละเอียด เพิ่มเติมที่ ส านักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
ที่มา http://www.dlt.go.th/th/attachments/plan48-51/5087_Pr-Press%20New%203%208%20October%202015.pdf

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ชาวบอร์ดดังโวย แนวคิดรางวัลส่วนแบ่งค่าปรับ จราจร #pantip

ชาวบอร์ดดังโวย แนวคิดรางวัลส่วนแบ่งค่าปรับ จราจร
ชาวบอร์ดดังโวย แนวคิดรางวัลส่วนแบ่งค่าปรับ จราจร

ล็อคอินในบอร์ดพันทิป  นามว่า แข้งซ้ายปรมาณู ตั้งกระทู้ วิจาร์ณ นโยบาย 
เห็นคลิปนี้แล้วอยากสนับสนุนให้ยกเลิกรางวัลส่วนแบ่งค่าปรับทันที นี่หรือมุมมองข้าราชการไทย ปรับทัศนคติด่วนเลย แย่มาก
ขออนุญาตแท็ก 3 ห้องนะครับ วอนผู้ดูแลระบบอย่าย้ายหรือลบแท็กผม เพราะมันกระทบกับประชาชนโดยตรง หากเขายังมีความเชื่อแบบนี้มันไม่เป็นผลดีกับประชาชนและระบบราชการไทยโดยตรง คิดว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติคงต้องได้ปรับเปลี่ยนมุมมองของเจ้าหน้าที่บางส่วนแล้ว แบบนี้อันตรายมากในระยะยาว
https://www.facebook.com/840706315969399/videos/vb.840706315969399/1076860649020630/?type=2&theater

ตอนแรกเฉยๆแต่พอเจอแบบนี้เห็นด้วยทันทีกับภาพนี้ทันที

หลังจากกระทู้ถูกตั้ง และขึ้นกระทู้แนะนำ ASN Broker (ประกันภัยรถยนต์) ขอนำสุดยอดความเห็นบางส่วนมาลง เพื่อใช้วิจารณญาณในการอ่าน
สมาชิกหมายเลข 2131884 
ผมนี้อยากให้ ยกเลิกรางวัลส่วนแบ่งค่าปรับ กับตำรวจที่จับครับ อยากให้เงินเข้าหลวงทั้งหมด ไม่อย่างงั้นคนเก็ยขยะ คนกวาดขยะ หรือ เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐส่วนอื่นก็เรียกร้องเปอร์เซ็นค่าทำงาน นอกเหนือจากเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน ได้หมด ผมว่ามันไม่เป็นธรรมกับหน่วงงานรัฐส่วนอื่นนะ นี้ละครับที่ปัจุบันหลายๆคนที่คิดไม่ดีอยากมาเป็นตำรวจ ตั้งแต่จ่ายเพื่อให้สอบได้เป็นหลักแสน พอเข้ามาเป็นตำรวจก็หาช่องทางของกฎหมายขูดรีดกับประชาชน มันไม่ควนมีตั้งแต่แรกแล้วเรื่องเปอร์เซ็นนำจับ คิดจะทำเพื่อประชาชนกับแผ่นดิน แต่มาหวังกินผลประโยชน์ทางกฎหมาย 100 บาทเข้าหลวงกี่บาทตำรวจได้กี่บาท มันไม่เหมาะอยู่แล้ว งี้วันไหนคนกวาดขยะบอกวันนี้ขยะเยอะจังก็ขอเปอร์เซ็นค่ากวาดถนนเพิ่มได้ละซิมันเอาเปรียบเกินไป
สมาชิก แข้งซ้ายปรมาณู
อุตส่าห์ขอร้องที่หัวกระทู้แล้วว่าอย่าย้ายแท็กหรือลบแท็ก จุดประสงค์ในนี้ก็อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ได้รับรู้ด้วย เผื่อจะนำไปปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะมันส่งผลกระทบกับประชาชนโดยตรงแล้วแท็กห้องการเมืองด้วยมันไปผิดอะไรตรงไหน การแก้กฏหมายหรือการแก้ข้อกำหนดต่างๆที่มันจะมาบังคับใช้กับประชาชนมันก็ต้องผ่านระบบการเมืองหรือผู้ปกครองบ้านเมืองทั้งนั้น  แต่นี่อะไรพอแท็กห้องราชดำเนินปุ๊บย้ายแท็กลบแท็กอีกแล้ว หลายครั้งที่ผู้คตั้งกระทู้มีเจตนาที่จะสื่อถึงจุดมุ่งหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆหรือมีอำนาจที่จะปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้นๆได้อ่านหรือรับทราบ แต่จุดประสงค์ต้องตกลงไปเพราะวิจารณญาณของ wm คุณเป็นผู้ดูแลระบบก็จริงแต่คุณต้องมองให้ลึกและครอบคลุมรวมถึงวัตถุประสงค์ของกระทู้ด้วยครับ
สมาชิกหมายเลข 1362849 
บางคนทำให้อาชีพนี้ดูตกต่ำจริงๆ ไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรีเอาเสียเลย  ประเทศชาติมันถึงไม่สงบสุขซักที เห็นแล้วเศร้าใจ ถ้าเงินเดือนไม่พอกินก็ลาออกมาหางานอื่นเถอะ ถ้าทำตัวดีๆ ก็จะเป็นอาชีพที่มีแต่คนรัก และสนับสนุน แต่ไม่รู้เป็นไร ที่เจอมีแต่แย่ๆ
สมาชิก อุบลคนโก้ ยโสบ้านเฮา
 
 
เห็นด้วยกับภาพนี้ตรงที่ว่า

"ไม่ให้ใช้ดุลพินิจที่ไม่เป็นธรรม" 

ส่วนเรื่อง % จากค่าปรับ หรือรางวัลนำจับ ไม่มีความเห็นครับ 

แต่คิดว่า คนทำผิดกฎจราจร สมควรแล้วที่จะมีบทลงโทษ

หลายคนอาจจะเคยโดนปรับแบบไม่เป็นธรรม น่าเห็นใจครับ  แต่ก็ต้องยอมรับว่า มีอีกหลายคนที่ทำผิดจริง แล้วผสมโรงด่าคนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องไปด้วย
 

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กรมสรรพสามิต เผย บริษัทรถยนต์แห่ขึ้นราคารับภาษีใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.ปีหน้า

กรมสรรพสามิต เผย บริษัทรถยนต์แห่ขึ้นราคารับภาษีใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.ปีหน้า
กรมสรรพสามิต เผย บริษัทรถยนต์แห่ขึ้นราคารับภาษีใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.ปีหน้า

นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2559 
โดยขณะนี้บริษัทรถยนต์ได้ทยอยส่งราคารถยนต์ให้แก่กรมสรรพสามิตพิจารณาปรับอัตราภาษีใหม่แล้วประมาณ 90%
ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นรถยนต์หรูราคาแพง ซึ่งมีทั้งที่ผลิตภายในประเทศและที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้
บริษัทรถยนต์ที่ได้เปิดสายการผลิตรถยนต์ภายในประเทศและที่นำเข้าทุกยี่ห้อและทุกรุ่นจะส่งราคารถยนต์
ให้แก่กรมสรรพสามิตเพื่อพิจารณาจัดเก็บภาษีรถยนต์ใหม่ได้อย่างแน่นอน

สำหรับอัตราภาษีใหม่ที่บรรดาค่ายรถยนต์ได้เริ่มทยอยส่งราคาใหม่ให้แก่กรมสรรพสามิตนั้น
พิจารณาแล้วพบว่า ราคารถยนต์ที่เสนอมาใหม่มีราคาขายสูงกว่าราคารถยนต์ที่ผลิตและจำหน่ายในปัจจุบัน
โดยมีสาเหตุหลักๆ 2 ประการคือ

1. บริษัทรถยนต์ได้พัฒนาคุณภาพของเครื่องยนต์ดีขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น และ
2. ผู้ผลิตได้ออกรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้ราคาขาย ณ ราคาปัจจุบันกับราคา ในอนาคตมีความแตกต่างกัน
ซึ่งทำให้ราคารถยนต์ในปีหน้าแพงขึ้น

ขณะที่รถกระบะหรือปิกอัพจะเสียภาษีแพงขึ้นคันละ 10,000-30,000 บาท รถยนต์ราคาหลักล้านบาท
แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะเสียภาษีแพงขึ้นประมาณคันละ 40,000-100,000 บาท แต่หากเป็นรถยนต์หรูราคาหลายล้านบาท
อาจจะเสียภาษีแพงขึ้นตั้งแต่ 100,000 บาทจนถึง 400,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพลังงานที่ใช้และปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

อย่างไรก็ตามมีการยกตัวอย่างยี่ห้อรถยนต์ที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม โดยยี่ห้อโตโยต้าเสียภาษีแพงขึ้น 12,000-450,000 บาท
ฮอนด้าเสียภาษีแพงขึ้น 5,000-120,000 บาท มาสด้า 85,000-140,000 บาท มิตซูบิชิ 8,000-140,000 บาท
เชฟโรเลต 20,000-120,00 บาท บีเอ็มดับเบิลยู 100,000-500,000 บาท และรถเบนซ์ 289,000-1 ล้านบาท เป็นต้น

ทั้งนี้ โครงสร้างภาษีใหม่ของกรมสรรพสามิตนั้นนอกจากการเก็บภาษีจะพิจารณาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้วยังพิจารณาจากพลังงานที่ใช้ด้วย
เช่น รถยนต์นั่งและรถโดยสารไม่เกิน 10 คน กรณีปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร
หากใช้พลังงานอี 10-20 เสียภาษี 30% แต่หากใช้พลังงานอี 85-เอ็นจีวี เสียภาษี 25% แต่หากเป็นเครื่องยนต์ไฮบริดเสียภาษี 10% เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูล  กรมสรรพสามิต

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เปิดมิติใหม่วงการโบรกเกอร์ จับมือ 5 บริษัทประกันบุกธุรกิจประกันภัยรถยนต์

เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เปิดมิติใหม่วงการโบรกเกอร์ จับมือ 5 บริษัทประกันบุกธุรกิจประกันภัยรถยนต์
เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เปิดมิติใหม่วงการโบรกเกอร์ จับมือ 5 บริษัทประกันบุกธุรกิจประกันภัยรถยนต์

เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เปิดมิติใหม่วงการนายหน้าประกันภัยรถยนต์ ประกาศจับมือ 5พันธมิตรจัดข้อเสนอที่เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายผู้ซื้อรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ และโตโยต้า "คุณธวัชชัย ชีวานนท์" บอสใหญ่มั่นใจ ดันเป้ายอดเบี้ยรับรวมปี 59 โต 25% จากปี 58 ที่คาดว่ายอดเบี้ยรับรวมจะอยู่ที่1,100 ล้านบาท ขณะที่ 5 พันธมิตรฟันธงผลิตภัณฑ์จะเหมาะสมทั้งราคาและความคุ้มครอง ทั้งเชื่อดัน เอเอสเอ็น สู่อันดับนายหน้าที่มียอดขายติด TOP 10 ของตลาดประกันภัยรถยนต์
          คุณธวัชชัย ชีวานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยประกันภัยรถยนต์ และประกันชีวิต ที่ได้มาตรฐานระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้สร้างมิติใหม่ให้กับธุรกิจนายหน้าประกันภัยรถยนต์ ด้วยการจับมือกับ 5 บริษัทประกันภัยรถยนต์ระดับแนวหน้า ขยายฐานลูกค้าในกลุ่มประกันภัยรถยนต์ ด้วยการร่วมกันจัดหาแพ็คเกจประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จำหน่ายตรงถึงลูกค้าในระบบการขายผ่านโทรศัพท์ หรือ เทเล มาร์เก็ตติ้ง (Tele Marketing) เพื่อให้การขายในแต่ละครั้งประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น และลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุดในสินค้าและบริการที่บริษัทฯได้นำเสนอ โดย 5 บริษัทประกันภัยรถยนต์ที่เข้าร่วมในโครงการดังกล่าวประกอบด้วย บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท
          นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน)
          "ความร่วมมือกับ 5 พันธมิตรดังกล่าว เป็นการขยายฐานลูกค้าของบริษัทฯ และพันธมิตรให้เพิ่มขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลลูกค้าของเอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ที่มุ่งพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางธุรกิจ ซึ่งฐานข้อมูลที่มีอยู่ดังกล่าวจะถูกนำมาใช้เพื่อร่วมวิเคราะห์ และจัดหาแพ็คเกจผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถในแต่ละประเภท และแต่ละยี่ห้อเพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการซื้อประกันภัยรถยนต์หนึ่งกรมธรรม์ โดยในช่วงแรกจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ และโตโยต้า ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทย ก่อนจะขยายไปสู่กลุ่มอื่นๆ ต่อไป ซึ่งมั่นใจว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และเอเอสเอ็น โบรกเกอร์เอง" คุณธวัชชัย กล่าว
          กรรมการผู้จัดการ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ กล่าวต่อว่า ความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้ง 5 รายในครั้งนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นสำหรับการขยายฐานธุรกิจร่วมกันระหว่างบริษัทโบรกเกอร์และบริษัทประกัน ซึ่งในอนาคตบริษัทฯ อาจมีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายอื่นๆ หรือขยายความร่วมมือระหว่างกันไปยังกลุ่มลูกค้าอื่นๆ ต่อไป โดยใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ บริษัทฯ จะยังพัฒนาระบบฐานข้อมูลลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการซื้อประกันภัยที่เหมาะสม ในขณะเดียวกันมั่นใจว่าจะช่วยสนับสนุนให้เบี้ยรับของบริษัทฯ เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยในปี 2559 บริษัทฯ ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมโตขึ้น 25% จากปี 2558 ที่คาดว่าเบี้ยรับรวมจะอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าอุตสาหกรรมประกันภัย ที่มีคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวเท่านั้น
          ดร.สมนึก สงวนสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างเอเอสเอ็น โบรกเกอร์ และ สินทรัพย์ประกันภัย ในครั้งนี้ เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าเฉพาะที่มีกำลังซื้อสูง และมีพฤติกรรมการใช้รถดี สถิติความเสียหายอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งนับจากนี้ สินทรัพย์ประกันภัย จะร่วมมือกับ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ พัฒนากลุ่มลูกค้าในระยะยาวร่วมกันโดยจะปรับความสมดุลของราคาและความคุ้มครองให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อประกันได้ง่ายขึ้น
"เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เป็นบริษัทนายหน้าที่มีโครงสร้างและแนวทางการทำงานคล้ายกับเรา ซึ่งมีการทำงานที่ชัดเจน ระบบการขายมีคุณธรรม ทำให้การทำงานระหว่างกันราบรื่น เราเชื่อมั่นว่าในที่สุด เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จะมียอดขายติด TOP 10 และเราจะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจระหว่างกันตลอดไป อย่างมีธรรมาภิบาล ยึดมั่นตามมาตรฐานสากล ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ." ดร.สมนึก กล่าว
          นายสมบูรณ์ วงศ์รัศมี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ KPI กล่าวว่า KPI และ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จะร่วมเดินหน้าขยายโครงการใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพ และจะพัฒนาบริการให้ทันสมัย รวดเร็ว สร้างรายได้จากฐานลูกค้าใหม่ให้เพิ่มขึ้น เพื่อเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจร่วมกัน โดยบริษัทฯ จะส่งเสริมให้ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ได้แสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่
          "เราเป็นบริษัทประกันภัยที่มีธนาคารกรุงไทยถือหุ้น ซึ่งถือว่าเรามีโอกาสในการขยายฐานลูกค้า ที่ถือเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ อีกทั้งเราเป็นบริษัทหนึ่งที่มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจประกันภัยมายาวนานและมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง พร้อมที่จะขยายธุรกิจร่วมกับ เอเอสเอ็น เป็นอย่างดี ซึ่ง เอเอสเอ็น ก็เป็นโบรกเกอร์ที่มีศักยภาพในการบริการลูกค้า มีจรรยาบรรณในการทำงาน มีความเป็นมืออาชีพ และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด" นายสมบูรณ์ กล่าว
          ดร.ศรัณฐ์ หวั่งหลี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัทฯ พร้อมให้การสนับสนุน เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ อย่างเต็มที่ โดยเปิดโอกาสให้ใช้ศักยภาพการทำธุรกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ จะนำมาซึ่งความสำเร็จทางธุรกิจ ของทั้งสองฝ่าย ขณะที่ลูกค้าจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ จากกรรมธรรม์ที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เหมาะสม
          นายหลักชัย สุทธิชูจิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ จะนำมาซึ่งความพึงพอใจของลูกค้า และเชื่อมั่นว่าด้วยความตั้งใจบวกกับประสบการณ์ในการทำธุรกิจมากว่า 10 ปี ในที่สุดแล้ว เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ และเป็นโบรกเกอร์ที่อยู่ในใจของลูกค้าตลอดไป
          นายธีระ นิลสลับ รองประธานบริหารสายงานการตลาดและการขาย บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือกับ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ในครั้งนี้ ถือเป็นโครงการพิเศษ เป็นความร่วมมือระยะยาว ที่จะทำให้การทำตลาดง่ายขึ้นและมีประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ทั้งผู้เอาประกัน, บริษัทประกันภัย และนายหน้าประกันภัย
          "จุดเด่นของ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ คือมีผู้บริหารเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีแนวทางการทำตลาดที่ฉีกไปจากรูปแบบเดิมๆ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับ เอเชียประกันภัยที่ยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด เพื่อให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ตลอดจนบุคลากรของ เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และอยู่ในธุรกิจมานานกว่า 10 ปี จึงมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ความร่วมมือระหว่างกันประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก" นายธีระ กล่าว
          อย่างไรก็ตาม สำหรับจุดแข็งของ เอเชียประกันภัย คือ มีความแตกต่างจากบริษัทอื่น คือ Pot mixของบริษัทฯ จะมีอัตราส่วนของเบี้ยประกันแบบ 2+ 3+ มากกว่าประกันภัยรถยนต์ชั้นหนึ่ง เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้คิดค้นกรมธรรม์ประเภทนี้ ดังนั้นการให้ประกันภัยต่างๆ จะเน้นให้สอดคล้องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ นอกจากนี้การพัฒนาแบบประกันภัยรถยนต์ ก็เป็นลักษณะที่หลากหลาย เช่น 2+ 3+ 35+up Moto3+เป็นต้น
ลิงค์อื่นๆ 
1. http://www.thaipr.net/finance/653198
2. http://www.posttoday.com/economy/insurance/392270
3.http://www.moneylifetoday.com/index.php/component/multicontent_client/showcontent/44545

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ชาวพันทิป ร่วมออกความเห็น คิดยังไง ? ผู้ว่า กทม. เสนอ ใครไม่มีที่จอดรถ ห้ามซื้อ !!!

ชาวพันทิป ร่วมออกความเห็น คิดยังไง ? ผู้ว่า กทม. เสนอ ใครไม่มีที่จอดรถ ห้ามซื้อ !!!
ชาวพันทิป ร่วมออกความเห็น คิดยังไง ? ผู้ว่า กทม. เสนอ ใครไม่มีที่จอดรถ ห้ามซื้อ !!!

ที่มา http://pantip.com/topic/34249108
ผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์แนะคุมกำเนิดรถยนต์ไม่มีที่จอดห้ามซื้อ

เมื่อเวลา 09.15 น. ที่อาคารศรีจุลทรัพย์ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)
กล่าวเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมระดมสมอง เรื่องท้าทายไทย:แก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร และปาฐกถาพิเศษ
เรื่อง “การจัดการจราจรในกรุงเทพมหานคร” ว่า ขณะนี้กทม.และปริมณฑประสบปัญหาด้านการจราจรติดขัดและมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น
ซึ่งเป็นผลจากความต้องการในการเดินทางของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น หากไม่เตรียมการแก้ไขหรือไม่มีแผนงานโคงการรองรับกับปัญหาจราจร
จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงจะส่งผลเสียต่อประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในอนาคต
ทำให้ภาครัฐมีนโยบายจะเร่งหาแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ด้วยการผลักดันแผนงานโครงการทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาวของหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯและปริมณฑล

แนวทางเบื้องต้นคือ
1.คุมกำเนิดรถยนต์โดยผู้ที่ต้องซื้อรถยนต์ต้องแสดงที่จอดรถ ถ้าไม่มีที่จอดรถต้องห้ามซื้อรถยนต์
2.ควบคุมการใช้รถส่วนบุคคลในกรุงเทพฯโดยเฉพาะในศูนย์กลางธุรกิจถ้าเข้าใช้อาจจะต้องมีการเสียเงิน
3.บังคับให้ผู้มีที่จอดรถในใจกลางกรุงเทพฯต้องจ่ายค่าจอดรถสูงขึ้นเพื่อมีแรงจูงใจทิ้งรถไว้ที่บ้าน
4.พัฒนาระบบรถประจำทางทั้งการขนส่งหลังและการป้อนผู้โดยสาร
5.เพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งทางเลือกให้เป็นวิถีชีวิตหลักหรือเป็นการป้อนเข้าสู่ระบบโดยใช้แม่น้ำคองเข้ามาช่วย
6.เพิ่มเส้นทางจักรยานต้องมีการดูแลถนนให้ดีเพิ่มความสะดวกให้ผู้สูงอายุและผู้พิการเพราะสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว
7. ต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ต่อเนื่อง พัฒนาระบบสกายวอลค์ในศูนย์กลางธุรกิจเพื่อจูงใจให้ประชาชนเดินทางขึ้น
ที่สำคัญกทม.และปริมณฑลต้องรวมมือเรื่องผังเมือง และรัฐบาลต้องสร้างเมืองเซทเทิลไลท์ที่มีความพร้อมในเรื่องโรงเรียน
และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อไม่ให้คนในเขตปริมณฑลเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ถ้าไม่จำเป็น
 หลังจากนั้น ชาวพันทิปก็มาร่วมกันออกความเห็น ASN Broker ( ประกันภัยรถยนต์ )ขอนำความเห็น ที่เป็นสุดยอดความเห็นมาลงนะครับ
เครดิตตามภาพ