วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

มาทำความรู้จัก อุปกรณ์กันขโมย ช่วยป้องกันรถได้จริงไหม

มาทำความรู้จัก อุปกรณ์กันขโมย ช่วยป้องกันรถได้จริงไหม
มาทำความรู้จัก อุปกรณ์กันขโมย ช่วยป้องกันรถได้จริงไหม

 
ถึงแม้ว่า ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ระบบกันขโมยต่างๆ ในโลกนี้
แม้จะไฮเทคเพียงใด ก็ไม่มีทาง จะปลอดภัยสมบูรณ์แบบ 100 %

ถ้าจะว่ากันแล้ว ตั้งแต่ในยุคอดีตเลยก็ว่าได้ เราได้เห็น กันขโมย ที่ทำกันขึ้นมาเอง
เรียกได้ว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน เหมือนที่เคยเห็นรถจักรยาน และจักรยานยนต์
นอกจากจะมีล็อกคอแล้ว เพื่อความปลอดภัย ยังมีการจับรถจักรยานล่ามโซ่ไว้กับเสาบ้าน
เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่ามิจฉาชีพทั้งหลาย ยกขึ้นท้ายรถกระบะพาไปแยกร่าง
ต่อมา ผู้ที่ขับรถยนต์จึงนำเอาไปเป็นเยี่ยงอย่าง ผมเคยเห็นคนเอาโซ่มาล่ามที่ล้อรถแล้วก็ล็อคไว้ที่เสาก็ดูเข้าท่าดี
แต่ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาแบบง่ายๆ พวกหัวขโมยมันก็ทำทุกทางเพื่ออาชีพในการขโมยรถ
เคยไปเห็น ดูแล้วรู้ว่าตัวโซ่นั้นโดนตัดขาดอย่างง่ายด้วยคีมขนาดใหญ่ เพียงไม่ถึงนาทีรถคุณก็หายได้
ดังนั้น จึงมีผู้คิดค้นกันขโมยแบบต่างๆ

เริ่มจากเป็นตัวล็อกเกียร์ ที่รถเกือบทุกคันมีกันทั้งนั้น
ซึ่งกันขโมยแบบล็อกเกียร์นี้ มีให้ใช้ทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ เห็นได้ว่า ไม่ค่อยน่าใช้เท่าไหร่
กันขโมยรูปแบบนี้ เป็นเพียงแค่ ตัวถ่วงเวลา ไม่ให้หัวขโมยทั้งหลายใช้เวลาในการขโมยรถนานขึ้น
การติดตั้ง ต้องมุดเข้าไปใต้ท้องรถ เพื่อเจาะรูร้อยน๊อตขาชุดล็อคเกียร์ให้ติดกับรถบริเวณอุโมงค์เกียร์
ซึ่งน็อตนี้จะเป็นแบบพิเศษ เมื่อขันจนแน่นเต็มที่แล้วหัวน็อตจะขาด เพื่อป้องกันไม่ให้หัวขโมยทั้งหลายไขออกได้
ซึ่งในระยะแรก หลายคนคิดว่าเป็นอุปกรณ์ที่ปกป้องรถจากหัวขโมยได้ดีนัก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การป้องกันเพียงแค่ล็อกเกียร์นั้นอาจจะน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับราคารถ
ซึ่งเป็นจริงตามนั้น เพราะเมื่อได้สอบถาม กับผู้ที่ต้องสูญเสียรถไปโดยการโจรกรรมจากเหล่าหัวขโมยเกือบ 90 %
ได้มีการติดตั้งล็อคเกียร์เพียงอย่างเดียว จากการสอบถามผู้ที่มีความรู้ทางด้านอุปกรณ์กันขโมยได้เล่าให้เราฟังว่า 
อุปกรณ์ป้องกันการขโมยนี้ มีมากมายหลากหลายยี่ห้อ ส่วนความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์แต่ละยี่ห้อนั้น
ทำออกมามาตรฐาน ไม่เท่ากัน บางยี่ห้อหน้าตาดูดี แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันแย่มาก ไม่ต้องออกแรงนั่งเลื่อย
ขาของตัวล็อกเกียร์ให้ขาด เพียงแค่ใช้ฆ้อนตีไม่กี่ที ตัวล็อกก็ดีดออก ส่วนบางตัวหน้าตาดูไม่ได้เรื่อง แต่ใช้งานดี
ทนทานต่อการโดนทุบ เรียกว่าต้องออกแรงมากหน่อย

ปัจจุบัน พวกอุปกรณ์กันขโมยแทนจะทุกแบบทุกยี่ห้อ ต่างก็ให้ความมั่นใจ กับผู้บริโภค ด้วยกรมธรรม์ประกันภัย
หากเกิดการโจรกรรม จะมีการเพิ่มเงินที่แจ้งไว้ในกรมธรรม์ แม้จะไม่มากไม่มาย แต่ก็ยังมีเงินทดแทนกลับมาบ้าง

กันขโมยอีกแบบ กลไกยังไม่มีการพึ่งพาระบบอิเล็คทรอนิคส์ใดๆ มีให้เลือกมากมายหลายแบบ
เราจะขอเริ่มที่ ตัวล็อกเบรคนั้น ทั้งแข็งทั้งเหนียว เลื่อยเข้าไปเพราะผ่านการชุบมาอย่างหนา ใช้งานก็แสนง่าย
เพียงแค่เกี่ยวขอด้านหนึ่งไว้กับตัวแป้นเบรค ส่วนขออีกด้านเกี่ยวไว้กับพวงมาลัยแล้วจัดการล็อคให้แน่น
เพียงเท่านี้ ก็เรียบร้อย กันขโมยแบบนี้ก็เป็นเพียงการถ่วงเวลาหัวขโมยให้เอารถไปได้ช้าลง
ต้องออกแรงกันนิดหน่อย
จุดด้อยคือ การล็อคพวงมาลัยไปด้วย โดยไม่มีคนคำนึงกันว่า ถ้าเป็นพวงมาลัยแบบปรับระดับได้แล้ว
มันเป็นจุดอ่อนของกันขโมยเต็มๆ เพราะถ้าผู้ขับขี่รถปรับระดับพวงมาลัยให้ยกขึ้นเพื่อให้ได้ระดับที่ดีในการขับรถ
แต่เมื่อคุณต้องการใช้กันขโมย เพียงแค่เกี่ยวด้านหนึ่งไว้กับเบรค อีกด้านเกี่ยวกับพวงมาลัยแล้วล็อค
คือ จุดบอดขนาดใหญ่ เพราะเมื่อพวงมาลัยสามารถปรับขยับลงมาได้ ก็หมายความว่า
มันจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างตัวล็อคกันขโมย กับพวงมาลัย ทำให้สามารถดึงออกมาง่ายๆ
แต่ถ้าพวงมาลัยมีการปรับลงมาจนสุดแล้วเจ้าพวกหัวขโมยทั้งหลาย ก็ต้องออกแรงกันหน่อย
ส่วนมากมันจึงเลือกตัดพวงมาลัยมากกว่า จะตัดตัวล็อคเบรคที่เลื่อยยากมากกว่ากันเยอะ

ปัจจุบัน จะเป็นมีตัวล็อคคลัทช์ ล็อคเบรคอีกแบบ ที่จะเป็นขาดึงขึ้นมา เพื่อล็อคเบรคกับคลัทช์ไ ม่ให้สามารถ
เหยียบลงไปได้ ซึ่งการติดตั้งจึงยึดไว้ กับแกนพวงมาลัยเท่านั้น น๊อตที่ยึดเจ้าตัวกันขโมยชนิดนี้ เป็นแบบเดียวกับ
ที่ใช้ในการยึดตัวล็อคเกียร์ ถ้าต้องการเอากันขโมยออกคงต้องพกอุปกรณ์จำพวกใบตัดเหล็กมาด้วย
แต่ถ้าคิดจะเลื่อยก็ต้องเสียใจด้วย เพราะเนื้อที่ในการเลื่อยไม่มีเลย ทางเดียวคือ ต้องสะเดาะกุญแจ
ซึ่งเป็นเรื่อง ขำๆ ของโจรห้าร้อยอยู่แล้ว ถึงแม้จะยากเย็น แต่ก็ไม่พ้นความสามารถของมันไปได้


สำหรับกันขโมย ที่ไม่มีระบบอิเล็คทรอนิคส์มา แบบสุดท้ายที่เราเห็น และนิยมใช้กันอยู่คือ
กันขโมยแบบล็อคอยู่ที่วงพวงมาลัย ซึ่งมีทั้งแบบล็อคสอดเข้าไปในวงพวงมาลัย
หรือล็อคจับที่พวงมาลัยกันขโมย แบบนี้มีแขนยาว ทำให้เมื่อหมุนพวงมาลัยแล้วตัวแขนจะไปชนกับแผงประตู
หรือกระจกหน้า ซึ่งเมื่อหัวขโมยใช้อุปกรณ์ในการสะเดาะกุญแจ ถึงแม้ไขไม่ออกก็หาวิธีอื่น เช่น
ใช้เลื่อยตัวพวงมาลัยไปเลย กันขโมยแบบไหนก็ไม่มีทางปลอดภัย 100 %

 
นี่เป็นเกร็ดเล็กน้อย ที่บางอย่างก็ได้ประสบมาด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะมีระบบป้องกันการโจรกรรมรถยนต์จะก้าวหน้า
และไฮเทคเพียงใด เหล่ามิจฉาชีพก็พัฒนาตามมาแบบติดๆ
ไม่ว่าคุณจะใช้กันขโมยที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็คทอรนิคส์ หรือเป็นกลไกแบบเก่า
ยังไงก็เป็นเพียงแค่ตัวช่วย ในการถ่วงเวลาให้เล่าบรรดามิจฉาชีพทำงานได้ลำบากขึ้น แต่แน่นอนว่า
ไม่มี ย่อมดีกว่าไม่ได้ป้องกันอะไรเลย พูดได้ว่าติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันขโมยมากเท่าไหร่ยิ่งดี
รถแต่ละคันราคาก็ไม่ใช่น้อยจะปล่อยให้เอาไปง่ายๆ ก็กระไรอยู่
ที่สำคัญเวลาจอดรถที่ไหนควรดูด้วยว่า สถานที่จอดรถนั้นน่าไว้ใจ หรือไม่
ถ้าดูทำเลแล้วไม่ค่อยน่าไว้ใจก็ไม่ควรจอด และพยายามอย่าจอดในที่เปลี่ยว หรือลับตาคน
เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ หนทางที่ช่วยให้รถเราปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วย

ที่มา http://www.asnbroker.co.th/news.php?id=680

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คุณจะสตาร์ทรถด้วยสายพ่วงอย่างไร #เรื่องรถน่ารู้

คุณจะสตาร์ทรถด้วยสายพ่วงอย่างไร #เรื่องรถน่ารู
คุณจะสตาร์ทรถด้วยสายพ่วงอย่างไร #เรื่องรถน่ารู้

ถ้าไฟและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในรถคุณไม่ทำงาน บางทีอาจเป็นเพราะแบตเตอรี่ใช้การไม่ได้ คุณสามารถกระตุ้นให้แบตเตอรี่ทำงานได้ชั่วคราวโดยวิธียืมพลังแบตเตอรี่จากรถคันอื่น แต่คุณต้องใช้อุปกรณ์ตัวหนึ่งนั่นคือ สายไฟที่ใช้เป็นตัวพ่วงกระแสไฟจากแบตเตอรี่รถคันอื่นเข้าสู่แบตเตอรี่รถคุณ ASN Broker มีวิธีแนะนำคุณควรมีสายไฟที่ใช้สำหรับพ่วงกระแสไฟไว้ในรถตลอดเวลา (ดูในบทที่กล่าวถึงอุปกรณ์ที่รถควรมี) ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยคุณจะใช้เวลาจัดการเรื่องนี้ไม่เกิน 10 นาที
- หารถที่มีแบตเตอรี่มากพอ (ควรเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ไม่เล็กกว่าของรถคุณ แต่รถที่กำลังแล่นอยู่มักสามารถใช้ได้เสมอ)
- ขับรถอีกคันเข้ามาเทียบรถคุณ ในระยะที่ใกล้พอจะต่อสายพ่วงได้
- ใส่เกียร์รถเป็นเกียร์จอดหรือเกียร์ว่าง ดับเครื่องและดึงเบรกมือ
- ต่อปลายสายพ่วงที่เป็นขั้วบวก (ตัวหนีบสีแดง) กับขั้วบวกของแบตเตอรี่รถทั้งสองคัน {( ) แดง =ขั้วบวก}
- อย่าให้ตัวหนีบสายไฟแต่ละอันไปโดนอันอื่นเพราะจะทให้เกิดประกายไฟได้
- ต่อปลายสายพ่วงที่เป็นขั้วลบ (ตัวหนีบสีดำ) ข้างหนึ่งกับขั้วลบของแบตเตอรี่รถคันที่มีแบตเตอรี่สมบูรณ์ { (-) ดำ = ขั้วลบ} และอีกข้างหนึ่งกับแท่นเครื่องยนต์ในรถคุณ ระวังอย่าให้โดนแบตเตอรี่
- สตาร์ทรถคันที่เป็นตัวส่งแบตเตอรี่ และเร่งเครื่องยนต์หมุนเปล่าโดยเร็ว
- สตาร์ทรถคุณ
- ถ้าเครื่องยนต์รถคุณยังไม่ทำงาน ตรวจดูว่าต่อปลายสายพ่วงไว้ถูกต้องหรือเปล่า หรืออาจให้รถคันที่เป็นตัวส่งแบตเตอรี่ออกวิ่งสักประมาณ 3-5 นาทีก่อน แล้วลองอีกครั้ง
- หลังจากรถคุณสามารถติดเครื่องได้แล้ว ให้ดับเครื่องรถคันที่เป็นตัวส่งแบตเตอรี่
- ถ้ารถคุณยังคงไม่สามารถติดเครื่องได้ วิธีที่ดีที่สุดคือเรียกรถลาก คุณไม่ควรเสี่ยงกับความเสียหายของตัวมอเตอร์สตาร์ท (เพราะหากต้องเปลี่ยนตัวใหม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก) ดับเครื่องรถคันที่เป็นตัวส่งแบตเตอรี่
- อย่าถอดสายไฟสีดำเป็นตัวแรก
- ถ้าตัวไดชาร์จยังคงเบาอยู่ บางทีปัญหาไม่ได้เกิดจากแบตเตอรี่ คุณควรให้ช่างเครื่องตรวจเช็ก
Note : สายพ่วงต้องไม่เล็กเกินไป

ที่มา http://www.asnbroker.co.th

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รถยนต์ลุยฝนควรดูและตรวจอะไรเป็นพิเศษ มาดูวิธีกัน

รถยนต์ลุยฝนควรดูและตรวจอะไรเป็นพิเศษ มาดูวิธีกัน
รถยนต์ลุยฝนควรดูและตรวจอะไรเป็นพิเศษ มาดูวิธีกัน

เพื่อให้เกิด ความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถมากขึ้น สำหรับ ขั้นตอนการตรวจ และวิธีการตรวจ มีอะไรบ้างนั้น 
และท่านสามารถตรวจสภาพรถของท่าน ด้วยตัวท่านเองได้  ASN Brokerผู้ให้บริการด้านประกันภัยรถยนต์จะพาท่าน
เริ่มกันที่ การตรวจสภาพรถทั่วไป 7 ประการ ดังต่อไปนี้

ประการแรก การตรวจสภาพความอับชื้นภายในรถ ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน
ถ้ามีความอับชื้นอยู่ภายในรถท่าน อย่างน้อยมันจะมีกลิ่นอับภายในรถ ทำให้มลภาวะในห้องโดยสารต้องเสียไป
นอกจากนี้ เจ้าพรมปูพื้นจะผุเปื่อยเร็วกว่าปกติ และปัญหาใหญ่ประการสำคัญที่ตามมาก็ คือ
จะทำให้พื้นรถผุ เป็นสนิมเร็วขึ้น ความอับชื้น มันเข้าไปในรถของท่านได้อย่างไร
น้ำเข้ารถของท่านได้หลายทางด้วยกัน ดังต่อไปนี้ คือ

1. เข้าทางกระจก โดยท่านอาจ ลืมปิดกระจก หรือปิดกระจกไม่สนิท เมื่อฝนตกหนัก
ข้อนี้รวมไปถึง รางกระจกชำรุด ปิดไม่ได้ แบบนี้ ฝนตกก็เปียกแน่ๆ

2. ท่อระบายน้ำของอุปกรณ์เครื่องทำความเย็นภายในรถ คือ
ท่อน้ำจากคอยล์เย็นอุดตัน หรือไม่กระชับแน่น จึงทำให้น้ำไหลนองพื้นได้ อีกกรณีหนึ่ง เช่นกัน

3. พื้นรถผุกร่อนจนมี รอยทะลุ ในกรณีนี้มีปัญหาแน่นอน
แค่วิ่งลุยฝน ล้อก็จะรีดน้ำสาดเข้าใต้ท้องรถ สาดซึมขึ้นมา เปียกพื้นรถ เป็นแน่แท้

4. การขับลุยน้ำ ที่ท่วมสูง บางครั้งสูงกว่าพื้นรถเสียอีก น้ำจึงทะลักเข้ารถ จนเปียกหมด

ทั้ง 4 ประการนี้แหล่ะ เป็นที่มาของการทำให้พรมปูพื้นรถเสียหาย ใช้มือลูบจับดูความเปียกชื้นของพรมปูพื้นรถ
ตรงไหนเปียก ท่านจะทราบได้จากการสัมผัส สำหรับรถที่ไม่มีพรม ก็ตรวจด้วยสายตาและการสัมผัสได้ เช่นกัน

สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหา จากความเปียกชื้น ดังที่กล่าวมาไม่ยากเลย
ในวันที่อากาศแจ่มใส จอดรถกลางแดด เปิดประตูให้กว้างทุกบาน
เพื่อให้แสงแดดและกระแสลมพัดผ่าน ไล่ความเปียกชื้น และกลิ่นอับไปให้หมด
หรือถ้าพรมเปียกมาก เห็นทีจะแห้งในวันเดียวไม่ได้ ก็ให้หาเครื่องเป่าผมไฟฟ้า
เอาลมร้อนไล่ความชื้น ก็จะร่นเวลาการแห้ง ของพรมให้เร็วขึ้น


ประการที่ 2 การตรวจสภาพการทำงานของ มอเตอร์สตาร์ต
การตรวจก็ไม่มีการยุ่งยากอะไรเลย แค่การบิดสวิตซ์ สตาร์ตติดเครื่องยนต์ธรรมดาๆ
เพียงแต่ให้สังเกตการทำงานของไดสตาร์ต ถ้าหมุนอืดช้าๆ เสียงอี๊ดๆ ช้ามาก ก็ใช้ไม่ได้
หรือประเภทมีเสียงดังแซ๊ะๆ ก่อนไดสตาร์ตจะหมุนเร็วและฉุดให้เครื่องติดได้ ลักษณะนี้แสดงว่า
โรคจากน้ำได้ฟักตัวและอยู่ในระยะกำเริบแล้ว คือทำให้เกิดฉนวนตามหน้าสัมผัสของสะพานไฟในมอเตอร์สตาร์ต
ทำให้กระแสไฟไหลผ่านได้น้อย หรือไหลผ่านไม่ได้เลย ถ้าบิดสวิตซ์แล้วไม่มีเสียงใด ๆทั้งสิ้น
การแก้ไขกรณีนี้ ก็ให้ถอดไดสตาร์ตออกมาขัดทำความสะอาด ขูดคอนแทรคของโซฮอยล์ชุดแปลงถ่าน
และซี่คอมมิวเกเตอร์ ด้วยกระดาษทรายให้สะอาด และใส่กลับที่เดิม
รับรอง ถ้าแบตเตอรี่ไฟดี มันจะทำงานได้เช่นปกติ ถ้าท่านเจ้าของรถที่พอจะทำเป็น ก็บริการรถท่านเองได้เลย


ประการที่ 3 ของการตรวจรถทั่วไป หลังฤดูฝน คือ ตรวจลูกปืนคลัตซ์
โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งและสตาร์ตเครื่องอยู่แล้ว ก็ให้ตรวจสภาพของลูกปืนคลัตซ์
โดยเหยียบคลัตซ์แล้วปล่อย ทำหลายๆ ครั้งแล้วฟังเสียงผิดปกติ
ถ้าขณะเหยียบมีเสียงกรี๊ดๆๆ เล็กๆ ถ้าตรวจพบเสียงนี้ ต้องรีบนำเข้ารับบริการ ตรวจเปลี่ยนลูกปืนคลัตซ์
มิฉะนั้น จะทำให้หวีคลัตซ์ นิ้วคลัตซ์ หรือที่บางครั้งเรียกว่า "ตีนผี" สึกหรอเสียหายได้
อย่าทำการซ่อมเอง ให้รีบไปใช้บริการที่อู่ สะดวกสบายที่สุด


ประการที่ 4 คือ การตรวจสภาพของการใช้งานเบรคมือ
เพียงทดลองดึงเบรกมือว่าที่ดึงสูงมากผิดปกติหรือเปล่า ที่จริงแค่ 5 แก๊กก็พอ
อันนี้ เราสามารถปรับสายเบรคมือให้ตึงขึ้น ก็จะแก้ปัญหานี้ได้ จากนั้นให้ตรวจสภาพการทำงาน คือ
หลังจากดึงเบรกมือแล้ว ทดลองออกรถในตำแหน่งเกียร์หนึ่ง ถ้ารถเคลื่อนตัวออกได้ แสดงว่าเบรคมือใช้ไม่ได้
ต้องรีบนำเข้าไปแก้ไข เพราะเบรค ช่วยให้ท่านสะดวก ขณะขับในสภาพการจราจรติดขัดบนคอสะพาน
ซึ่งจอดรถในถนนลาดชัน และยังช่วยหยุดรถ เมื่อเบรคแตกได้อีกด้วย
อย่านิ่งนอนใจนะครับ ถ้าตรวจพบว่ามันใช้การไม่ได้ ให้นำรถเข้าศูนย์บริการเลย
สิ่งนี้ก็มีผลมาจากการลุยน้ำในหน้าฝนได้ เช่นกัน



ประการที่ 5 การตรวจการทำงานของคลัตซ์
ที่จะแนะนำนี้ เป็นวิธีการหนึ่งของการตรวจสภาพการทำงานของคลัตซ์ว่า ปรกติหรือไม่
ประการแรก ตรวจคลัตซ์ลื่น วิธีการโดย ดึงเบรคมือขึ้นให้สุด แล้วสตาร์ตเครื่องเข้าเกียร์ในตำแหน่งเกียร์สูงสุด
ถ้าเป็นแบบ 5 เกียร์ ก็เข้า เกียร์ 5 ถ้า 4 เกียร์ ก็เข้าเกียร์ 4 แล้วออกรถในเกียร์ดังกล่าว
โดยเร่งเครื่องปล่อยคลัตซ์ เพื่อให้รถวิ่ง
ถ้าผลปรากฎ ออกมาว่ารถไม่ขยับเขยื้อน แต่เครื่องยนต์ไม่ดับ ก็แสดงว่า คลัตซ์ลื่นครับ
อีกประการหนึ่งให้ทดลองออกรถตามปกติ เช่น พบว่ารถจะสั่นเมื่อเริ่มออกรถทุกครั้ง หลังจากรถลุยน้ำ
หรือลุยฝนมา นี่ก็แสดงว่า คลัตซ์ลื่นเช่นกัน อย่างนี้จะต้องนำรถไปปรึกษาช่างแล้วหล่ะ


ประการที่ 6 คือ ตรวจเบรคว่า ปัดเป๋กินซ้าย หรือกินขวา การตรวจเบรก
ท่านเองก็ทำได้สบายมาก เพียงหาที่ว่าง หรือถนนว่างเพื่อลองเบรค
โดยถนนจะตัดได้ระดับลมยางและดอกยางถูกต้องใกล้เคียงกัน
วิธีการตรวจ ให้ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. ตั้งพวงมาลัยให้ตรงไปข้างหน้า มือไม่ต้องจับพวงมาลัย
แล้วเหยียบเบรคทันทีทันใด ถ้ารถปัดเป๋ไปข้างใดข้างหนึ่งก็แสดงว่า ระบบเบรคมีปัญหา
อาจเกิดจากการติดตาย เพราะน้ำเข้า หรือเกิดการรั่วซึมในระบบ
กรณีนี้ต้องรีบนำรถเข้าเช็คที่ศูนย์บริการเบรดโดยด่วน อย่าลืมว่า "เบรค คือ ชีวิต"


ประการที่ 7 คือ ตรวจระยะฟรีพวงมาลัย
ซึ่งวิธีการตรวจนั้นง่ายมาก ให้ท่านจับพวงมาลัยแล้วออกแรงที่มือเบาๆ หมุนพวงมาลัยไปทางซ้าย หรือขวา
ในตำแหน่งระยะฟรี ถ้ารัศมีของระยะฟรีมาก เช่น เป็นครึ่งรอบ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ผู้ขับบังคับรถยาก
เพราะในบางคัน หมุนพวงมาลัยไปครึ่งรอบ หน้ารถจึงจะมีปฏิกริยาตอบสนอง
เกิดจะต้องเลี้ยวอย่างฉับพลันคงจะเลี้ยวไม่ทัน ผลที่ตามมาคือ ต้องเฉี่ยวชนกัน
อย่างนี้ "อันตราย" ควรรีบนำรถไปให้อู่ซ่อมบริการ

ข้อมูล : นิตยสาร ตลาดรถ ฉบับที่ 333

ที่มา http://www.asnbroker.co.th/news.php?id=678

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิธีแก้ปัญหา ทำไงยดีเมื่อยางแบน ขณะขับรถยนต์

วิธีแก้ปัญหา ทำไงยดีเมื่อยางแบน ขณะขับรถยนต์
วิธีแก้ปัญหา ทำไงยดีเมื่อยางแบน ขณะขับรถยนต์

ยางแบนขณะขับรถ เป็นปัญหาเหมือนฝันร้าย ที่ เจ้าของรถทุกคนไม่อยากพบเจอ แต่ถ้าคุณเป็นคนใช้รถ ไม่ว่ายังไงยก็ต้องพบเจอเข้าสักวัน
ASN Broker จึงอยากนำความรู้ วิธีแก้ไขปัญหา ทำไงยดีเมื่อยางแบน ขณะขับรถยนต์ แต่จะไม่เป็นเช่นนั้นอีก
หากคุณได้รู้วิธีการเปลี่ยนยางอย่างง่าย ๆ แล้วคุณจะรู้ว่าการเปลี่ยนยางง่ายกว่าการขับรถเสียอีก

1.ก่อนใช้แม่แรงยกรถ

- จอดรถบนไหล่ทางที่เรียบ

- ใส่เกียร์จอด หรือถ้าคุณใช้รถเกียร์ธรรมดาให้ใส่เกียร์ว่างเพื่อกันไม่ให้รถเลื่อนไหล

- ใส่เบรกมือ

- เปิดไฟกะพริบหรือไฟฉุกเฉิน

- บล็อกล้อเพื่อมั่นใจว่ารถจะไม่ไหลแน่นอน (วิธีการบล็อกล้อคุณสามารถใช้ หิน อิฐ แผ่นกระดาษ หรือของหนัก ๆ ที่สามารถดันใต้ยางได้วางไว้หลังล้อ)
- เตรียมยางสำรอง

2.การถอดฝาครอบดุมล้อและถอดน๊อต

- ถอดฝาครอบดุมล้อ

- ใช้ไขควงงัดฝาครอบดุมล้อออกจากล้อ (บางครั้งอาจมีตัวล็อกฝาครอบดุมล้อ คุณจำเป็นต้องไขล็อกออกก่อน)
- ใช้ฝาครอบดุมล้อเป็นภาชนะ สำหรับใส่น็อตล้อไว้ตอนคุณเปลี่ยนยาง

- ถอดน็อต

- ไขน็อตล้อ

- ถ้าน็อตล้อมีรูปตัว L ให้หมุนตามเข็มนาฬิกา

- ถ้าไม่มีรูปตัว L หรือมีรูปตัว R แทนให้หมุนทวนเข็มนาฬิกา

- เมื่อถอดน็อตล้อเสร็จแล้วอย่าเพิ่งถอดล้อเพราะอาจทำให้ขอบยางเสียหาย ให้ยกรถขึ้นก่อน

3.ยกรถ
- ตรวจดูด้วยมือ หรือแม่แรงว่าตำแหน่งไหนของรถที่แข็งแรงพอเหมาะสำหรับใช้เป็นฐานยกรถได้

- ถ้าคุณไม่มีความรู้ด้านนี้ หรือไม่ทราบว่าตำแหน่งไหนสมควรใช้เป็นฐานยกรถ ให้ตรวจสอบจากคู่มือรถ

- ตำแหน่งยกรถส่วนใหญ่อยู่ใต้โครงฐานรถ ซึ่งทำหน้าที่รองรับตัวถังและเครื่องยนต์ หรืออาจอยู่บริเวณท่อนเหล็กใหญ่ที่รองรับล้อหน้า หรือเพลาบริเวณหลัง

- โยกแม่แรงปั้มขึ้น เมื่อรถอยู่ในตำแหน่งสูงพอจะถอดล้อที่ยางแบนได้แล้วจึงหยุด

- ต้องมั่นใจว่ารถอยู่ในสภาพปลอดภัย ไม่สั่นหรือโคลงเคลงเพราะถ้ารถโคลงเคลง อาจทำให้เสียหลักตกจากแม่แรงได้ (นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องหาที่จอดรถเป็นไหล่ทางเรียบ)
- อย่าอยู่ใต้รถขณะที่รถลอยอยู่

4.เปลี่ยนยาง

- ถอดน็อตล้อ (จะเรียบร้อยในขั้นที่ 2) และวางไว้ในฝาครอบดุมล้อบนพี้น

- ถอดล้อโดยการดึงเข้าหาตัวและเคลื่อนออก

- ยกล้อสำรองใส่เข้าในสลักน็อต เพื่อเปลี่ยนแทนล้อที่ยางแบน

- นำน็อตล้อใส่คืนที่ และขันให้แน่นทั้งหมดโดยขันในทิศตรงกันข้ามกับที่คุณไขออก

- ปั้มแม่แรงลง จนกระทั่งยางแตะพื้น

- ปั้มแม่แรงลง จนกระทั่งยางแตะพื้น

- ขันน็อตล้ออีกครั้งหนึ่ง เพื่อมั่นใจว่าแน่นเพียงพอแล้ว

- ใส่ฝาครอบดุมล้อคืนที่เดิม แต่หากคุณคิดว่าฝาครอบดุมล้อไม่พอดีเหมือนตอนแรก ให้เก็บไว้ท้ายรถก่อน

- เก็บล้อที่ยางแบนและเครื่องมือไว้ท้ายรถ

- เก็บวัสดุที่ใช้บล็อกล้อทั้งหมด

จำไว้ว่าคุณจำเป็นต้องขันน็อตล้อให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้


Note : ล้อสำรองมักมีขนาดเล็ก ดังนั้นไม่ควรวิ่งด้วยความเร็วเกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเดินทางไกลไม่เกิน 70 กิโลเมตร
ที่มา http://www.asnbroker.co.th

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คลิป ปอ.33 ฝ่าไฟแดงแยกแคราย หวิดดับสยอง!! ลงโทษปรับแค่ 1,000 พักงาน 3 วัน #เรื่องรถน่ารู้ #ASNBroker #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

คลิป ปอ.33 ฝ่าไฟแดงแยกแคราย หวิดดับสยอง!! ลงโทษปรับแค่ 1,000 พักงาน 3 วัน #เรื่องรถน่ารู้
คลิป ปอ.33 ฝ่าไฟแดงแยกแคราย หวิดดับสยอง!! ลงโทษปรับแค่ 1,000 พักงาน 3 วัน #เรื่องรถน่ารู้ #ASNBroker #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ 
เฟซบุ๊กของผู้ใช้ชื่อ Chanthapak Ooseven ได้โพสต์คลิปรถเมล์ ปอ. 33 ฝ่าไฟแดงความยาว 20 วินาที เป็นเหตุการณ์ขณะจอดรถรอสัญญาณไฟอยู่บริเวณสี่แยกแคราย พอถึงช่วงสัญญาณไฟเขียว รถที่จอดอยู่ต่างทยอยเคลื่อนตัว แต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถเมล์ ปอ.ฝ่าไฟแดงออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้รถฝั่งที่ได้สัญญาณไฟเขียวต้องหยุดรอให้รถเมล์ ปอ.ฝ่าไฟแดงคันดังกล่าวพ้นไปก่อนเพื่อความปลอดภัย
ลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=ibF0fWT2YaU


ทั้งนี้ หลังจากคลิปรถเมล์ ปอ.ฝ่าไฟแดงถูกเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ ได้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นโดยกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การกระทำของโชเฟอร์รถเมล์ ปอ.คันดังกล่าว อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้
 



ล่าสุดบริษัท กิตติสุนทร จำกัด ผู้ให้บริการรถโดยสารสายดังกล่าว โพสต์ชี้แจงว่า ทางบริษัทฯได้รับทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว และเห็นว่าเป็นการกระทำผิด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุร้ายแรงได้ โดยวันนี้ริษัทฯได้เรียกพนักงานขับรถ รหัส 33A-22 เข้ามารับทราบความผิด พร้อมทั้งอบรมและบทลงโทษในการกระทำที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคมครั้งนี้ บริษัทฯพิจารณาแล้วว่าควรลงโทษหักเงิน 1,000 บาท และพักการทำงานเป็นเวลา 3 วัน

Credit: ข่าวสด

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เกียร์ออโตติดไฟแดงนานๆ เหยียบเบรกหรือปลดเกียร์ว่าง แบบไหนดีกว่ากัน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

เกียร์ออโตติดไฟแดงนานๆ เหยียบเบรกหรือปลดเกียร์ว่าง แบบไหนดีกว่ากัน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
เกียร์ออโตติดไฟแดงนานๆ เหยียบเบรกหรือปลดเกียร์ว่าง แบบไหนดีกว่ากัน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ดูๆ ไปแล้ว การใช้งานเกียร์ออโตที่มีความคิดเห็นแตกต่างออกไปจากเหล่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญชำนาญการเรื่องของเกียร์ก็เหมือนกับการคิดล้มล้างทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอสไตน์ยังไงยังงั้น แนวความคิดของการใช้งานเกียร์อัตโนมัติที่แปลกแยกแตกต่างไปจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญในวงการรถยนต์กลายเป็นผิดไปหมดทั้งๆ ที่ความเป็นจริงสามารถกระทำได้ เกียร์ออโตที่ออกแบบให้เลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้นั้น เมื่อติดไฟแดงนานๆ ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ส่วนใหญ่หรือเกือบจะทั้งวงการแนะนำให้เหยียบเบรกคาเกียร์ D เอาไว้จนกว่ารถคันข้างหน้าจะเคลื่อนตัว หากติดไฟแดงไม่นานก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดการติดแบบสาหัสสากรรจ์ เช่น ข้างหน้ามีอุบัติเหตุจนขวางช่องทางจราจร หรือฝนตกน้ำท่วมขังทำรถติดทั้งเมือง การจะมานั่งใช้เท้าขวาเหยียบเบรกยัดเกียร์ D หรือเกียร์ขับเคลื่อนเอาไว้นานจนแมงมุมเริ่มชักใย ดูไปมันช่างฝืนความรู้สึกและเต็มไปด้วยความเมื่อยขบปวดขากับความคิดดังกล่าว

แรงดันในระบบของเกียร์อัตโนมัตินั้น เมื่อเลื่อนคันเกียร์จาก N ไปที่ตำแหน่ง D จะเกิดแรงดันขึ้นเพื่อดันของเหลวหรือน้ำมันเกียร์ให้มีการไหลเวียนเพื่อหล่อลื่นการทำงาน การเลื่อนคันเกียร์บ่อยๆ จะทำให้เกียร์สึกหรอโดยใช่เหตุ !! ช่างหรือผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงแนะนำวิธีการใช้งานเกียร์ออโต โดยมักจะบอกกันว่าตั้งแต่สตาร์ตเครื่องยนต์ใส่เกียร์ D ขับออกจากบ้าน เมื่อเจอสภาพจราจรที่ติดขัดไม่ว่าจะสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน ก็ไม่ควรเปลี่ยนเกียร์เลื่อนไปเลื่อนมาระหว่าง D และ N ให้เหยียบเบรกเอาไว้พร้อมกับคาเกียร์ในตำแหน่ง D ตลอดเวลาแม้รถจะติดโหดจนขาแทบพลิกเพราะต้องเหยียบแป้นเบรกยาวนานจนตะคริวกินขาเลือดไม่เดิน แทนที่เกียร์จะพังกลับเป็นขาของคนขับที่พังแทน เกจิในวงการบางท่านหรือนักเลงรถเจ้าของอู่ที่เชี่ยวชาญในด้านระบบส่งกำลังต่างออกมาบอกกันว่า ทอร์ค คอนเวอร์เตอร์ ในเกียร์อัตโนมัติจะหยุดส่งถ่ายแรงดันเมื่อผู้ขับขี่เข้าเกียร์ว่างหรือเกียร์ N และหากเลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่งขับเคลื่อนหรือ D เพื่อขับเคลื่อน แรงดันจากระบบเกียร์จะทำงานต่อทันทีที่เข้าเกียร์ D ทำให้ภายในระบบเกียร์และวาล์วภายในมีแรงดันไม่ต่ำกว่า 2-5 บาร์ สำหรับให้กำลังในการออกตัว หากทำแบบนั้นบ่อยๆ จะทำให้เกียร์สึกหรอซึ่งพิสูจน์กันแล้วว่าไม่จริงเสมอไป

ตลอดระยะเวลาในการขับใช้งานรถยนต์ส่วนตัวของผม ซึ่งเป็นรถ BMW 318i e36 ปี 1997 ระยะเลขไมล์ที่ 197,920 กิโลเมตร เมื่อติดไฟแดงนานๆ เกิน 3-5 นาที ในบางแยก เช่น จากศรีนครินทร์ไปลำสาลีในช่วงเย็น หรือจากห้าแยกลาดพร้าวไปยังแยกรัชโยธินในช่วงวันศุกร์สิ้นเดือนที่มีฝนตกหนักในตอนเย็น หรือแม้แต่แยกสาทรในช่วงเวลาเลิกงาน เมื่อผจญกับรถติดหนักติดนาน ผมใช้การเลื่อนคันเกียร์อัตโนมัติจาก D ไปที่ N แล้วดึงเบรกมือเพื่อป้องกันรถไหล เกียร์ออโตของ BMW 318i รุ่นนี้เป็นเกียร์อัตโนมัติของ GM ที่มีการดูแลรักษาเปลี่ยนถ่ายของเหลวหรือน้ำมันเกียร์ตามระยะทาง ไม่ค่อยขับแบบลากเกียร์หรือยัดเกียร์เองในโหมดแมนนวล ไม่ว่าจะติดนานแค่ 1-2 นาที หรือนิ่งสนิทลากกันยาวจนแทบจะหลับคารถ ผมมักเลื่อนคันเกียร์ไปยังเกียร์ว่างหรือ N แล้วดึงเบรกมือเพื่อพักเท้าขวา จากปี 1997 จนมาถึงปี 2015 เป็นระยะเวลา 18 ปีแล้วที่เกียร์ยังคงรับใช้ทำหน้าที่่เป็นปกติไม่มีอาการของการสึกหรอหรือลดการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น ใส่เกียร์ D หรือเกียร์ R ก็ไม่ต้องรอกันนานแบบอาการก่อนเกียร์จะพัง หากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ผมคงต้องเปลี่ยนเกียร์ใหม่ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ลูกจากระยะเวลาในการใช้รถ และการเลื่อนคันเกียร์ไปมาระหว่าง D-N-R P ตลอด 18 ปี ลองคิดกันเอาเองนะครับ

เกียร์ออโตจะเกิดการสึกหรอเสียหายนั้น นอกจากการเลื่อนคันเกียร์ไป-มาซึ่งเป็นวิธีใช้งานในชีวิตประจำวันอยู่แล้วที่คุณต้องเลื่อนจาก P ไป R ไป N ไปที่่ D หรือแม้แต่ D1-D2 หากพบเจอกับทางขึ้นเขาลงเนิน การสึกหรอเสียหายยังเกิดขึ้นได้จากการใช้งานที่่ผิดวิธี เช่น ไม่เคยเปลี่ยนของเหลวหล่อลื่นมานานจนจำไม่ได้ว่าครั้งล่าสุดเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ ชอบขับแบบลากรอบลากเกียร์ เปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงด้วยตัวเองบ่อยครั้งแทนที่จะให้ ECU ของเกียร์ทำงานไปตามเรื่องตามราวของมัน รถยังไม่ทันหยุดก็ทำตัวเป็นเด็กแว้นใจร้อนรนยัดเกียร์ถอยซะแล้ว แบบนั้นแหละครับที่เป็นตัวการในการทำให้เกียร์ออโตของคุณกระจายก่อนวัยอันควร ไม่ใช่แค่การเลื่อนคันเกียร์จาก D ไป N เพื่อพักเท้าพักขาเมื่อเจอเข้ากับรถติดหนักๆ

วิธีที่ท่านผู้เชี่ยวชาญชำนาญการเรื่องรถยนต์แนะนำให้คาเกียร์ D แล้วเหยียบเบรกเอาไว้ก็สามารถทำได้หากคุณเป็นคนหวาดระแวงและไม่มีเงินมากพอที่จะซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์ใหม่เมื่อเกียร์เกิดอาการเสียไม่ทำงาน การกระทำแบบนั้น ถึงแม้รถจะหยุดนิ่งแต่ก็มีความเสี่ยงอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ จากความเผอเรอเมื่อน้ำหนักเท้าขวาที่กดลงไปบนแป้นเบรกเกิดอาการอ่อนล้าเมื่อยขบ ขาเกิดอาการชาหรือตะคริวกินขาโดยเฉพาะคนที่มีอายุเยอะๆ เพียงแค่ผ่อนคลายน้ำหนักที่แป้นเบรกนิดเดียว แรงหมุนของเกียร์อาจเอาชนะแรงกดแป้นเบรกที่ลดลงได้จากความเผอเรอหรือเมื่อยล้า เกียร์ออโตที่ใส่ตำแหน่ง D หรือตำแหน่งของการขับเคลื่อนก็พร้อมที่จะทำให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าทันที ผลก็คือไหลไปเสยท้ายรถชาวบ้านชาวช่องแบบไม่ได้ตั้งใจ ทำให้คุณต้องเสียเงินเสียเวลาเกิดเรื่องเกิดราว หากสภาพการจราจรเข้าขั้นจลาจล ติดหนักหนาสาหัสนานหลายนาที การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จาก D มายังตำแหน่ง N หรือตำแหน่งของเกียร์ว่างพร้อมๆ กับการใช้เบรกมือจะช่วยทำให้คุณใช้รถได้อย่างปลอดภัย มันอาจสึกหรอบ้างตามอายุการใช้งานแต่คงไม่พังคาเท้ากันไปในบัดดลอย่างแน่นอน

จะใช้วิธีไหนเมื่อรถติดก็เลือกเอาจากความถนัดและความชอบความเชื่อนะครับ การใช้งานอันหลากหลายของเกียร์ออโตขึ้นตรงต่อการดูแลรักษาอย่างที่บอก หากไม่เคยใส่ใจเหลียวแลเปลี่ยนถ่ายของเหลวแถมยังขับแบบทำร้ายเกียร์ตลอดเวลา ต่อให้คุณเหยียบเบรกคาเกียร์ D ยามรถติดทุกครั้งตามที่เกจิบอกเกียร์ของคุณก็พังได้เหมือนกัน อยากจะบอกว่าเกียร์ออโต 7 สปีดในรถสปอร์ต AUDI R8 V10 S-Line ของท่านที่รู้จักกัน รถอายุ 4 ปี วิ่งใช้งานน้อยมากไม่ถึง 8,000 กิโลเมตร เพราะมีรถเยอะเป็นสิบคันจึงไม่ค่อยได้ขับ เกียร์มีปัญหาไม่ยอมเปลี่ยนซะแล้ว แล้วยังไงครับ เปลี่ยนเกียร์ R8 ลูกหนึ่งได้ยินราคาแล้วลมแทบใส่ครับ
จะใช้วิธีไหนก็ได้ตามแต่สะดวกไม่มีใครผิดหรือถูกต้องไปซะทั้งหมด เพียงแค่เปิดใจให้กว้างยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างดูบ้าง โลกใบนี้คงน่าอยู่ขึ้นเยอะ สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวของผม หากรถติดไม่นานก็ทำตามอย่างที่เกจิอาจารย์แนะนำก็คือ เหยียบเบรกคาเกียร์ D เอาไว้ป้องกันเกียร์ระเบิดเพราะแรงดันมหาโหดในระบบ และเมื่อติดหนึบเหนียวแน่นจนปัสสาวะแทบราดเหยียบเบรกต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็ให้ใส่เกียร์ว่างหรือเกียร์ N แล้วดึงเบรกมือป้องกันรถไหลพอได้พักเท้านวดขานวดเท้าแก้เมื่อยขบก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะทำให้เกียร์กระจายก่อนวัยอันควรอย่างแน่นอน ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ครับ.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom 

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/505942

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แก้ไขด้วยตนเอง เมื่อโคมไฟรถไม่สว่าง #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

การแก้ไขด้วยตนเอง เมื่อโคมไฟรถไม่สว่าง #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
แก้ไขด้วยตนเอง เมื่อโคมไฟรถไม่สว่าง #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ASN Broker พามาดูเรื่องโคมไฟรถไม่สว่างบ้าง อันนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาเหมือนกัน เพราะทำให้ทัศนวิสัยในการขับรถตอนกลางคืนแย่ลง และทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน สาเหตุที่ทำให้ไฟไม่สว่างส่วนมากจะมาจากรถที่มีอายุการใช้งานนาน ๆ พวกโคมไฟหลอดไฟเสื่อมสภาพถึงแม้จะยังติดอยู่แต่ความสว่างก็จะน้อยลงเป็นลำดับ นอกจากนี้พวกสายไฟเก่า ๆ ก็ทำให้ไฟเดินไม่สะดวกเพราะเกิดความต้านทานในตัวสูงขึ้นและขั้วต่อต่าง ๆ สกปรกหรือหลวม

          การแก้ไขก็ต้องเดินสายไฟใหม่และเปลี่ยนหลอดไฟใหม่หากมันเก่ามาก ถึงจะหายขาดแต่ก็มีวิธีแก้ไขแบบชั่วคราวเมื่อยังไมพร้อมที่จะเดินสายไฟใหม่ คือการติดตั้ง “ชุดรีเลย์”ช่วยในการจ่ายกระแสไฟแทนของเดิมซึ่งอาจมีปัญหาในการจ่ายกระแสไฟไม่พอจากการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมา ซึ่งรีเลย์จะทำหน้าที่เช่นเดียวกับสะพานไฟแบบหนึ่งที่สามารถจ่ายไฟกระแสสูงได้มากกว่าสวิทช์ไฟธรรมดาจึงเหมาะแก่การจ่ายกระแสไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินกระแสมาก ๆ ได้โดยปลอดภัยไร้ปัญหา
 
          คงต้องขออธิบายเรื่องของการ “กินกระแสไฟ” เพื่อความเข้าใจกันเสียก่อน กล่าวคือ หากอุปกรณ์ไฟฟ้ามีการกินกระแสไฟมาก ๆ เช่น โคมไฟหน้า มอเตอร์สตาร์ท การจ่ายกระแสไฟฟ้าไปให้จะต้องเพียงพอแก่ความต้องการอุปกรณ์เหล่านี้ถึงจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากเป็นไฟส่องสว่างก็จะให้แสงสว่างได้เต็มที่ไม่หรี่แดงเหมือนไฟตะเกียง ดังนั้นตั้งแต่สายไฟ สวิทซ์ไฟ ก็ต้องสามารถให้กระแสไฟสูงผ่านได้โดยสะดวก เพราะหากสายไฟเล็กเกินไปหรือสวิทซ์ไฟทนกระแสสูงได้ได้ก็จะทำหเกิดความร้อนและต้านการไหลของกระแสไฟจึงต้องมีการคำนวณอัตราการกินกระแสไฟเพื่อเลือกใช้สวิทซ์และสายไฟขนาดที่ถูกต้องในอุปกรณ์แต่ละชนิด

          อย่างหลอดไฟหน้าที่ติดมาจากโรงงานซึ่งมีกำลังในการส่องสว่าง 55-60 วัตต์ จะมีอัตราการกินกรแสไฟ 4.5 และ 5 แอมป์ชั่วโมงตามลำดับ ขึ้นอยู่กับว่ากำลังเปิดไฟสูงหรือไฟต่ำอยู่  เมื่อรวมกัน 2 ดวงก็จะกินกระแสประมาณ 10 แอมป์ ดังนั้นการใช้สวิทซ์ก็จะต้องทนกระแสสูงได้โดยสวิทซ์จะต้องมีพื้นที่หน้าสัมผัสของสะพานไฟหรือคอนแท็คท์เพื่อให้กระแสไฟไหลผ่านมากพอ ในรถสมัยโบราณจะใช้สวิทซ์ไฟที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ที่เป็นแบบใช้มือดึง ผู้ที่มีอายุประมาณเกิน 40 ปีขึ้นไปและเคยขับรถรุ่นเก่า ๆ จะคุ้นเคยเป็นอย่างดีเนื่องจากตอนนั้นยังไม่นิยมใช้รีเลย์เพราะเน้นความง่ายและคงทนในการติดตั้งและใช้งานเป็นหลัก การลิฟท์ไฟสูงต่ำก็ยังใช้สวิทซ์มีทั้งมือดึงและเท้าเหยียบ อย่างในรถ JEEP ต่อมาการออกแบบรถยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ภายในมีความทันสมัยและหรูหราขึ้นสวิทซ์ไฟใหญ่และไฟหรี่ถูกย้ายขึ้นมาอยู่ที่ก้านไฟเลี้ยวซึ่งมีขนาดเล็กเพราะพื้นที่จำกัด เหตุที่ย้ายขึ้นมาไว้ตรงนี้เพื่อให้อยู่ใกล้มือสะดวกในการเปิด-ปิดไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย และดูทันสมัยขึ้น เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดสวิทซ์ก็ต้องมีขนาดเล็กลงจึงต้องใช้รีเลย์เป็นตัวจ่ายไฟกระแสสูงแทน โดยใช้สวิทซ์อันเล็กเป็นตัวปล่อยไฟกระแสต่ำไปคอนโทรลให้รีเลย์ทำการตัดหรือจ่ายกระแสไฟอีกที

          ในตัวรีเลย์จะประกอบด้วยหน้าคอนแท็คท์ขนาดใหญ่และใช้แรงแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวกระทำให้หน้าคอนแท็คท์สัมผัสกันโดยรับกระแสไฟจากสวิทซ์ที่ก้านไฟเลี้ยวหรือตลาดแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งกินกระแสไม่มาก ในระบบไฟรถยนต์เดี๋ยวนี้จะใช้รีเลย์เป็นตัวจ่ายไฟ กระแสสูงให้กับวงจรและอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเพราะสะดวกในการใช้งานและมีความคงทน สามารถออกแบบสวิทซ์ควบคุมอุปกรณ์ให้มีขนาดเล็กลงเพื่อความสวยงามในห้องโดยสารและคอนโซลหน้า และยังเหมาะกับการนำมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ติดตั้งเพิ่มเติมซึ่งมีการกินกระแสไฟสูงหรือช่วยแก้ปัญหาเรื่องไฟไม่สว่างได้ดีดังที่จะนำมาให้ดูเป็นตัวอย่างในตอนนี้

 

          การแก้ปัญหาลักษณะนี้ทำได้ทั้งแบบซื้อรีเลย์มาติดเองหรือไปให้ร้านซ่อมไดนาโมช่วยจัดการให้ก็ได้ และอีกวิธี คือ ซื้อชุดสำเร็จจากร้านอะหลั่ยรถยนต์มาติดตั้งก็ค่อนข้างสะดวกเพราะไม่ตอ้งมานั่งไล่วงจรกันใหม่ สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยสันทัดในเรื่องไฟฟ้าจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลามาก จะมีเป็นชุดทั้งของทำในประเทศและของนอกของนอกอาจจะไม่ค่อยเห็นเพราะราคาแพงและคุณภาพไม่หนีกันเท่าไหร่เท่าที่ดูแล้วของบ้านเราก็จัดว่าคุณภาพสูงพอควรเพราะใช้ตัวรีเลย์ของ HELLA   สำหรับชุดที่นำมาติดตั้งในรถคันที่นำมาเป็นแบบนี้มีความสามารถในการจ่ายกระแสไฟได้สูงสุด 25 แอมป์ จำนวน 2 ตัว มีการเดินสายไฟให้เรียบร้อยพร้อมขั้วต่อที่มีมาตรฐานพร้อมที่จะเสียบเข้ากับขั้วของหลอดไฟเดิมและต่อเข้ากับขั้วแบตเตอรี่ได้อย่างง่ายดายและตัวรีเลย์ก็หาที่ติดตั้งในห้องเครื่องได้ไม่ยาก ชุดสายไฟมีปลอกหุ้มป้องกันมาให้อีกขั้นทำให้ดูไม่แพงสำหรับราคาประมาณ 400 บาท

          หลังจากติดตั้งและต่อวงจรโดยกระแสไฟที่มาเลี้ยงหลอดไฟเดิมจะถูกเปลี่ยนมาเลี้ยงที่รีเลย์เมื่อเราเปิดไฟตามปกติ กระแสไฟจะมาทำให้เกิดอำนาจแม่เหล็กทำหให้หน้าคอนแท็คท์แตะกันจ่ายไฟกระแสสูงไปยังหลอดไฟ โดยกระแสไฟจะมาจากแบตเตอรี่โดยตรงผ่านหน้าคอนแท็คท์ในรีเลย์ไปสู่หลอดไฟทำให้มีกระแสไฟไปยังหลอดไฟเต็มที่ไฟสว่างเต็มตามกำลังส่องสว่างที่ระบุไว้ในหลอดไฟ

ที่มา http://www.asnbroker.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ห้ามรถวิ่งในเมืองเกิน 50 กม./ชม. จัดเต็ม ความปลอดภัยจักรยาน #ข่าวจราจร #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ห้ามรถวิ่งในเมืองเกิน 50 กม./ชม. จัดเต็ม ความปลอดภัยจักรยาน #ข่าวจราจร #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ห้ามรถวิ่งในเมืองเกิน 50 กม./ชม. จัดเต็ม ความปลอดภัยจักรยาน #ข่าวจราจร #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ต้นเดือน ก.ค.จะเสนอรายละเอียด
เกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินโครงการเส้นทางจักรยาน 1,000 แห่ง ภายในปี 2559
ตามนโยบาย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม ให้ ครม.รับทราบ
ซึ่งจะมีรายละเอียดแผนการก่อสร้างทางจักรยานทั้งประเทศที่กำหนดให้มีการนำยางพารามาใช้เป็นส่วนประกอบ
รูปแบบมาตรฐานทางจักรยาน และแนวทางปรับเปลี่ยน กฎระเบียบ 
หรือออกมาตรการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่จักรยาน

ส่วนความคืบหน้าล่าสุด ได้ดำเนินการก่อสร้างทางจักรยานไปแล้วรวมทั้งสิ้น 765 กิโลเมตร 
อยู่ระหว่างก่อสร้าง 19 กิโลเมตร และเตรียมการก่อสร้างเพิ่มอีก 2,225 กิโลเมตร 
ส่วนมาตรการดูแลความปลอดภัยผู้ขับขี่จักรยาน ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) 
ได้เสนอให้กระทรวงคมนาคมแก้ไขกฎกระทรวง ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 

โดยให้มีการปรับลดความเร็วการขับขี่รถยนต์ในเขตเมืองไม่ให้เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
จากปัจจุบันใช้ความเร็วได้ 80 กม.ต่อ ชม. เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับจักรยาน
ซึ่งจะนำกลับไปพิจารณาต่อไป รวมทั้งขอให้ปรับหลักสูตรผู้สอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ประเภทต่างๆ
โดยในอนาคตจะออกข้อสอบความรู้เกี่ยวกับการใช้ทางร่วมกับจักรยานอย่างปลอดภัยด้วย.

ที่มา http://www.asnbroker.co.th

VW แฮครถสร้างหน้าปัดไมล์ไฮเทค ใช้ลูกเตือนใจว่าพ่อแม่จ๋าอย่าขับซิ่ง! #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์

VW แฮครถสร้างหน้าปัดไมล์ไฮเทค ใช้ลูกเตือนใจว่าพ่อแม่จ๋าอย่าขับซิ่ง! #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์
VW แฮครถสร้างหน้าปัดไมล์ไฮเทค ใช้ลูกเตือนใจว่าพ่อแม่จ๋าอย่าขับซิ่ง! #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์

แบรนด์รถยนต์นอกจากจะโปรโมทขายรถคันเจ๋งของตัวเอง และสร้างเครือข่ายของบริการหลังการขายที่ดีแล้ว สิ่งที่ละเลยไม่ได้ก็คือ การทำให้ทุกชีวิตในรถและบนท้องถนนปลอดภัย ซึ่งก็มักจะอยู่ในรูปแบบของการทำกิจกรรมเชิง CSR และสำหรับโฟล์ก แบรนด์รถไฮเทคจากเยรมันก็เล็งเห็นความสำคัญนี้ จึงหยิบเอาความสัมพันธ์ในครอบครัวมาเป็นตัวแปรให้ผู้ขับรถ ขับให้ช้าลง และอุบัติเหตุก็จะน้อยตามลงมา
โดยทีมงานโฟล์ก จากนิวซีแลนด์จึงคิดออกมาเป็นกิจกรรมชื่อ Reduce Speed Dial ที่อาศัยการแฮคหน้าปัดรถยนต์ให้เปลี่ยนจากเขมไมล์มีดำๆ ขาวๆ และมีตัวเลขเต็มไปหมด ให้กลายเป็นกระดานดำวาดรูปของลูกๆ ที่สามารถใส่ข้อความน่ารักๆ ส่งเตือนใจให้กับพ่อแม่ที่ชอบบึ่งรถเร็วๆ ซึ่งลูกๆ สามารถวาดมันจากไอแพด และส่งไปยังหน้าปัดรถของคุณพ่อคุณแม่ได้เลย
2015-05-12_14-35-492015-05-12_14-35-29
ทุกทีที่เหลือบไปเห็นเข็มไมล์ก็จะเห็นหน้าคนรักที่รออยู่ที่บ้านขึ้นมาทันที ฉะนั้นสติมา การเร่งคันเร่งก็ลดลงเพราะต้องการปลอดภัยไว้ก่อน
เสียงจากพ่อแม่หลายคนที่ได้ใช้หน้าปัดไมล์ลายการ์ตูนฝีมือลูกๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต่อให้ไม่มีการควบคุมสปีดรถ แต่ลายมือของลูกคือการสั่งให้เราควบคุมจิตใจให้ดีขณะขับรถ และคุณพ่อบางคนก็บอกตั้งแต่ติดหน้าปัดแบบนี้เขาไม่เคยขับเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงอีกเลย!

ดูวิดีโอเบื้องหลังกิจกรรม Speed Dial จากโฟล์กได้ที่นี่

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พ่อ...หยุดไลน์หาผมซะที! ผลสะท้อนการเกิดอุบัติเหตุแชทขณะขับรถ #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

พ่อ...หยุดไลน์หาผมซะที! ผลสะท้อนการเกิดอุบัติเหตุแชทขณะขับรถ #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
พ่อ...หยุดไลน์หาผมซะที! ผลสะท้อนการเกิดอุบัติเหตุแชทขณะขับรถ #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

 
เชื่อหรือไม่!!!! ว่าสถิติจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการใช้โทรศัพท์มือถือนั้น มีมากกว่าการเมาแล้วขับเสียอีก
โดยในสหรัฐอเมริกาเกิดอุบัติเหตุมากกว่า 1.6 ล้านครั้งต่อปี หรือเฉลี่ย 4 พันครั้งต่อวัน
โดยจากผลการวิจัยของสถาบันกิจการขนส่งเวอร์จิเนียร์เทคฯ พบว่าการพยายามพิมพ์ข้อความ ขณะขับรถจะส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงสุด
มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้อง ถนนสูงกว่าปกติถึง 23 เท่าเลยทีเดียว  


โดยการพิมพ์ข้อความ ขณะขับรถ ซึ่งผู้ขับจะไม่ได้มองถนนเป็นระยะเวลาโดยเฉลี่ยประมาณ4.6 วินาที
ซึ่งนานพอที่รถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็ว55 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 88.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
สามารถทำระยะทางได้เท่ากับหนึ่งสนามฟุตบอล ในขณะที่การสนทนามือถือระหว่างขับรถจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
เพียง 1.3 เท่าของผู้ขับทั่วไป 


ล่าสุดเพื่อตอกย้ำสถิติ การเกิดอุบัติเหตุจากการแชท ASN Broker จึงขอนำ ชิ้นโฆษณา
ที่ว่าด้วย ลูกชาย ต้องเสียพ่อที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยเหตุเพราะการแชทส่งข้อความผ่าน สมาร์ทโฟน


พ่อ…หยุดไลน์หาผมซะที!

ล่าสุด ได้เห็นคลิปจาก เจ้าพระยาประกันภัย ที่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมนี้ ว่าเป็นพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วง  และเล็งเห็นความสำคัญในการรณรงค์ให้ทุกคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และตระหนักถึงอันตรายของการแชทขณะขับรถ เพราะอันตรายถึงชีวิต แม้เพียงเราละสายตาพิมพ์ด้วยความประมาทไม่กี่วินาที

ไอเดียของคลิปนี้ คือการนำเรื่องราวชีวิตประจำวันของพ่อลูกคู่หนึ่งที่ไม่ค่อยมีเวลาให้กัน แต่ทั้งสองคนก็ยังคงรักและดูแลใส่ใจกัน ผ่านการแชททางโทรศัพท์มือถือ ดูแลใส่ใจกัน แสดงความรักต่อกันตามประสาครอบครัวยุคใหม่ ที่ดูแล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้  เทคโนโลยีเป็นเรื่องดี ทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น กับเพื่อน กับคนรู้จัก แต่ก็อาจส่งผลเสียหากเราใช้มันด้วยความประมาท  ใช้เป็นประจำจนลืมนึกถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และอาจเป็นสาเหตุให้เราไม่ได้เจอกับคนที่เรารักชอีกเลยก็ได้


chaopraya2

คลิปวีดีโอตัวนี้จึงเป็นหนังอีกเรื่องที่น่าสนใจ และอยากให้เราช่วยกันแชร์มันออกไปสู่คนที่เรารัก พวกเราจะได้รู้ลิมิตและรู้จักใช้เวลาแชทที่เหมาะสมและไม่เป็นอันตราย


สำหรับ การใช้อุปกรณ์เสริมชนิดต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัสโทรศัพท์ เช่น การใช้บลูทูธเชื่อมสัญญาณโทรศัพท์กับเครื่องเสียงในรถ หรือการใช้เสียงสั่งการเพื่อรับสายหรือโทรฯออกจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด อุบัติเหตุจากปัจจัยด้านกายภาพและปัจจัยด้านการมองเห็นลงได้ แต่อย่างไรก็ตามการคุยในขณะขับรถไม่ว่าจะคุยกับผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในรถคัน เดียวกันหรือคุยโทรศัพท์โดยจะใช้อุปกรณ์เสริมจะทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิและ ทำให้ตอบสนองต่อสัญญาณจราจรและเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ได้ช้าลงและมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้นกว่าผู้ที่มีสมาธิจดจ่อ อยู่กับการขับขี่ 


 
จาก การวิจัยพบว่าการสูญเสียสมาธิขณะขับขี่เป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งของการเกิด อุบัติเหตุ โดยการโทรศัพท์ขณะขับรถไม่ว่าจะใช้มือถือโทรศัพท์หรือใช้อุปกรณ์เสริม ก็มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงพอ ๆ กัน คือผู้ใช้อุปกรณ์เสริมมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าการขับขี่ปกติ 4 เท่า และผู้ที่ไม่ใช้อุปกรณ์เสริมมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าการขับขี่ปกติ5 เท่า จะเห็นว่าการใช้อุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องใช้มือถือโทรศัพท์ใน ขณะขับรถ แม้จะลดความเสี่ยงจากปัจจัยทางกายภาพได้ แต่ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการเสียสมาธินั้นยังสูงอยู่มาก 

ทั้งนี้สำหรับข้อแนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อให้การขับรถมีความปลอดภัย คือหากขับรถในระยะทางใกล้ ๆ ใช้เวลาจนถึงที่หมายไม่นานนัก ไม่ควรรับสายหรือโทรฯออก  จนกว่าจะถึงที่หมาย หากขับรถระยะทางไกลและใช้เวลานาน ควรกำหนดจุดหยุดพัก เช่น หยุดพักทุกหนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยโทรศัพท์เมื่อถึงจุดหยุดพัก หากจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ในขณะขับรถ ควรจอดรถข้างทางในที่ที่ปลอดภัยแล้วจึงโทรฯ หากอยู่ในที่ที่รถติดหรือจำเป็นต้องขับรถต่อไป ควรขับชิดซ้ายและชะลอความเร็วลง เตรียมอุปกรณ์เสริมให้พร้อมใช้งาน เมื่อเริ่มสนทนา ควรแจ้งให้คู่สนทนาทราบว่าเรากำลังขับรถอยู่และใช้เวลาในการพูดคุยให้สั้นที่สุด หลีกเลี่ยงเรื่องสนทนาที่ทำให้เศร้า โกรธ หงุดหงิดหรืออารมณ์เสีย และไม่รับหรือส่งเอสเอ็มเอสหรืออีเมลในทุกกรณี เท่านี้ก็เป็นการช่วยลดอุบัติเหตุได้อีกทางหนึ่ง

ที่มา http://www.asnbroker.co.th

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

#กรณีศึกษา ช่วยด้วยค่ะ!! แฟนขับรถไปเฉี่ยวคน ถูกเรียกค่าทำขวัญ300,000บาท #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #pantip

#กรณีศึกษา ช่วยด้วยค่ะ!! แฟนขับรถไปเฉี่ยวคน ถูกเรียกค่าทำขวัญ300,000บาท #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์
#กรณีศึกษา ช่วยด้วยค่ะ!! แฟนขับรถไปเฉี่ยวคน ถูกเรียกค่าทำขวัญ300,000บาท #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #pantip
ป็นกระทู้แชร์ในโซเชี่ยลอย่างมากมาย กับเหตุการณ์ ขับรถเฉี่ยวคน แล้วโดนเรียกค่าทำขวัญ 3 แสน โดย จขกท.
ได้นำเรื่องราวของฝ่ายสามีมาบอกเล่าและปรึกษากับคนในพันทิป ทั้งนี้ความเห็น ก็มีต่างๆนาๆ ด้วยจขกท มีรายละเอียด ที่ไม่ค่อยชัดเจน
และอีกหลายๆอย่าง แต่ทั้งนี้ ก็ได้มีผู้ให้ความเห็น ที่เป็นประโยชน์ต่อ ผู้ที่ต้องการคำปรึกษาจริง จนติดเป็นสุดยอดความเห็นในกระทู้ดังกล่าว 
ASN Broker จึงอยากนำมาบอกเล่า เผื่อกรณีคุณเจอเคสผู้เสียหายเรียกร้องในมูลค่าที่สูงครับ
******************************
ถ้ามีประกันชั้น 1-3 ไม่ต้องไปโรงพัก  ไม่ต้องเซ็นต์รับ  ไม่ต้องให้ปากคำ  ให้ประกันจัดการอย่างเดียว 

ลูกน้องเคยเคสโดนคล้ายคุณขับมาเลนกลาง(ถนน 3 เลน)  มอเตอร์ไซร์ออกมาจากซอยตัดหน้าเข้ามาถึงเลนกลาง
ชนขาหัก  แขนหัก  รถเสียหายเล็กน้อย  บอกว่ารู้จักตำรวจ  เป็นคนขายข้าวแกงหน้า สน

พอไป สน ก็รู้จักตำรวจบน สน  จริงๆ  ตำรวจที่ทำเรื่อง บอกว่า  เป็นคดีอาญาส่งฟ้องศาลและติดคุกได้
ถ้าไม่ให้ส่งฟ้อง  ก็เครีย์กันเลย  ฝ่ายญาติมอเตอร์ไซร์ เรียก 300,000 รู้น้องเลยโทรผม



ผมเลยบอกให้ตำรวจทำเรื่องส่งฟ้องเลย  แต่ในชั้นของตำรวจ  ชั้นสอบสวน  ขอไม่ให้ปากคำใดๆ 
และไม่เซ็นต์รับในเอกสารใดๆทั้งนั้น  รอส่งฟ้องและอัยการเรียกสอบในชั้นศาลอย่างเดียว

เท่านั้นแหละ  ตำรวจก็เลยบอกว่างั้นพวกคุณก็เครียร์กันก็แล้วกัน  ว่ายังไงก็บอกผม  ญาติมอเตอร์ไซร์หน้าเหวอเลย

เพราะอะไร  คือ  คดีอย่างงี้ตำรวจมีส่วนแบ่ง  ก็จะขู่เยอะๆให้กลัวว่าจะเป็นคดีอาญา  จะส่งฟ้อง  จะขึ้นศาล  จะติดคุก
เพื่อให้จ่ายค่าเสียหาย  แล้วตำรวจก็จะได้ส่วนแบ่ง  แล้วก็จะลงบันทึกประจำวันพอเป็นหลักฐานจบๆกันไป


แต่ถ้าบอกให้ตำรวจทำเรื่องส่งฟ้องเลย  แต่ในชั้นของตำรวจ  ชั้นสอบสวน  ขอไม่ให้ปากคำใดๆ 
และไม่เซ็นต์รับในเอกสารใดๆทั้งนั้น  รอส่งฟ้องและอัยการเรียกสอบในชั้นศาลอย่างเดียว

ตำรวจจะกลัว  เพราะตัวตำรวจคนนี้ต้องไปให้ปากคำกับอัยการในชั้นศาลด้วย  ซึ่งตำรวจไม่อยากขึ้นศาลยิ่งกว่าคนธรรมดาอีก
เพราะเจ้านายก็เพ่งเล็ง  เพื่อนร่วมงานก็รังเกียจ  มันดูว่าไปหากินและยิ่งเรื่องไปถึงศาลแล้วด้วย  อาจโดนฟ้องกลับได้อีก


แต่ถ้ากินที่  สน  เรื่อง  ยังไม่ออกภายนอกแบบนี้ตำรวจชอบมากกว่า

ทุกวันนี้คดีลูกน้อง  ไม่ต้องจ่ายเงินอะไร  ให้คู่กรณีเดินเรื่อง  พรบ  เอาเอง 
ตำรวจหลังจากแค่ทำบันทึกประจำวัน  ก็ไม่มายุ่งอะไรแล้ว
*********************
ทั้งนี้การขับรถ เราต้องระมัดระวังคนบนถนน ด้วยเป็นหลักใหญ่ครับ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ ที่จะตามมาเหมือนกระทู้นี้ครับ

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ดูแลสีรถให้ถูกวิธี ต้อนรับหน้าฝน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ดูแลสีรถให้ถูกวิธี ต้อนรับหน้าฝน  #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ดูแลสีรถให้ถูกวิธี ต้อนรับหน้าฝน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
พอพูดถึงเรื่องการขัดสีรถก็อาจจะมีหลายท่านที่ทำหน้าเบื่อ ๆ เพราะกิจกรรมนี้มันค่อนข้างจะต้องใช้ทั้งเวลาและแรงงานกันมากพอดู แต่ทราบกันหรือไม่ว่าการลงทุนเสียเวลาเสียแรงในการขัดสีรถนั้นพอเทียบกับความเงางามและความทนทานของสีรถที่ได้รับถือว่าคุ้มค่ามาก เนื่องจากไม่ได้ต้องขัดกันทุกวันทุกสัปดาห์หรือทุกเดือนเพียงแค่ 3 เดือนต่อครั้งเท่านั้น สีรถก็จะดูดีแวววาวสวยงามและเหมือนรถใหม่เสมอ ASN Broker จะพาท่านมารักษาสีรถให้ถูกวิธี อาบน้ำ

          ที่นี้การจะเลือกใช้น้ำยาขัดเคลือบสีรถของยี่ห้อไหนหรือผลิตภัณฑ์ของใครนั้น สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าของรถจะต้องทำความรู้จักคุณสมบัติเฉพาะตัวของสินค้ายี่ห้อนั้น ๆ เอาไว้ด้วย อย่างน้อยไอ้ตัวหนังสือที่เขาพิมพ์ไว้ข้างกระป๋องนั่นน่ะ ถ้าตั้งใจอ่านก็พอจะได้ความรู้อยู่บ้าง



ควรเล่นให้ครบทุกกระบวนท่า

          การขัดเคลือบสีรถนั้นไม่ใช่ขึ้นต้นมาก็ลงมือขัด ๆๆๆๆ กันเลย เพราะถ้าหากต้องการให้สีรถออกมาดูดีที่สุดก็ควรจะต้องทำให้ครบทุกขั้นตอน เนื่องจากกระบวนการในการขัดสีรถจะต้องเริ่มตั้งแต่การขจัดเศษฝุ่นละอองไปจนถึงการเคลือบป้องกันรังสี UV กันเลย

          กระบวนการหรือกรรมวิธีเคลือบสีนี้จะแบ่งออกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้หลายขั้นซึ่งหากคุณใช้วิธีขับรถไปเข้าคาร์แคร์ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง (ยกเว้นเรื่องจ่ายเงิน คุณต้องทำเอง) แต่ถ้าไปเข้าร้านที่ไม่ค่อยลงทุนสักเท่าไหร่ ขั้นตอนต่าง ๆ ก็จะถูก “หด” ลงไป รวมทั้งคุณภาพของตัวน้ำยาที่ใช้ก็เป็นเกรดธรรมดา หรือต่ำกว่าธรรมดา (เพราะต้องการดึงราคาค่าบริการให้ต่ำลงจนดึงดูดความสนใจ) บางทีแทนที่จะเป็นการรักษาสีรถก็กลายเป็นทำลายสีรถไปเลย จึงอยากแนะนำให้เดินหาซื้อมาด้วยตนเองจะดีที่สุดเพราะเราสามารถเลือกระดับคุณภาพของตัวน้ำยาเหล่านี้ได้
 
          ข้อควรคำนึง คือ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาล้าง ขึ้นผึ้งและครีมขัดในทุกขั้นตอน สาเหตุหนึ่งที่บอกว่าควรใช้ยี่ห้อเดียวกันก็เพราะสารประกอบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อเดียวกันนั้นจะไม่ขัดกันเองเหมือนกับการนำของต่างยี่ห้อมาใช้งานร่วมกันซึ่งบางครั้งสารเคมีที่ใช้อาจจะเป็นคนละตัวกันและมีฤทธิ์หักล้างซึ่งกันและกัน
          มาเริ่มต้นที่กระบวนการขัดเคลือบสีรถกันดีกว่า ขั้นแรกคือการเลือกซื้อน้ำยาให้ครบชุด ซึ่งจะประกอบด้วย น้ำยาล้างรถชนิดที่เป็นแชมพู บางคนอาจจบอกใช้แชมพูสระผมก็ได้ อันนั้นเป็นความคิดที่ผิด อย่าไปเอาอย่างพวกล้างแท็กซี่เลย รถเราราคาตั้งหลายแสนหลายล้านแล้วก็ไม่ใช่รถสาธารณะด้วย ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ ? จะบอกให้ว่า ตัวสูตรผสมของแชมพูทั้งสองชนิดนั้นจะมีพื้นฐานเดียวกันคือ จะมีสารที่ทำให้เกิดฟองเหมือนกันแต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่ตัวทำความสะอาดชนิดที่ไม่ทำอันตรายแก่สีรถแล้วยังต้องช่วยรักษาความเงาของเนื้อสีเอาไว้ให้ได้ด้วย นั้นคือ คุณสมบัติที่รถยนต์ต้องการ ส่วนสำหรับเส้นผมเขาก็ต้องผสมสารต่าง ๆ มาให้เพื่อใช้กับเส้นผมโดยเฉพาะ ซึ่งสารพวกนั้นสีรถไม่ต้องการใช้ไปนาน ๆ เข้าสีรถจะเริ่มด้านขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

          เริ่มต้นขั้นตอนกันตั้งแต่การทำความสะอาดรถเสียก่อน โดยใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นผงต่าง ๆ ออกเป็นอันดับแรกด้วยวิธีปัดไล่ไปทางเดียวตรง ๆ อย่าปัดย้อนไปมาเด็ดขาดเพราะจะเท่ากับพาเอาฝุ่นผงกลับมาที่เดิม แถมเป็นการขัดสี (ให้เป็นรอย) ไปอีกด้วย

          จากนั้นให้ใช้น้ำยาล้างรถผสมกับน้ำเปล่าในอัตราส่วนที่เขากำหนดเอาไว้ ซึ่งปกติก็จะอยู่ประมาณ ฝ ฝาต่อ 1 แกลลอน (คิดแบบไทย ๆ ก็ 1 ฝาต่อน้ำ 1 ถัง) สำหรับรถขนาดเล็ก และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามขนาดของตัวรถที่โตขึ้น การล้างรถที่ให้ผลดีที่สุดจะต้องใช้ฟองน้ำ 2 แผ่น หลังจากฉีดน้ำเปลา เพื่อล้างฝุ่นไปรอบหนึ่งแล้ว ให้เอาฟองน้ำแผ่นแรกล้างส่วนบนของตัวรถตั้งแต่หลังคาไล่ลงมาถึงประมาณส่วนกลางของตัวรถ ล้างให้รอบคันเสร็จแล้วจึงเปลี่ยนฟองน้ำอันใหม่มาจัดการล้างส่วนด้านล่างต่อให้จบ เหตุที่ต้องให้เปลี่ยนฟองน้ำถึง 2 อันก็เพราะว่าอันแรกจะล้างส่วนบนที่ไม่ค่อยจะมีเศษฝุ่นทรายแต่ส่วนล่างจะมีฝุ่นทรายมาก หากใช้แผ่นเดียวแล้วพอนำเอามาล้างครั้งต่อไปเศษฝุ่นทรายที่ตกค้างอยู่ในฟอนน้ำจะออกมาถูกับสีให้เป็นรอยตามมาได้อีก หลังจากล้างด้วยฟองน้ำจนทั่วทุกส่วนแล้วจึงใช้น้ำสะอาดล้างฟองออกให้หมด แล้วใช้ผ้าสะอาด ๆ มาเช็ดน้ำที่ตกค้างออกให้แห้ง (ถ้าได้พวกชามัวร์มาเช็ดก็จะทำงานง่ายขึ้นเพราะผ้าชามัวส์นั้นสามารถจะซับน้ำออกได้เร็วกว่าผ้าธรรมดา)

 

ด่านสองต้องครีม

          การขจัดริ้วรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ลึกมาก อย่างที่เรียกกันว่า “ขนแมว”ออกจะต้องใช้ยาขัดที่มีลักษณะคล้ายกับยาขัดสีของพวกอู่สีเขาแต่ต้องมีเนื้อละเอียดมากกว่าจะได้ไม่เกิดรอยใหม่ขึ้นมาแทนที่ของเดิม ครีมที่ใช้นี้จะเป็นครีมสูตรเดียวกับของวงการเครื่องประดับที่เขาใช้ขัดรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ออก
 เมื่อสำรวจตรวจหารอยจนครบแล้ว หากต้องการจะขัดออกก็ให้ใช้ครีมชนิดนี้พร้อมกับผ้าสำลี (ใช้งานดีที่สุด) มาขัดเบา ๆ ตามแนวของรอยขีดนั้น ๆ ไม่ต้องออกแรงมากมายเหมือนซักรองเท้าผ้าใบ แล้วเราก็จะเห็นว่ารอยขึดข่วนเล็ก ๆ เหลือน้อยลงหรือหายไปเลย ลบรอยกันแล้วก็มาถึงการขัดสีด้วยครีมขั้นตอนแรกกัน ครีมที่ใช้จะเป็นแบบที่ผสมด้วย “น้ำมันคาร์นูบา” เพื่อใช้สำหรับขัดทำความสะอาด ขจัดคราบสกปรก และคราบสนิมรวมทั้งคราบเขม่าจากท่อไอเสีย (รถบางรุ่นจะโดนเขม่าจากท่อไอเสียเป็นปกติจากโรงงานเลย) วิธีการขัดให้ใช้
ฟองน้ำหรือผ้าแตะน้ำยาเล็กน้อยทาในลักษณะวน ๆ ให้เป็นก้นหอยให้ทั้วทั้งคัน ครบทุกส่วนที่เป็นสีก็พอดีกับจุดที่เราเริ่มทายาขัดแห้งใช้การได้พอดีแล้ว

          ขั้นตอนนี้ยากที่สุดเนื่องจากการขัดสีรอบนี้จะต้องออกแรงมากพอสมควรเพื่อปรับสภาพพื้นผิวให้เรียบขึ้นและยังต้องกำจัดเอาเศษคราบสกปรกที่ฝังติดแน่นออกให้หมด (ไอ้เจ้าเศษสิ่งสกปรกที่ติดมานั้น ส่วนใหญ่ก็จะมาจากเศษน้ำมันปนกับเขม่าควันและฝุ่นละอองในทุกแห่งที่รถของเราผ่านไปนั้นเอง ซึ่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงเสียด้วย) และในทันทีที่ออกแรงขัดออกหมดแล้วก็จะเห็นว่าสีของรถคุณเริ่มขึ้นเงาและผิวสีจะลื่นขึ้นจนสังเกตได่

 

ด่านสามอุดและเคลือบ

          หวังว่าคงยังไม่เหนื่อยกันนัก .. มาเริ่มต้นขั้นตอนต่อไปเลยดีกว่า หลังจากที่เราจัดการกับรอยขนแมวและคราบสิ่งสกปรกบนพื้นผิวเสร็จไปอีกหนึ่งขั้นตอนแล้วถึงตรงนี้ถ้าหากปล่อยเอาไว้อย่างนั้นไม่ลงมือขั้นต่อไปก็จะเท่ากับเราได้ขัดสีรถแล้วปล่อยเอาไว้เฉย ๆ เมื่อนำรถออกไปใช้งาน บรรดาสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในบรรยากาศก็จะเข้ามาเกาะติดกับสีรถได้อีก ดังนั้น เพื่อให้การขัดสีครั้งนี้ไม่เสียเปล่าจึงจำเป็จะต้องขัดด้วยครีมหรือขึ้ผิ้งเคลือบสีอีกรอบหนึ่ง

          ในขั้นตอนการเคลือบสีนี้เราสามารถจะเลือกใช้ได้ทั้งแบบครีมและขึ้ผิ้งเนื่องจากทั้งสองชนิดทำจากเรซิ่นที่มีความหนืดสูง และมีความไวต่ออากาศ พร้อมด้วยส่วนประกอบของสารเทฟล่อน สุดท้ายก็จะเป็นสารสำหรับชักเงาทำให้การขัดสีง่ายขึ้น

          เราสามารถแยกคุณสมบัติต่าง ๆ ของสารที่เติมเข้าไปมาได้คร่าว ๆ ดังนี้ เรซิ่นพิเศษที่ผสมอยู่นี้จะยึดติดกับผิวสี ช่วยอุดลบร่องรอยขีดข่วนเล็ก ๆ ทำให้สีรถดูเรียบ เป็นเงา และกลายเป็นผิวเคลือบที่เป็นเงาใส ๆ เพิ่มความเงางามให้กับสีรถได้อีกส่วนหนึ่ง และสารเทฟล่อนจะทำหน้าที่ช่วยให้เกิดความลื่น เคลือบสีให้เกิดความคงทนยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยป้องกันสีรถจากการกัดกร่อนของพวกกรดหรือด่างในน้ำในขี้นกในยางไม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จุดเด่นอีกประการหนึ่ง คือ สามารถป้องกันรังสี UV (Ultra violet) อันเป็นตัวการทำลายสีรถให้ซีดจางได้ด้วย

          กรรมวิธีการขัดให้ทำเช่นเดียวกับที่ลงมือไปเมื่อรอบที่แล้วคือ ใช้ฟองน้ำที่มีมาอยู่ในกล่องแตะครีมหรือขี้ผึ้งเล็กน้อยค่อย ๆ วน ๆ เป็นก้นหอย ทาให้ทั่วทั้งคัน จากนั้นจึงใช้ผ้าสำลีสะอาด ๆ มาเช็ดออกอีกทีหนึ่ง งานรอบนี้จะเบาแรงขึ้นพอสมควรที่เยวเพราะเศษสิ่งสกปรกถูกกำจัดออกไปแล้วครั้งหนึ่ง
ขั้นตอนสุดท้าย

          งานขัดเคลือบสีในขั้นตอนสุดท้ายนี้จะเป็นการเคลือบเงาปิดท้ายอีกชั้นหนึ่งเพราะขึ้นผิ้งตัวสุดท้ายนี้จะมีคุณสมบัติในการป้องกันผิวสีให้มีความคงทน เงางามเป็นประกาย และยังช่วยป้องกันรังสี UV จากแสงแดด ไม่ให้ทำอันตรายต่อสีรถได้อีกระดับหนึ่งที่เหนือไปกว่าขั้นที่แล้ว (เรียกว่าชัวร์กันไปเลย)

          กระบวนการขัดครีมขั้นสุดท้ายนี้ จะเป็นขั้นตอนที่เบาแรงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพราะขึ้ผิ้งตัวนี้เราจะใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ค่อย ๆ ขัดเบา ๆ เป็นก้นหอยให้ทั่ว แล้วเช็ดออกด้วยผ้าสำลีสะอาด ๆ เพียงเท่านี้สีรถที่เคยหม่นหมองก็จะกลับมาเงาวับในทันที

          ขอเดือนเอาไว้สักหน่อยว่า การทำงานทั้งหมดนี้จะต้องปฏิบัติในร่มในเงาของหลังคาเท่านั้น หากไปเล่นขัดสีกันกลางแสงแดดจะทำให้ยาขัดแห้งไม่เท่ากัน และเห็นผล (ร้าย) ได้ตอนที่เมื่อเช็ดออกแล้วสีจะเงาไม่เสมอกัน นอกจานั้นยังทำให้ระยะเวลาที่น้ำยาจะทำปฏิกิริยากับผิวสีมีน้อยลงซึ่งเป็นเรื่องสำคัญพอสมควร เราสามารถทำเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ แต่การขัดและเคลือบสีนั้น ไม่จำเป็นจะต้องทำทุกครั้งที่ล้างก็ได้เพราะเมื่อขัดและเคลือบครั้งหนึ่งแล้วจะมีอายุยืนยาวไปได้ถึงประมาณ 6 เดือน...........

ที่มา https://www.asnbroker.co.th