วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

ซื้อรถมือสองมาแล้ว ทำอย่างไรต่อไป #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ซื้อรถมือสองมาแล้ว ทำอย่างไรต่อไป #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ซื้อรถมือสองมาแล้ว ทำอย่างไรต่อไป #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

สวัสดีครับ ASN Broker กลับมาคราวนี้หลังจากแนะนำวีธีขายไปแล้ว วันนี้เรามาแนะนำสำหรับผู้ซื้อรถมือสอง ต้องทำอย่างไรต่อไป เมื่อคุณเก็บหอมรอมริบได้เงินครบจะไปดาวน์รึซื้อสดรถคันโปรดมาแล้ว  บางทีอาจเป็นรถคันแรกของบ้านคุณ  แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป  บทความนี้จะบอกให้ทราบว่ามือใหม่(แต่)รถไม่ใหม่นั้น ควรจะทำอย่างไรบ้างเมื่อคุณขับคันนี้กลับมาที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

1.ทำความรู้จัก
 อย่าตกใจว่าทำความรู้จักกับใคร ไม่ใช่ช่างซ่อมหรือคนขายคนสวยแน่นอน  แต่ที่ต้องรู้จักก็คือรถของคุณนั่นเอง  สิ่งที่คุณต้องรู้จักดังต่อไปนี้
- รุ่นของรถ/ปี  บ่อยครั้งที่เราไปซื้ออะไหล่รถเองแล้วถ้าเราไม่รู้ชื่อรุ่นที่แม่นยำเกิดปัญหาแน่นอนอย่างเช่น เพราะรถชื่อรุ่นเดียวกันแต่อาจใช้เครื่องยนต์ต่างกันก็มีไม่น้อย  เรื่องอย่างนี้ถือเป็นเรื่องหญ้าปากคอกที่ทำให้เจ้าของรถที่เรียกตัวเองว่าเซียนเหงื่อแตกมาหลายคนแล้ว  เวลาไปซื้ออะไหล่รถที่ตัวเองขับอยู่ทุกวัน
- เครื่องยนต์  คุณควรรู้ขนาดซีซีของเครื่องยนต์และจำนวนวาวล์  ชื่อบล็อกของเครื่องยนต์ของรถคุณ  เช่นใช้มิตซู-แลนเซอร์  บล็อก 4G63 ตัวเลขเพียงไม่กี่ตัวกลับบอกความแตกต่างของรุ่นได้มากมาย  ถ้าไม่รู้เปิดฝากระโปรงรถดูส่วนใหญ่จะมีเขียนรายละเอียดเอาไว้  บางคนเถียงว่าดุจากคู่มือรถก็รู้  แต่ก็ทราบกันดีว่าคู่มือการใช้รถนั้นน้อยนักที่จะตกมาถึงมือของเจ้าของรถมือสองมือสามอย่างเราๆ
- จุดวัดระดับน้ำมัน-น้ำยาต่างๆ คุณต้องรู้ว่าอันไหนเป็นจุดวัดระดับน้ำมันเครื่อง  น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์  น้ำมันเบรก น้ำยาแอร์  หม้อน้ำรถ  หม้อพักน้ำ  น้ำฉีดกระจก  น้ำกลั่นแบตเตอรี่  ฯลฯ  อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าจะวัดระดับตรงไหนอย่างไร   มีรุ่นน้องที่ทำงานชอบถกเถียงเรื่องรถกับผมบ่อยๆ  เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ซื้อรถมือสองมาใหม่คุยเรื่องระบบต่างๆของรถราวกับท่องมาซะยืดยาว  แต่เปิดฝากระโปรงรถให้ผมดู  ก่อนจะถามว่าที่ดูระดับน้ำมันเครื่องมันอันไหนกันแน่อันนี้อาการหนักจริงๆ  ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ 
-  ดูระดับน้ำมันเครื่องตรงไหน Max – Min
-  เติมน้ำหม้อน้ำตรงไหน  ควรเติมในหม้อพักและไม่ให้มากไปนักที่สำคัญควรเปิดน้ำที่หม้อน้ำดูด้วยว่าเต็มรึเปล่าที่สำคัญต้องไม่ทำตอนเครื่องร้อนอันตราย
-  ดูระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่  ต้องเปิดดูทุกช่องเติมไม่ต้องล้นเพียงแต่เติมให้พอดีกับพลาสติคที่เป็นลิ้นลงไปในช่องก็เพียงพอแล้ว  ห้ามอย่าเติมจนล้น
- ดูระดับน้ำฉีดกระจกด้วย  ถ้าแห้งจะทำให้ปั้มฉีดน้ำเสียหายได้  อันนี้บอกให้ลูกๆมาช่วยเติมได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
- ดูระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์เป็น  บางรุ่นไม่ต้องเปิดฝาก็รู้สามารถดูได้จากข้างกระปุกมีขีดบอกระดับ  มีคำเตือนเล็กน้อยอยู่บริเวณฝาอ่านบ้างก็ดี
- ดูระดับน้ำมันเบรก  บางครั้งไม่ต้องถึงกับเปิดฝามาดูเพราะมีขีดบอกสามารถมองเห็นจากภายนอกเช่นกัน
- ดูระดับน้ำยาแอร์  ดูจากกระปุกพักน้ำยาแอร์สังเกตกระปุกที่มีท่ออะลูมีเนียมรึทองแดงต่อเข้านั้นแหละมีเลนซ์  สังเกตถ้าน้ำยาแอร์เต็มเราจะไม่เห็นว่ามีอะไรในเลนซ์นั้นเลยแต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นในเลนซ์นั้นมีน้ำวิ่งๆเมื่อไหร่ อย่าคิดว่าน้ำยาแอร์เต็มนะครับนั้นคือน้ำยาแอร์หมดแล้วละครับ  ไปร้านแอร์ให้ตรวจเช็คเลย

2.เปลี่ยนซะให้เรียบ

 - น้ำมันเครื่องและใส้กรองน้ำมันเครื่อง  บ่อยครั้งรถจากเต็นท์นั้นเค้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้  บางครั้งพึ่งเปลี่ยนมาถือว่าเป็นโชคดีไป  แต่ถ้าให้ดีถ้าเราดึงสายวัดออกมาแล้วน้ำมันเครื่องเหนียวๆ ไม่หยดติ๋งๆ เปลี่ยนไปเถอะครับเพื่อความสบายใจ ถ้าเปลี่ยนแล้วขับรถกลับบ้านมาดึงเข็มวัดออกมาเห็นน้ำมันเครื่องทำไมขุ่นซะแล้วให้คุณดีใจไว้เลยว่าน้ำมันเครื่องนั้นดีเพราะสามารถดึงเขม่าที่จับกับชิ้นส่วนในเครื่องออกมาได้เป็นอย่างดี รวมถึงเปลี่ยนใส้กรองน้ำมันเครื่องด้วยไม่แนะนำไปใช้ใส้กรองจากปั้มเพราะสมัยนี้ใส้กรองของเทียมมีเยอะอายุการใช้งานสั้นกว่า (ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้) ใครรักรถมาแนะให้ใช้ของแท้แต่ผมชอบใช้ของเทียบเพราะมีคุณภาพพอๆกันและอาจดีกว่าด้วยซ้ำไป  ว่างๆผ่านไปแถววรจักรก็ไปซื้อซะ  ถือว่าเป็นการหัดทำความรู้จักกับร้านอะไหล่ไว้  ดูด้วยว่าต้องแถมแหวนยางโอริงมาด้วยแต่อย่าไปคิดว่าเอามาใช้กับกรองน้ำมันเครื่องล่ะ โอริงนี้ไว้ใช้กับน็อตที่เป็นก๊อกปิด-เปิดอ่างน้ำมันเครื่องของเราต่างหาก  เวลาให้ช่างใส่ดูกับเค้าด้วย ก่อนใส่แนะว่าให้เอาน้ำมันเครื่องเรานี่แหละทาขอบยางของกระปุกกรองด้วยกันยางเบี้ยวออกมาเวลาขันเข้า
- ใส้กรองอากาศ  ส่วนใส้กรองอากาศก็เป่าซะ  แนะให้เป่าเองตามปั้มเจ็ทที่มีที่เป่าอากาศตรงที่เราเติมลม  มีหลายคนขับรถมาจนแก่เป่าอากาศยังไม่เป็น  การเป่ากรองอากาศต้องเป่าจากในออกนอก  ห้ามเป่าจากข้างนอกเข้าในเด็ดขาด  ถึงแม้เป่าแล้วฝุ่นกระจายดีแต่นั้นคือการทำให้กรองอากาศของเราตันไปเลย  แต่ถ้าเก่าแล้วเปลี่ยนไปเลยซักอันได้เลยไม่ได้แพงอะไรนัก สำหรับมือใหม่ระวังจะถอดไม่เป็นให้สังเกตสลักยึดให้ดี  ดึงออกให้ครบไม่ต้องออกแรงมากนักพอประมาณเดี๋ยวพวกสายอากาศจะหลุดแล้วใส่กลับไม่ถูก
- ใส้กรองเบนซิน  สุดท้ายใส้กรองเบนซินอันนี้แนะนำให้เปลี่ยนเลยไม่กี่ตังค์  จะได้ไม่ต้องมาโอดครวญภายหลังว่ารถเร่งไม่ขึ้น  กระตุกเป็นช่วงๆ แต่อันนี้แนะนำไปให้ช่างเปลี่ยนให้  อย่าลืมถามความรู้เล็กๆน้อยๆจากช่างด้วยตามที่ผมว่ามาหากยังสงสัย  เห็นมั้ยว่านอกจากจะได้เปลี่ยนกรองเบนซินแล้วยังได้ความรู้อีกต่างหาก

 


3.ตรวจอะไรที่มันยุ่งๆที่ห้องเครื่องอีกที


 ลองตรวจดูที่สายพานไดฯ สายพานแอร์  สายหัวเทียน  หัวเทียน  ให้ช่างคนที่เปลี่ยนกรองเบนซินเราเมื่อสักครู่นั้นแหละดูให้  คิดดูว่าเปลี่ยนกรองเบนซินอันเดียวได้ประโยชน์มากมาย  หากสายพานอันไหนเก่าหมดสภาพแล้วเปลี่ยนซะมีราคาไม่ถึงร้อยถึงร้อยกว่าบาท  แต่แพงกว่านั้นไปร้านอื่นเหอะ  สายหัวเทียนเก่ารึเปล่า  หากเก่ามากๆขาดแล้วพันๆเทปมาละก็เปลี่ยนไปเลย  ให้เค้าเช็คหัวเทียนด้วยเพียงแต่เอามาล้างปรับเขี้ยวก็พอใช้ได้อีกนาน  หัวเทียนไม่ใช่ของเสียง่าย หมดอายุง่ายอายุการใช้งานราว 20,000 กม. ( 2000 กม.) หากเจอช่างที่ดี  แต่ถ้าเยินจริงๆเปลี่ยนก็ได้เพราะราคาถูกมากๆ  ตัวเราเองก่อนกลับบ้านแวะไปตามห้างซื้อน้ำอเนกประสงค์มาติดรถไว้ก็ดีไว้ฉีดพวกขั้วแบตฯ ขั้วหัวเทียน  จานจ่าย(ถ้าไม่รู้จักว่าอันไหนไปถามช่างคนเดิมอีกนั่นแหละ) เวลาเก็บอย่าเอาไปไว้ที่ร้อน เกิดตูมตามขึ้นมาไม่รู้ด้วย

4.คราวนี้มาดูที่ช่วงล่างกันบ้าง

- ถ่วงล้อ  อันนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้ามเพราะเมื่อเราใช้ความเร็วสูงขึ้นหน่อยรถกลับสั่นๆ อาจนึกไปถึงช่วงล่างอื่นๆ แต่ความจริงปัญหามันแค่เพียงถ่วงล้อเท่านั้นเอง  ผมแนะให้ไปถ่วงล้อที่เรียกว่า “ถ่วงจี้”  เพราะเท่าที่ทำมาได้ผลดีพอสมควร  ดีกว่าการถอดล้อไปถ่วงข้างนอก  สังเกตด้วยว่าบางครั้งน็อตล้อเราอาจเป็นคนละแบบทำให้การถอดล้อไปถ่วงไม่แม่นยำแต่ถ้าให้ดีก็เปลี่ยนน็อตให้มันเหมือนกันให้หมดเลยจะดีกว่า  ก่อนถ่วงบอกให้ช่างแกะหินที่ติดล้อออกให้ด้วยนี่ก็เป็นผลให้การถ่วงล้อไม่แม่นยำ  แนะให้ไปถ่วงหลังไปล้างรถจากปั้มใหม่ เพราะโคลนที่ติดล้อก็เป็นอีกปัจจัยนึงเช่นกัน  เคยแนะให้รุ่นน้องที่มีปัญหาที่ว่าไปถ่วงจี้มาหลายคนส่วนใหญ่จะบอกว่ายังกับได้รถใหม่มาแน่ะ
- ยางรถ  ดูว่าดอกยางยังเต็มๆดีหรือไม่  ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเปลี่ยนถามจากร้านยางดูก็ดีถ้าร้านที่ดีบ่อยครั้งเค้าจะบอกว่าใช้ได้อีกนานแต่ถ้าเค้าบอกว่าเปลี่ยนเถอะให้สังเกตว่าดอกยางเรายังเต็ม ยางยังไม่เสียรูป แก้มยางยังสวย  เนื้อยางยังสดอยู่หรือไม่  ไม่แนะนำให้ไปทำตามปั้มแต่ก็ตามใจหากใครอยากลองดู  การเติมลม  ควรเติมซัก 27-28 หากอยากได้ความนิ่มนวลและ 30 หากต้องการประหยัดน้ำมันได้อีกนิดหน่อยในการวิ่งแบบรถไม่ติด อย่าลืมเติมลมยางอะไหล่ด้วยแนะให้เติมเกินปกติไว้ 2 ปอนด์ (ประมาณ 32 ปอนด์) เพราะไม่ได้เติมบ่อยๆ  แนะอีกนั้นแหละให้ไปเติมที่ปั้มเจ็ทเพราะเครื่องวัดแบบดิจิตัลค่อนข้างแม่นยำกว่าร้านยางซะอีกและอย่าลืมอุดหนุนเค้าบ้างก็ดี
- เช็คช่วงล่าง  ไปอู่ที่รับทำช่วงล่างให้เค้ายกรถตรวจพวก  ยางหุ้มแร็คช่วงล่างอื่นๆ  เพราะบางครั้งเปื่อยๆแล้วเปลี่ยนไปเลยราคาไม่ถึง 300-400 บาท  ถ้าขาดขึ้นมาแต่เราไม่รู้จะลำบาก  ทั้งทรายทั้งโคลนหลุดเข้าไปละก็เสียมากกว่านี้อีกมาก ให้ช่างตรวจลูกหมาก-คันชัก-คันส่ง-ปีกนก โยกๆแล้วหลวมๆหรือไม่แต่พวกนี้ถ้าไม่หลวมมากเอาไว้ตอนได้โบนัสออกหรือกู้สหกรณ์ได้ก่อนค่อยมาเปลี่ยนก็ได้  หากยังพอใช้ได้


5.มาดูภายในรถกันบ้าง 

- หากรถมีกลิ่น  แนะนำว่าให้เราจอดรถตากแดดหมุนกระจกลงมาเล็กน้อยทำซ้ำๆหลายวันช่วยได้บ้าง  หาน้ำหอมมาใส่รถบ้างบางทีไม่เหม็นโดนเหงื่อเราไปซักพักจนกลิ่นติดเบาะ สงสารคนมานั่งรถเราบ้าง  แนะนำอย่าสูบบุหรี่ในรถเพราะเขม่าจากบุหรี่กับกำมะหยี่ทั้งหลายในรถเรารักกันมากทั้งสีทั้งกลิ่น
- ยางรองพื้น  บางทีเต็นท์ให้มาเฉพาะยางแผ่นเล็กทำให้ทรายกระจายฝังในพรม  แนะให้ใช้ยางที่เป็นรูปแอ่งๆ ไม่สวยนักแต่สะอาดอย่าบอกใครไม่มีทรายกระเด็นออกด้วยหรือถ้ากำลังทรัพย์มีก็เอาแบบที่มีขายตามห้างที่มีเฉพาะรุ่นก็ได้
- น้ำยาต่างๆ  หาซื้อน้ำยาต่างๆเช่นแชมพูล้างรถ  ยาขัดเบาะ  ยาขัดสีรถ  หัดทำเองบ้างจะได้รู้จุดอ่อนของตัวถัง-สีรถเราเอง
- เสียงดังหน้าคอนโซล  อันนี้สืบเนื่องาจากรถใช้มาหลายปีเกิดจากการเคยถูกถอดคอนโซลเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง  แต่การหาจุดนี่ยากที่สุดพวกนี้ต้องค่อยๆหาแล้วหาซื้อตัวยึดพลาสติคตามวรจักรมาใส่แทนได้หากของเก่าแตกหรือหลวมรึไม่มีเลย


6.สังเกตกันบ้าง

- ซื้อรถมาวันแรกผมแนะนำให้ล้างเลยไปให้โดนน้ำฉีดแรงๆ ตามคาร์แคร์ ถึงแม้เต็นท์จะขัดสีรถมาสวยงามสักปานใด  เพราะรถหลายคันพึ่งไปสาดสีมาทั้งคัน  การประกอบขอบยางกันน้ำซีลซิลิโคนประตูและกระจกหน้า-หลังต่างๆ  อาจทำมาไม่ดีพอเพราะทำเองในอู่สีไม่ได้ทำที่ร้านกระจกที่ชำนาญกว่าบ่อยครั้งที่น้ำไหลเข้ารถเป็นถังๆ เวลาฝนตกจะได้รีบซ่อมเองหรือให้เต็นท์ทำให้หากตกลงกันไว้แล้ว
- แอร์  หากได้ยินเสียงแต็กๆ ดังติดๆกันขณะเปิดแอร์ทำให้รอบเครื่องเราขึ้นๆลงๆ ให้ช่างเช็คดูช่างที่เก่งๆ จะยังไม่วิ่งไปดูที่คอมแอร์  แต่จะตรวจที่ตัวปรับระดับความเย็นที่ภาษาช่างแอร์เรียกรางเลื่อน (Slice volume) เพราะรถเก่าแล้วพวกนี้จะสึกรึหมดอายุเปลี่ยนซะราคา 300-400 บางทีไม่ถึงกับต้องไปยุ่งกับคลัชแอร์หรอกครับ  ร้านทำแอร์ผมชอบร้านที่แท็กซี่เค้าชอบไปทำกันเพราะราคาไม่แพงคุยกันได้ แต่ไม่ใช่ร้านที่แท็กซี่ไม่เข้าไม่ดีนะครับ  อย่างผมใช้ทั้งสองร้านเพราะที่เจอความชำนาญร้านอาแปะของผมเนี่ยเก่งเข้าขั้นเลยทีเดียวแต่ราคาเอาเรื่องเหมือนกันเวลาเข้าซ่อมถามไว้เลยว่าเท่าไหร่  ต่อไปเถอะลดได้นิดหน่อยดีกว่าไม่ลดเลย  ซ่อมบ่อยๆ ชำนาญขึ้นเดี๋ยวก็รู้ราคาไปเอง
- ตรวจดูหลอดไฟรถ ไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟหรี่  ไฟท้าย-ไฟเบรก ไฟกระพริบซ้ายขวา ไฟถอย  ไฟทะเบียน ติดครบหรือไม่จัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์หากมีอะไรนอกเหนือจากนี้ต้องเช็คต้องเปลี่ยนคงต้องอาศัยการเอาใจใส่  และความช่างสังเกตจากตัวคุณเอง  ย้ำต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่แค่เพียงช่วงแรกๆเท่านั้น  หมั่นหาความรู้เสมอๆควรให้คนในครอบครัวมีส่วนร่วมด้วย  สร้างความสัมพันธ์กันโดยมีรถเป็นสื่อนี่ก็ถือว่ารถไม่ใช่แค่เพียงเป็นพาหนะอย่างเดียวใช่มั้ยละครับ

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

การขายรถเองด้วยวิธีที่ถูกต้อง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

การขายรถเองด้วยวิธีที่ถูกต้อง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
การขายรถเองด้วยวิธีที่ถูกต้อง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

        สวัสดีครับวันนี้ ASNBroker นำเคสและวิธีตัวอย่างในการขายรถเองให้ได้ชัวร์ๆและไม่ขาดทุนมาฝากกันครับ เมื่อผมตั้งใจจะขายรถคันเดิม  ผมได้บอกขายกับคนแถวบ้าน  ( ทั้งชายและหญิง )  และเพื่อน ๆ หลายคน  แต่ความผิดพลาดที่ไม่น่าปล่อยให้เกิดขึ้นคือ  ในที่สุดผมกลับเลือกขายรถให้เต็นท์รถแทนที่จะขายให้กับผู้ซื้อโดยตรง  และเนื่องจากทางเต็นท์ต้องขายรถต่อให้คนอื่นอีก  ดังนั้นผมจึงถูกกดราคาต่ำมากจึงเป็นเรื่องที่ผมต้องเน้นกับคุณว่า  ถ้าคุณไม่ต้องการขาดทุนจากการขายรถ  ควรตัดคนกลางออกและใส่เงินจำนวนมากเข้ากระเป๋าตัวเอง  ตามคู่มือในบทนี้

เงินที่มากขึ้นจากการขายรถด้วยตัวเอง
ถ้ารถของคุณมีราคาขายอยู่ที่  225,000 บาท  โอกาสที่คุณจะช่วยให้พ่อค้าคนกลางได้คือ  170,000  บาท  แต่ถ้าคุณใช้ความอดทนและความพยายามมากขึ้น  คุณจะสามารรถขายรถได้ในราคา  225,000  บาท  หรือมากกว่านั้น  หากขายให้ผู้ซื้อโดยตรง

การขายรถตัวเองเริ่มจาก
 ความประทับใจแรก ! ก่อนลงโฆษณา  คุณควรดูแลรถให้อย่ในสภาพดีสูงสุด  ทำความสะอาดและขัดเงาให้ดีจัดซื้อส่วนที่ขาดหายหรือแตกหักมาเปลี่ยน  วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถโชว์รถในสภาพดีที่สุด  ถ้าคุณไม่รู้ว่าควรแก้ไขอย่างไร ?  ควรสอบถามผู้รู้หรือขอคำแนะนำจากร้านค้าที่ไว้ใจได้เพื่อซ่อมหรือเปลี่ยนส่วนต่าง ๆ ที่ชำรุด  ก่อนที่จะมีคนมาขอดูรถ

การดูแลส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์
1.หากพบว่ามีน้ำมันหล่อลื่นรั่วให้ซ่อมแซมเสีย
2.นำรถไปยังอู่เครื่องยนต์

ทำความสะอาดภายนอก
1.แก้ไขรอยบุบและรอยแตก
2.ตั้งศูนย์ล้อให้ได้ระดับ
3.ทำความสะอาดภายใน
4.ตรวจดูกระโปร่งหลัง
5.การตกแต่งยางจะทำให้รถเกิดความแตกต่างอย่างมาก
6.การแก้ไขเพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อยขึ้นทั้งหมดนี้จะใช้เวลาเพียงแค่  2-3  ชั่วโมง

ตกแต่งรอยขูดขีด
1.ทำความสะอาดก่อนแว็กซ์
2.ร้านขายอุปกรณ์เครื่องยนต์จะสามารถทาสีใหม่
3.ใช้การตกแต่งสีที่ประหยัดที่สุด
4.หารอยขูดขีด  รอยบุบสลายทั้งหมดเพื่อแก้ไข

แว็กซ์ภายนอก
1.พยายามแว็กซ์ให้ดีที่สุด
2.ขัดจนเป็นเงา

ทำความสะอาดภายใน
1.ใช้เครื่องดูดฝุ่นใต้ที่นั่ง
2.ล้างพรม  ทำความสะอาดบริเวณพื้น
3.ใช้แปรงสีฟันขจัดสิ่งสกปรกจากรอยกระเทาะและรอยแตกบนแผงปัด  ประตู
4.ทำความสะอาดที่เขี่ยบุหรี่  และช่องเก็บของ
5.ใช้ผ้าชาร์มัวร์และยาขัดเงาขัดภายใน
6.ทำความสะอาดกระจกด้วยหนังสือพิมพ์  ระวังอย่าให้เป็นรอย
7.ถูเพดาน
8.ทำความสะอาดตัวถัง
9.หาข้อตำหนิ  รอยฉีกขาด  รอยขูด  หรือแตก  และแก้ไขให้เรียบร้อย

แก้ไขส่วนที่ต้องใช้งาน
1.เครื่องปรับอากาศ
2.สายอากาศ
3.ไฟเบรก
4.นาฬิกา
5.ไฟแผงหน้าปัด/เกจ
6.ประตู/ที่จับประตู
7.ไฟฉุกเฉิน
8.ไฟหน้า
9.แตร
10.ไฟ  (  รวมทั้งช่องเก็บของและป้ายทะเบียน )
11.ล็อก
11.กระจก
12.วิทยุ
13.ยางสำรอง
14.พวงมาลัย
15.ไฟท้าย
16.สัญญาณเลี้ยว
17.ที่ปัดกระจก
18.ของไหลทำความสะอาดกระจก

ตรวจสอบส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์
1.แก้ไขส่วนที่สึกหรอ
2.เช็กท่อน้ำ
3.เช็กสายพาน
4.เช็กของไหลในอ่างเก็บของไหล
5.เปลี่ยนไส้กรองอากาศ

ตรวจและเปลี่ยนของไหล
1.ตรวจน้ำมันหล่อลื่นและไส้กรอง
2.ตรวจของไหลเกียร์อัตโนมัติ
3.เปลี่ยนคูแล็นท์

อย่าลืม
1.แก้ไขหากมีเสียงผิดปกติเกิดขึ้น
2.เติมน้ำมันหล่อลื่น  ประตู  ฝากระโปรงรถ  และบานพับตัวถัง

คุณมีเอกสารเรียบร้อยหรือไม่ ?
1.คู่มือรถ
2.บันทึกการบริการ
3.เอกสารประกัน

การซ่อม
ถ้าคุณไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมใหญ่  ควรตอบคำถามผู้ซื้อตามตรงในส่วนที่สึกหรอ  เพราะส่วนใหญ่ผู้ซื้อมักมีช่างเครื่องมาตรวจสอบด้วย

การโฆษณา
ขั้นแรก   ราคาที่ถูก
1.ราคาที่คุณต้องการควรเป็นราคาที่ยังไม่ได้บวกดอกเบี้ยจากการกู้ยืม
2.ควรเผื่อราคา  10-15  เปอเซ็นต์สำหรับการต่อรองได้
3.ผู้ซื้อรถใช้แล้วมักคาดหวังว่า  จะสามารถเจรจาต่อรองได้
4.ผู้ซื้อรถใช้แล้วจำนวนมากคุ้นเคยกับราคาตามหนังสือรถ

แหล่งโฆษณา
1.หนังสือพิมพ์
2.หนังสือรถ
3.นิตยสารซื้อขาย
4.เขียนป้ายชื่อ  และเบอร์โทรศัพท์ติดไว้ที่รถ
 

สิ่งที่คุณควรบอกในโฆษณา
1.แบบ /  รุ่น
2.ปี
3.กิโลเมตรทที่ใช้  (  ถ้าไม่มากนัก )
4.ลักษณะสำคัญ – ความแข็งแรง  สี  และรายละเอียด  ที่น่าสนใจ
5.ราคา  (  บวกเพิ่ม  10-15  เปอร์เซ็นท์ของราคาที่คุณต้องการ )
6.เบอร์โทรศัพท์  และเวลาที่สามารถติดต่อคุณได้

แนวทาง
1.ดูหนังสือเพื่อเป็นตัวอย่าง
2.ศึกษาหาข้อแตกต่างของรถ  เพื่อดึงดูดความสนใจคนซื้อ
3.คนที่น่าสนใจย่อมติดต่อหาคุณตามเบอร์โทรศัพท์ที่ลงไว้ในโฆษณาเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
4.ตอบทั้งหมดด้วยความซื่อสัตย์
5.แนะนำผู้ซื้อถึงทางที่จะมายังบ้านคุณ  หรือสถานที่นัดโดยละเอียด  และนัดเวลาที่แน่นอน

โชว์รถของคุณ
1.อย่าร้อนใจถ้าไม่มีคนมาขอดูรถคุณทันที  ให้อดทนรอ
2.หาสถานที่นัด  ซึ่งคุณจะพบผู้ซื้อได้สะดวก
3.พาเพื่อนไปด้วย
4.คุณทั้งคู่ย่อมจำเป็นต้องขับรถทดสอบก่อนแน่นอน
5.บอกถึงลักษณะพิเศษ
6.สร้างความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับรถของคุณ  เช่น  “ เป็นรถที่ดีคันหนึ่งเลยนะค่ะ  สะดวกสบาย  ฉันรักและวางใจมันมาก “
7.พวกเขาย่อมมีช่างเครื่องมาตรวจเช็กด้วย

การเจรจาต่อรองอย่างง่าย ๆ

หลังจากได้ทดลองขับแล้ว  ถ้าผู้ซื้อสนใจพวกเขาจะเริ่มยอมรับ  หรือต่อรองราคาที่คุณสามารถลดให้ได้   ถ้าผู้ซื้อชอบ  คุณสามารถลดราคาลงได้เล็กน้อย โดยไม่ต้องเป็นราคาขาดตัวที่คุณกำหนดไว้    ถ้าผู้ซื้อถามคุณถึงราคาต่ำที่สุดที่คุณสามารถลดได้บอกราคากลับไป  ถ้าได้ราคาที่พอใจก็ไม่มีเหตุผลที่คุณต้องขับรถกลับบ้านเสียเที่ยว

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

ป้องกันตัวเอง
1.ถ้าพวกเขาไม่มีเงินสดจ่าย  ให้ขอเงินมัดจำ  10-30  เปอร์เซ็นต์  โดยคุณต้องการมีสัญญาหรือใบเสร็จให้เขาซึ่งเมื่อถึงเวลาชำระเงินหากเขาผิดนัดคุณสามารถยึดเงินก้อนนั้นได้
2.ระวังอย่าให้เกิดอุบัติเหตุจนกระทั่งส่งมอบรถ
3.เขียนใบรับเงิน  ลงชื่อทั้งคุณและผู้ซื้อ
4.อย่าให้ใบเสร็จแก่ผู้ซื้อจนกระทั่งได้เงินครบ

ใบเสร็จ /  ใบสัญญาประกอบด้วย
1.ชื่อ  ที่อยู่ของผู้ขายและผู้ซื้อ
2.ประวัติรถ  แบบ  รุ่น  ปี  และอื่น ๆ
3.ทะเบียนรถ
4.ราคาซื้อขาย
5.วันที่
6.สภาพในขณะที่ขาย
7.ลายเซ็นทั้งคู่
8.ก๊อบปี้ให้ผู้ซื้อ  และคุณเก็บต้นฉบับไว้

ทั้งหมดนี้คงเป็นแนวทางเพียงพอที่จะทำให้คุณเป็นคนที่ฉลาดกับรถได้ไม่ยาก  และหวังใจอย่างยิ่งว่านอกจากคุณจะเป็นคนหนึ่งที่ฉลาดกับรถแล้ว  คุณยังเป็นคนที่ฉลาดกับการรักษามลภาวะรอบตัวคุณด้วยขอบคุณครับ

ที่มา : http://www.asnbroker.co.th

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

การดูแล Intercooler #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

การดูแล Intercooler #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
การดูแล Intercooler #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

อินเตอร์คูลเลอร์ คือ อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger) ASN Broker จะพาท่านมาทำความรู้จักและดูแลกันครับ อินเตอร์คูลทำหน้าที่ลดความร้อนของไอดีที่ส่งมาจากระบบอัดอากาศ เช่น เทอร์โบชาร์จหรือซูเปอร์ชาร์จ ก่อนผ่านเข้าสู่ท่อร่วมไอดี และเครื่องยนต์ ไอดีหรืออากาศที่มีความร้อนสูง จะมีความเบาบาง และออกซิเจนน้อย ทำให้การสันดาปไม่รุนแรงเท่าที่ควร ไม่ได้กำลังสูงอย่างที่ควรเป็น เพราะการใช้ระบบอัดอากาศแสดงว่าต้องการเพิ่มแรงบิดและ/หรือแรงม้าของเครื่องยนต์ให้มากกว่าเครื่องยนต์ธรรมดาอยู่แล้ว
นอกจากไอดีจะเบาบางเมื่อร้อนแล้ว ยังเสี่ยงต่อการชิงจุดระเบิดอีกด้วย ดังนั้นการทำให้ไอดีลดความร้อนลง จึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศ เพราะจะได้กำลังเต็มเม็ดเต็มหน่วย และลดความเสี่ยงต่อการชิงจุดระเบิด นอกจากข้อเสียที่ไม่ตรงตัวนัก คือ เงินที่เสียไป และอาการอรอบที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (เพราะต้องอัดอากาศในปริมาตรที่เพิ่มขึ้น) แต่โดยรวมแล้ว การติดตั้งอินเตอร์คูลเลอร์ล้วนมีแต่ผลดี โดยอินเตอร์คูลเลอร์มี 2 แบบหลัก คือ

Air to Air
ระบายความร้อนด้วยอากาศล้วน ๆ อุปกรณ์มีรูปร่างคล้ายหม้อน้ำ มีช่องทางเดินอากาศ หรือหลอดถี่ ๆ อยู่ภายใน และไม่มีน้ำหมุนเวียน แต่เป็นไอดีที่ถูกอัดจากระบบอัดอากาศ เมื่อไหลผ่าน ความร้อนของไอดีจะถ่ายทอดสู่ตัวอินเตอร์คูลเลอร์ ซึ่งมีครีบละเอียดอยู่ภายนอกคอยให้อากาศไหลผ่าน เพื่อดึงความร้อนออกไป ได้รับความนิยม และมีใช้กันแพร่หลายกว่าแบบที่ 2

Water to Air
ระบายความร้อนด้วยน้ำและอากาศ ไอดีจะไหลผ่านอินเตอร์คูลเลอร์ที่มีหลายช่องเล็ก ๆ โดยรอบ ๆ ช่องนั้น ถูกล้อมรอบและไหลเวียนด้วยน้ำ น้ำก็จะต่อท่อไปยังหม้อน้ำขนาดเล็ก (แยกจากเครื่องยนต์) และคลายความร้อนของน้ำโดยใช้อากาศผ่านครีบภายนอกของหม้อน้ำ แล้วน้ำที่ลดความร้อนลง ก็หมุนเวียนสู่อินเตอร์คูลเลอร์ต่อเนื่องไป ไม่ค่อยนิยมใช้เพราะยุ่งยาก และถ้าติดตั้งไม่ดีก็จะลดความร้อนได้ไม่ดีเท่าที่ควร
อินเตอร์คูลเลอร์ที่ดีนั้น จะต้องลดความร้อนของไอดีให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ขนาดใหญ่ที่สุด เพราะถ้าใหญ่เกินไป ทำให้เกิดอาการรอรอบ บูสต์มาช้า ปริมาตรโดยรวมของระบบไอดีเพิ่มขึ้น โดยไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลว่าไอดีจะเย็นเกินไป เพราะยิ่งเย็นยิ่งดี และยังไงก็ต้องร้อนกว่าอากาศภายนอกที่ถูกดูดเข้ามา เพราะถึงจะคลายความร้อน แต่ก็เป็นอากาศที่ถูกอัดตัวเป็นแรงดันสูงกว่าอากาศปกติ
อินเตอร์คูลเลอร์ที่ดีของคนทั่วไปที่มองอย่างผิวเผิน คือ ใบโต ๆ กว้าง ๆ สูง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เน้นตกแต่งเพิ่มความแรง จะฮือฮาเมื่อเห็นอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ ๆ ติดตั้งไว้ด้านหน้า ยิ่งคว้านกันชนโชว์ และรับลมยิ่งแจ๋ว
ในด้านประสิทธิภาพการระบายความร้อน ไม่ได้มีแค่ขนาดพื้นที่หน้าตัด (กว้าง x ยาว) เท่านั้นที่เกี่ยวข้อง แต่ยังมีเรื่องของพื้นที่ของครีบ และรอบหลอดภายนอกที่สัมผัสกับลม และลมผ่านได้มากหรือน้อย รวมถึงอีกสารพัดเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น
- ตำแหน่งการติดตั้ง เมื่อขนาดใหญ่แล้วต้องลมผ่าน ไม่ใช่ลมปะทะเต็มหน้า แต่ด้านหลังอินเตอร์คูลเลอร์มีช่องว่างแค่บางส่วน ลมก็ไม่ผ่าน คล้ายกับเปิดหน้าต่างห้องไว้บานเดียว ลมก็ไม่ผ่าน แต่พอเปิดหน้าต่าง 2 บานตรงกัน ลมผ่านฉิวเลย หรือซุกไว้ในส่วนที่ลมผ่านยอก
- ขนาดและจำนวนของหลอดภายในที่ไอดีต้องไหลผ่าน ถ้าเล็กเกินไป ไอดีไหลไม่สะดวก ก็เกิดการอั้นและร้อน
- วัสดุที่นำมาผลิตอะลูมิเนียมมีสารพัดชนิดของส่วนผสม แต่ละชนิดก็มีค่าการอมและคายความร้อนแตกต่างกัน
- ความหนาโดยรวมของตัวอินเตอร์คูลเลอร์ก็เกี่ยวข้อง บางเกินไปพื้นที่สัมผัสอากาศน้อย แต่ลมผ่านง่าย ถ้าหนาลมผ่านยากกว่าก็จริง แต่มีพื้นที่สัมผัสอากาศมากกว่า ต้องมีความพอดี ไม่ใช่หนา 6 นิ้ว จะดีกว่าหนา 2 นิ้วเสมอไป
นอกจากนั้น ยังเกี่ยวข้องกับความสกปรกภายใน-ภายนอก และสภาพของครีบภายนอกอีกด้วย

 อินเตอร์คูลเลอร์ของเก่าเชียงกง
อินเตอร์คูลเลอร์เชียงกง ผ่านการใช้งานมาแล้ว ย่อมมีคราบสกปรกภายใน และมีสภาพภายนอกที่ช้ำ ทั้งจากการถอดและการขนส่ง ล้วนขาดความระมัดระวัง โดยเฉพาะจากการขนส่งที่รวม ๆ กันมากับชิ้นส่วนอื่น มักมีการบุบ แอ่น และที่สำคัญ คือ ครีบลม
อินเตอร์คูลเลอร์ที่ผ่านการใช้งานอยู่ในรถยนต์ ถ้าไม่มีการชนก็ไม่บุบ แต่ก็หนีไม่พ้นความสกปรกทั้งภายนอก และภายใน
ความสกปรกของภายในของหลอดทางเดินไอดี และการระบายความร้อนไอดีที่ปกติต้องไหลผ่านหลอดเล็ก ๆ ถี่ ๆ ก็ลำบากอยู่แล้ว ถ้ามีคราบสกปรกทำให้หลอดเล็กลงไปอีก ก็จะเกิดอาการอั้นการไหล และไอดีที่ไม่ได้สัมผัสกับผิวด้านในของหลอดอะลูมิเนียมโดยตรง เพราะมีคราบสกปรกคั่นอยู่ ก็จะส่งผลให้การถ่ายเทความร้อนไม่ได้
 ครีบภายนอกที่ล้ม ก็ส่งผลให้ลมผ่านได้น้อยลง กลายเป็นเพียงลมปะทะด้านหน้าของส่วนที่ตันเท่านั้น ส่วนคราบสกปรกที่เกาะอยู่ภายนอก ก็ส่งผลให้ลมไม่ได้ปะทะและไหลโดนอะลูมิเนียมโดยตรง การถ่ายเทความร้อนต้องมีคราบสกปรกคั่นอยู่เสมอ จึงลดความได้ไม่ดีเท่าที่ควร
การล้างภายในอินเตอร์คูลเลอร์ที่มีหลอดเล็ก ๆ ถี่ ๆ ต้องใช้ของเหลวใส่เข้าไป อุดแล้วเขย่า และเทออก ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ของเหลวที่ใส่เข้าไปต้องมีคุณสมบัติเป็นตัวทำลาย เช่น รอบแรกใส่น้ำมันโซล่า รอบที่สองที่สามใส่น้ำมันก๊าด หรือเบนซิน ให้ระวังเรื่องเพลิงไหม้จากความไวไฟของน้ำมันที่ใช้ล้างด้วย ไม่มีความจำเป็นต้องเป้าแห้ง ถ้าจะเป่าต้องใช้ลมจากปั๊ม ไม่ใช่ไดร์เป่าผมหรือโบล์เวอร์ เพราะอาจเกิดการลุกไหม้ขึ้น
การล้างภายนอก จะใช้โฟมสเปย์ในการล้าง แต่อาจล้างด้วยวิธีง่าย ๆ ใช้แช่ในน้ำมัน แล้วใช้แปรงช่วยทำความสะอาด ล้างออกด้วยน้ำสะอาด และถ้าจะให้ดี ควรตามด้วยการเป่าลมไล่สิ่งสกปรก
นอกจากการล้างครีบแล้ว การทำความสะอาดฝาครอบหัวท้ายก็มีความจำเป็น เพื่อให้อากาศได้สัมผัส และไหลผ่านส่วนนั้นได้โดยตรง ไม่มีคราบสกปรกคั่งอยู่ แม้ส่วนนี้จะไม่ใช่ครีบ แต่ก็สามารถช่วยระบายความร้อนได้
การแต่งครีบ ไม่ยาก ใช้คีมปากจิ้งจกขนาดเล็ก หรืออะไรแบน ๆ ไล่ตัดไล่แซะให้ครีบมกลับมาเป็นทรงปกติ
ทำไม่กี่ขั้นตอน ก็จะได้อินเตอร์คูลเลอร์ที่มีหลอดอากาศภายในที่โล่งสะอาด และครีบภายในอกที่สะอาดและไม่ล้ม ลมผ่านได้สะดวก


 ขั้นตอนการรีบิลด์อินเตอร์คูลเลอร์ด้วยตัวเอง

1. สภาพของอินเตอร์คูลเลอร์มือ 2 แม้ว่าจะโทรมสักหน่อย แต่ก็ไม่ยากที่จะรีบิลด์ด้วยตัวเอง
2. ขั้นตอนง่าย ๆ ของการทำความสะอาดอินเตอร์คูลเลอร์ก่อนนำมาใช้ เริ่มจากการใส่สารละลาย เช่น น้ำมันเบนซิน หรือน้ำมันโซล่าเข้าไปข้างใน จากนั้นเอามือปิดหัวท้ายแล้วเขย่าสัก 1-2 นาที และถ่ายออกเป็นอันเสร็จ ถ้าไม่มั่นใจในความสะอาดก็ทำหลาย ๆ รอบ
3. สำหรับความงามภายนอก ก็ใช้พวกครีมขัดโลหะจัดการเช็ดฝา และใช้โฟมสเปรย์ ทำความสะอาดเครื่องยนต์ ทำความสะอาดบริเวณครีบ
4. ส่วนครีบที่ล้ม ๆ ก็ใช้ครีมปากจิ้งจก และไขควงค่อย ๆ ดัดให้คืนสู่สภาพเดิม เพื่อให้ลมผ่านได้ดี เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อน
5. หลังผ่านขั้นตอนการฟื้นฟูสภาพ ซึ่งไม่ยากอย่างที่ติด ก็จะได้อินเตอร์คูลเลอร์เก่าที่มีสภาพเหมือนใหม่ ด้วยการลงเงินและลงแรงไม่มากนัก

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

การแก้ปัญหาพวงมาลัยดึง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

การแก้ปัญหาพวงมาลัยดึง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง
การแก้ปัญหาพวงมาลัยดึง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

การที่เราขับรถแล้วพบว่ามีอาการดึงไปข้างใดข้างหนึ่งทำให้ต้องคอยหักพวงมาลัยขืนเอาไว้ ASN Broker มาฝากกันครับ
ตัวปัญหา มีด้วยกันหลายจุด ต้องพิจารณากันให้ดี

เกิดเพราะยาง
เกิน 50% ที่อาการดึงของรถมีสาเหตุมาจากยาง เช่น แรงดันลมอาจจะต่ำไป
ก่อนจะไปพิจารณาที่อื่นควรทดลองวัดแรงดันลมยางเป็นอย่างแรก หากมีปัญหาลมยางอ่อน
ก็จัดการเติมให้ได้ตามที่ผู้ผลิตกำหนด แต่ถ้าลมยางถูกต้องหรือเติมไปเรียบร้อยแล้วแต่อาการ
ดึงยังคงมีอยู่ หากยางที่ใช้เป็นยางใหม่และก่อนหน้าจะไปเปลี่ยนยางก็ไม่เคยมีอาการดึงแบบนี้
มาก่อนแสดงว่า ตัวปัญหาอยู่ที่ยางชุดใหม่ โดยอาจจะเกิดจากขั้นตอนการผลิตที่มีการวางเส้น
เข็มขัดรัดหน้ายางไม่อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง อย่างที่เรียกว่า Off Center Belt
เวลายางกลิ้งไปบนถนนจะทำให้เกิดแรงกระแทกทางด้านข้าง (Side Force) เอาชนะแรง
ที่ทำให้ยางกลิ้งในทางตรง (Roll Straight Ahead) การทดลองให้รู้คือ
สลับยางหน้าทั้ง 2 เส้น ถ้าอาการดึงเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม ชัวร์ว่ายางเป็นเหตุได้เลย
หากไม่สามารถเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้ก็ต้องลองสลับเอายางจากล้อหลังมาใช้แทน
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการพวงมาลัยดึง เป็นเรื่องของการใช้ยางเก่าหรือยางกลางเก่ากลาง
ใหม่ ยางที่มีการสึกของดอกยางมากน้อยต่างกันแต่กลับนำมาใช้ร่วมกัน
การใช้ยางผิดประเภทหรือการใช้ยางต่างขนาด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการดึงเช่นกัน
ประกันภัยรถยนต์

ช่วงล่างมีปัญหา
หลังการทดลองสลับยางแล้วพบว่าอาการดึงของพวงมาลัยยังไม่เปลี่ยนแปลง
หรือมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เคยดึงไปทางด้านไหนก็ยังคงดึงไปทางเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนใจ
แสดงว่างานนี้ยางไม่เกี่ยวก็ต้องพิจารณาที่จุดอื่น เช่น อาจเกิดจากศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง
โดยแม้จะคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้รถเกิดอาการดึงไปด้านใดด้านหนึ่งได้
โอกาสที่ศูนย์ล้อจะเกิดการผิดเพี้ยนเปลี่ยนไปนั้นมีได้มาก อย่างเช่น ถ้ายางมีการสึกหรอมาก
แต่ค่อนข้างสม่ำเสมอที่ขอบหน้ายางด้านใดด้านหนึ่ง จะมีผลทำให้มุมแค็มเบอร์ผิดไป
และจะเกิดอาการดึงมากขึ้นยามขับบนถนนต่างระดับหรือพวกถนนหลังเต่า
แต่หากขอบหน้ายางด้านใดด้านหนึ่งสึกเป็นจุด เป็นชั้นหรือสึกไม่เรียบ ปัญหาก็เหมือนกับว่า
ระบบช่วงล่างหลวมหรือตัวรองรับน้ำหนักทรุดทำให้มุมแค็มเบอร์เปลี่ยนไปเป็นจังหวะๆ
ขณะที่รถวิ่งพวกคอยล์สปริงหรือแหนบที่นิ่มล้าหรือทรุดตัวแล้วจะเป็นสาเหตุสำคัญที่มีผลทำให้
ชุดแค็มเบอร์เปลี่ยนแปลง รถที่ใช้ระบบรองรับน้ำหนักเป็นคอยล์สปริง เราสามารถทดสอบและ
ตรวจเช็คว่ามันล้าหรือทรุดตัวหรือยังได้หลายทาง เช่น จากการสังเกตเวลาเลี้ยวโค้งเร็ว ๆ
จะพบว่าตัวรถมีอาการเอียงตัวมากกว่าปกติ หรือตรวจสอบความสูงของตัวรถเมื่อพบว่าความสูง
ทางด้านหน้ากับด้านหลังตลอดจนด้านซ้ายกับด้านขวามีความสูงแตกต่างกันเกินกว่า 13 มม.
หรือ ½ นิ้ว ก็แสดงว่าสปริงล้าหรือทรุดตัวแล้ว สำหรับรถที่ใช้ระบบรองรับน้ำหนักเป็นแหนบ
ต้องตรวจสภาพแหนบว่ายังอยู่ดีหรือไม่แหนบหักหรือเปล่า
พวกน็อตสาแหรกยึดตับแหนบมีรายการ หลุดหลวม คลายตัวหรือไม่
พวกหูแหนบหรือโตงเตงแหนบมีการชำรุดหรือไม่ พวกที่ใช้ระบบรองรับน้ำหนักแบบทอร์ชั่นบาร์
เมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็มีอาการล้าและทรุดตัวได้เช่นเดียวกัน
และบางทีด้านซ้ายกับด้านขวาจะทรุดไม่เท่ากัน จากการรับน้ำหนัก จะแตกต่างกัน
หากนั่งคนเดียวบ่อยๆด้านขวามักจะทรุดมากกว่า แต่ระบบรองรับน้ำหนักแบบทอร์ชั่นบาร์นี้ดี
อยู่อย่างคือ สามารถปรับตั้งระดับความสูงได้ จึงควรตรวจเช็คระดับความสูงของรถให้เท่ากัน


ลูกปืนและลูกหมาก
เป็นอีกจุดที่สามารถสร้างปัญหาให้รถเกิดอาการดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง
ควรตรวจสภาพของลูกปืนล้อและลูกหมากหากทำเองไม่ได้ก็ควรนำรถไปหาช่าง
การตรวจสอบลูกหมากนี้สามารถทำต่อเนื่องจากการตรวจสอบลูกปืนล้อได้เลย

ยังมีอีกหลายจุดที่ทำให้เกิดปัญหาพวงมาลัยหันไม่ตรงกับทิศทางที่เราขับรถไป
ต้องเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง อาทิ มุมแคสเตอร์มีปัญหา
เนื่องจากมุมแคสเตอร์จะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการดึงของล้อหลังจากที่ได้หักเลี้ยวไปแล้ว
หากมีปัญหาก็จะมีผลกับน้ำหนักของพวงมาลัย การตอบสนองของพวงมาลัย การเลี้ยว
รวมทั้งยังมีผลกับการทรงตัวของรถยามเบรก และประสิทธิภาพในการหยุดรถอีกด้วย
แต่ถ้าเหยียบเบรกเพื่อชะลอหรือหยุดรถแล้วพบว่าพวงมาลัย ถูกดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง
แบบนี้แสดงว่าตัวการเกิดขึ้นจากระบบเบรกซึ่งก็ต้องพึ่งพาให้ช่างเขาจัดการให้เช่นกัน 

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

ใบขับขี่สมาร์การ์สามารถใช้กับประเทศอาเซียนได้10ประเทศ โดยไม่ต้องทำใบขับขี่สากล

ใบขับขี่สมาร์การ์สามารถใช้กับประเทศอาเซียนได้10ประเทศ โดยไม่ต้องทำใบขับขี่สากล
ใบขับขี่สมาร์การ์สามารถใช้กับประเทศอาเซียนได้10ประเทศ โดยไม่ต้องทำใบขับขี่สากล

ใบขับขี่สมาร์การ์ด สามารถใช้กับประเทศอาเซียนได้10ประเทศ โดยไม่ต้องทำใบขับขี่สากล // เรียนรู้เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 2015
 
ในข้อตกลงในการรับรู้ใบอนุญาตขับขี่รถส่วนบุคคลในประเทศออกให้โดยกลุ่มประเทศอาเซียน เมื่อ 9 กรกฎาคม 1985 ณ.กรุงกัวลาลัมเปอร์
 
         ในขณะที่ประเทศกำลังปรับตัวเตรียมพร้อมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งจะทำให้การเดินทางระหว่างประเทศสมาชิก 10 ประเทศสะดวกขึ้น รวมไปถึงการเดินทางด้วยรถยนต์ ในส่วนนี้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาได้มีการออกข้อตกลงระหว่างประเทศอาเซียน ในการขับขี่รถยนต์ข้ามแดนได้ โดยคนไทยที่ต้องการไปขับรถในประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ ลาว เวียดนาม กัมพูชา เมียนม่าร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ไม่ต้องทำใบขับขี่สากล สามารถใช้ใบขับขี่ของไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่เป็นแบบสมาร์ทการ์ด ซึ่งมีการระบุข้อมูลของเจ้าของบัตรเป็นภาษาอังกฤษ ควบคู่กับภาษาไทย ไปใช้ในประเทศเหล่านั้นได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถนำรถของประเทศไทยไปขับในประเทศเหล่านั้นได้ เพียงแค่ไปติดต่อดำเนินการทางทะเบียนยังสำนักงานขนส่งท้องที่ที่รถคันนั้นจดทะเบียน ก็จะได้ป้ายทะเบียนภาษาอังกฤษไปติดเพื่อเข้าในประเทศสมาชิกอาเซียนได้.
 
คำถาม :ถ้ามีใบขับขี่จักรยานยนต์ตลอดชีพแบบเก่า ไปเปลี่ยนเป็นแบบสมาร์ทการ์ดได้ที่ขนส่งใช่ไหมครับ ?
 
ตอบ : เปลี่ยนได้ครับ ถ้ายังต้องการเก็บใบเก่าไว้ ให้ถ่ายเอกสาร และแจ้งหาย เพื่อทำใหม่ ยังได้ตลอดชีพเหมือนเดิม แต่ใบเก่าเก็บไว้เป็นที่ระทึก!!!
คำถาม : ได้ทั้ง รถยนต์ และ รถจักรยานยนต์ เลยหรือเปล่าคะ?
คำตอบ :ใช้ได้ทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์ ทุกวันนี้ผมก็ใช้อยู่ครับ ยืนยัน แต่ให้มั่นใจพิมพ์หน้า MOU ที่ลิงค์ให้ติดไปด้วยเพื่อเจรจากับตำรวจที่ยังไม่รู้เรื่อง โดนมาแล้วครับ ที่อินโดนีเซีย หลังเจรจาก็กอดไหล่ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก!!!!
คำถาม : การใช้รถยนต์ในประชาคมอาเซียนนี้มีกฎอย่างไรบ้างครับอย่างเช่นรถในลาวใช้ในไทยต้องทำอย่างไรบ้างครับ?
 
คำตอบ : รถลาวเข้าไทย ใช้พาสปอทรถ พรบ และเจ้าของรถขอนำเข้าไทยได้ด้วยตนเองที่หน้าด่านฯได้เลยครับ เขียนฟอร์ม ต.ม และศุลกากร ใช้ได้ 30 วัน

ที่มา  http://www.asnbroker.co.th 

การขับรถที่ผมคิดว่าประหยัดน้ำมันมากที่สุดและสึกหรอน้อยที่สุด #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

การขับรถที่ผมคิดว่าประหยัดน้ำมันมากที่สุดและสึกหรอน้อยที่สุด #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
การขับรถที่ผมคิดว่าประหยัดน้ำมันมากที่สุดและสึกหรอน้อยที่สุด #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

อากาศร้อนๆ วันนี้ ASN Broker นำความรู้ดีๆกลับมาฝากเหมือนเคย โดยวันนี้ นำทริค การขับรถที่จะทำให้ประหยัดน้ำมันมากที่สุดหรือสึกหรอน้อยที่สุด เอ๊ะฉันก็ขับรถมานานแล้วนายเป็นใครยังจะมาสอนกันขับรถอีก อย่าถึงขนาดนั้นเลยนะครับไม่บังอาจหรอก ก็อย่างว่าถ้าผมเป็นพวกเศรษฐีมีเงินขับรถคันโตๆเครื่องยนต์ใหญ่ๆราคาน้ำมันก็คงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดหรืออยากเปลี่ยนรถใหม่ตอนไหนก็ได้ แต่บังเอิญว่าผมดันเกิดมาจนน้ำมันแต่ละหยดจึงมีค่ามากและอยากใช้รถนานๆเพราะไม่มีเงินถุงเงินถังที่จะไปเปลี่ยนคันใหม่ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีที่จะให้รถที่มีอยู่ได้ใช้งานอย่างประหยัดและทนทานให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปให้มากที่สุด จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับหรือต้องปิดบังอะไรเลยยิ่งบางเรื่องเขาพิสูจน์กันมาแล้วว่าเป็นจริงครับเพียงแต่นำมาเล่าสู่กันฟังสำหรับท่านที่ยังไม่ทราบหรือเคยทราบแล้วแต่ลืมหรือท่านที่อาจจะยังไม่รวยนัก(ไม่ทราบว่ามีหรือเปล่าในที่นี้)อยากประหยัดเหมือนผมครับ ทีนี้ก็มาดูกันว่าผมทำอะไรบ้าง

1.อันดับแรกก็เริ่มจากการขั้นตอนเติมน้ำมันก่อน ก็มาจากหลักวิทยาศาสตร์ชั้นประถมเรื่องการขยายตัวของมวลสารที่แปรผันตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น พูดง่ายๆคือถ้าอากาศร้อนก็จะทำให้อะไรๆมันขยายตัวนั่นเองรวมทั้งน้ำมันด้วย ดังนั้นการเติมน้ำมันจึงควรเติมเวลาที่อากาศเย็น เวลาที่ดีที่สุดคืออยู่ในช่วง 00.00-06.00 น.ครับ รองลงมาก็ช่วง 22.00-00.00 น.และช่วง 06.00-09.00 น. สรุปคือ ตั้งแต่ สี่ทุ่มถึงเก้าโมงเช้าคือช่วงเวลาที่เติมน้ำมันแล้วจะได้ปริมาณมากกว่าช่วง 09.00-22.00 น.เพราะว่าน้ำมันจะยังคงรูปแบบอยู่หรือขยายตัวเพียงเล็กน้อยซึ่งจะประหยัดกว่าช่วง 09.00-22.00 น.อยู่ 2-5เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เช่น ช่วง 09.00-22.00 น.เติมเต็มถัง 40ลิตร แต่ถ้าเติมช่วง 00.00-06.00 น.เต็มถังจะประมาณ 37.5-38.5 ลิตร และถ้าเติมช่วง 22.00-00.00 น.หรือ 06.00-09.00 น.เต็มถังก็แค่ 38-39 ลิตร ก็ลองคำนานดูราคาน้ำมันปัจจุบันดูเองครับว่าประหยัดได้กี่บาทกี่เปอร์เซ็นต์ คนส่วนมากมักจะเติมน้ำมันหลังเลิกงานก่อนเข้าบ้านช่วง 17.00-20.00 น.อันนี้ถ้าเป็นคนช่างสังเกตุหน่อยจะพบว่าตอนเช้าขีดระดับน้ำมันจะตกลงต่ำกว่าตอนที่มาจอด และถ้าเติมตอน 06.00 น.(แต่ไม่เต็มถัง)ขับไปทำงานตอนเที่ยงจะออกไปทานข้าวจะพบว่าขีดระดับจะสูงขึ้นกว่าตอนที่มาจอด อันนี้ผมก็ลองทำแล้วพบว่าเป็นจริงทุกประการ ที่สำคัญคือเวลาเติมน้ำมันเด็กปั๊มมักจะขี้เกียจทอนเศษเงินจึงมักกดยัดเยียดแก๊กๆๆๆๆจนล้นหรือจนพอใจโดยที่จ้าวของรถก็ไม่สนใจ เช่นที่ 487บาทหัวเติมก็ตัดแต่เด็กปั๊มมักจะเข้นให้ถึง 500 บาทเป็นต้น อย่าลืมว่าถังน้ำมันจะมีรูหายใจหรือรูระบายแรงดันในถังการเติมน้ำมันมากเกินไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆเพราะพอมันขยายตัวน้ำมันก็จะถูกปล่อยทิ้งออกไปตอนที่รถวิ่งหรือกระแทก อันนี้ควรสนใจกันบ้างเติมแค่หัวจ่ายตัดหรือเลยไปไม่เกิน 5 บาทก็ยังไม่เสียหาย เพราะจุดนี้เป็นจุดที่เสียหายมากๆเลยกับการเติมน้ำมันมาปล่อยทิ้งเจ้าของปั๊มได้กำไรจากยอดขายที่สูงขึ้น แต่เราขาดทุนเพราะเติมน้ำมันมาทิ้งประมาณครึ่งลิตร

2.ลำดับต่อมาก็มาที่ขั้นตอนการสตาร์ทรถและอุ่นเครื่อง ทำไมต้องอุ่นเครื่องก็เพราะว่าเครื่องยนต์ที่ดีและสึกหรอน้อยที่สุดประหยัดที่สุดจะทำงานอยู่ในช่วง 90-95 เซลเซียส แต่ด้วยความเร่งรีบของสังคมปัจจุบันทำให้คนส่วนใหญ่มักจะขึ้นรถสตาร์ทเครื่องติดแล้วก็ขับออกไปเลยขณะที่เครื่องเย็นอยู่การหล่อลื่นจึงยังไม่สมบูรณ์ทำให้ต้องใช้กำลังฉุดลากมากกว่าปกตินอกจากจะเปลืองน้ำมันแล้วยังสึกหรอมากด้วย บางคนก็ใจเย็นเหลือเกินติดเครื่องทิ้งไว้นาน 4-5นาทีกว่าจะออกรถซึ่งก็อาจจะเกินความจำเป็นไปหน่อยมันดีต่อเครื่องยนต์แต่ก็สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ และวิธีที่เหมาะสมของการอุ่นเครื่องคือ ต้องปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดก่อนสตาร์เครื่อง(ลดโหลดของเครื่องยนต์ให้น้อยที่สุด)และต้องอุ่นเครื่องไว้ 30-60 วินาทีในหน้าร้อนหรือ 45-90 วินาทีในหน้าหนาวหรืออากาศเย็นให้เข็มความร้อนขึ้นมาถึงขีดต่ำสุดก็เพียงพอแล้วจากนั้นจึงค่อยเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการ บางคนจะถามว่าแล้วขับมาจอดซักพักเครื่องยังร้อนอยู่เวลาจะขับอีกต้องอุ่นเครื่องหรือเปล่า อันนี้ก็ถือว่ายังจำเป็นอยู่เพื่อให้เวลากับน้ำมันหล่อลื่นที่ค้างอยู่ในส่วนต่างๆของระบบที่เริ่มมีความแตกต่างกันของอุณหภูมิกันแล้วได้กลับไปหมุนวนถ่ายเทความร้อนซึ่งกันและกันเพื่อจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง เพียงแต่ระยะเวลาในการอุ่นเครื่องใช้แค่ 10-15 วินาทีก็เพียงพอแล้ว

3.การออกตัว หลายคนยังเป็นประเภทถ้าไม่ได้ยินเสียงล้อบดถนนตอนออกตัวแล้วไม่สบายใจ การออกตัวเป็นหัวใจสำคัญของการประหยัดและลดการสึกหรอด้วยเช่นกัน เพราะเกียร์ 1 คือเกียร์ที่กินน้ำมันมากเป็นอันดับสองรองจากเกียร์ถอยหลัง เพราะต้องใช้แรงฉุดอย่างมหาศาลที่จะลากตังถังจากหยุดนิ่งให้เคลื่อนตัว การออกตัวแรงๆนอกจากจะเปลืองเชื้อเพลิงแล้วยังสึกหรอมาด้วยทั้งยางและเครื่องยนต์ ดังนั้นการออกตัวที่ดีจึงควรทำอย่างนิ่มนวลที่สุด เกียร์ออโต้ก็ควรค่อยๆปล่อยเบรคและกดคันเร่งเบาๆอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความเร็ว ส่วนเกียร์ธรรมดาก็ค่อยไปล่อยครัชท์แล้วกดคันเร่งเลี้ยงรอบเครื่องไว้ที่ 1000-1200 รอบ ทำได้ดังนี้ก็จะนิ่มนวลประหยัดและสึกหรอต่ำ ไม่ควรออกตัวด้วยเกียร์ 2 มันให้อัตราเร่งสูงกว่าก็จริงแต่การจ่ายน้ำมันก็มากไม่ต่างจากเกียร์ 1 เท่าไหร่แต่ต้องแลกมาด้วยความสึกหรอของเครื่องยนต์ที่มหาศาลเครื่องจะหมดกำลังอัดเร็วกว่าปกติมาก สุดท้ายก็ยิ่งเปลืองน้ำมันแถมควันกลบตูดอีกต่างหาก ไม่นานก็ต้องบูรณะครั้งใหญ่ซึ่งจะเร็วกว่าพวกที่ใช้ตามปกติเป็นแสนโลหรือกว่า 2ปีเลยทีเดียว(เสียตังค์โดยใช่เหตุ)
 

4. การขับขี่ หลังจากออกตัวมาแล้วก็ต้องเร่งเครื่อง เกียร์ออโตก็ได้พูดไปแล้วคือกดคันเร่งลงอย่างนิ่มนวลต่อเนื่องและสม่ำเสมอและควรใช้ O/D ในความเร็วสูงซึ่งจะทำให้รอบต่ำลงมาช่วยประหยัดน้ำมัน ส่วนปุ่ม ETC นั้นถ้าไม่ได้เข่งกับใครก็ไม่ควรจะใช้บ่อยนักเพราะมันก็คือการลากเกียร์นั่นเองซึ่งจะทำให้เกิดการสึกหรอมากขึ้น เปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นก็ยังส่งผลต่ออายุงานของเกียร์ด้วย ที่นี้มาว่ากันที่เกียร์ธรรมดา การเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นควรจะทำให้เร็วที่สุดและไปถึงเกียร์สูงสุดไวที่สุดโดยการใช้รอบเครื่องเป็นหลักและไม่ควรลากรอบเครื่องสูงเกินไป ดังนี้
4.1 เครื่องขนาดไม่เกิน 1800CC ควรเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นทันทีที่ 2000 รอบ ลดเกียร์ต่ำลงทันทีที่ 1000-1200 รอบ และเลี้ยงความเร็วที่เกียร์สูงสุดไว้คงที่ที่ 2000-2200 รอบ(จุดใดจุดหนึ่ง)
4.2 เครื่องขนาด 1800-2200CC ควรเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นทันทีที่ 2200-2500 รอบ ลดเกียร์ต่ำลงทันทีที่ 1200-1400 รอบ และเลี้ยงความเร็วที่เกียร์สูงสุดไว้คงที่ที่ 2200-2500 รอบ(จุดใดจุดหนึ่ง)
4.3 เครื่องขนาดมากกว่า 2200CC ควรเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นทันทีที่ 2500-2700 รอบ ลดเกียร์ต่ำลงทันทีที่ 1300-1500 รอบ และเลี้ยงความเร็วที่เกียร์สูงสุดไว้คงที่ที่ 2500-2700 รอบ(จุดใดจุดหนึ่ง)
4.4 เครื่องที่แบกหอยหรือเทอร์โบมาด้วยก็บวกจากที่กล่าวมาไปอีกไปอีก 500 รอบ
4.5 เครื่องยนต์ที่เป็นดีเซลซึ่งมีแรงบิดสูงกว่าเครื่องเบนซินก็จะใช้รอบแบบเดียวกับข้อ 4.1
4.6 เครื่องยนต์ที่เป็นดีเซลที่แบกหอยหรือเทอร์โบมาด้วยก็จะใช้รอบแบบเดียวกับข้อ 4.2
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความเร็วที่เกียร์สูงสุดที่ประหยัดน้ำมันและสึกหรอต่ำสุด จะแตกต่างกันไปตามขนาดและประเภทของเครื่องยนต์ ส่วนที่ทางการประชาสัมพันธ์ว่าความเร็วที่ประหยัดและสึกหรอต่ำอยู่ที่ 60-90 กม./ชม.นั้นคือรุ่นขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 1800CCและเครื่องดีเซลครับเพราะรถกลุ่มนี้คือรถที่มำจำนวนมากที่สุดในบ้านเรา ส่วนกลุ่มที่เครื่องยนต์มีขนาดใหญ่หรือติดเทอร์โบความเร็วก็จะสูงขึ้นไปตามลำดับเช่นเครื่องขนาด 2000CC ความเร็วประหยัดน้ำมัน(แต่ไม่สูงสุด)อยู่ที่ 110 กม./ชม.เป็นต้น การขับขี่ที่ดีควรรักษาความเร็วที่คงที่ไว้อย่างเสถียรภาพมากที่สุดเท่าที่ทำได้(อันนี้พวกรถที่มีการตั้งความเร็วอัตโนมัติจะได้เปรียบ)
 

5. ความเร็วปลายหรือความเร็วสูงสุดในการเดินทาง ถ้ามีการวิ่งระยะยาวๆไกลๆและต้องการใช้ความเร็วสูงแต่ประหยัดน้ำมันและการสึกหรอต่ำ อันนี้ต้องอาศัยธรรมชาติเรื่องแรงเสียดทานและแรงโน้มถ่วงมาช่วย ซึ่งจะใช้ได้เฉพาะรถคันโตๆน้ำหนักมากๆเท่านั้น จะมีจุดๆหนึ่งที่หน้ายางจะสัมผัสถนนเต็มหน้าพอดีและตั้งฉาก(ไม่เหมือนกับที่เห็นว่าเหมือนยางแบนตอนจอดอยู่) คือเหมือนว่าน้ำหนักตัวของรถน้อยลงนั่นคือจุดที่ก่อนที่รถจะลอยตัว(แต่ชาวบ้านมักเรียกรถลอยตัว)ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่รถยังคงเสถียรภาพการเกาะถนนอยู่ รถแต่ละรุ่นจะได้ความเร็วที่ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับน้ำหนักรถและตัวสปอยด์เลอร์ที่ติดมา จุดนี้หาได้โดยค่อยๆกดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงจุดๆหนึ่งจะพบว่าความเร็วรถจะเพิ่มขึ้นเองอย่างรวดเร็วจนต้องถอนคันเร่ง เช่นโดยทั่วไปรถขนาด 2000-2200CC จะอยู่ที่ 130-150 กม./ชม.เมื่อหาความเร็วดังกล่าวได้แล้วเวลาที่เดินทางก็ควรใช้ความเร็วนั้นๆ ส่วนที่บอกว่าไม่เหมาะกับรถเล็กๆนั้นก็เพราะว่าน้ำหนักรถน้อยถ้าขับเร็วก็จะเกิดแรงต้านจนหนีศูนย์ยิ่งเปลืองเชื้อเพลิงและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและความเร็วที่ว่าของรถเล็กๆก็อยู่ราวๆ แค่110-120 กม./ชม.เท่านั้น ยิ่งบางคนไปติดสปอยด์เลอร์มาท่านทราบหรือไม่ว่าสปอยด์เลอร์จะเริ่มทำงานเกิดแรงกดและลมหมุนวนจนเกิดแรงส่งที่ความเร็วเกิน 120 กม./ชม.ขึ้นไป ดังนั้นการใส่สปอยด์เลอร์ในรถเล็กๆจึงเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้รถและเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ในรถเล็กนั้นนอกจากความสวยงามและประดับไฟเบรคแล้วสปอยด์เลอร์ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะจะเกิดแรงหนีศูนย์ก่อนสปอยด์เลอร์จะทำงานแทนที่จะช่วยในการทรงตัวกับไปเสริมแรงส่งหนีศูนย์ไปอีก รถเล็กที่ติดสปอยด์เลอร์ในความเร็วสูงจึงควบคุมยากกว่ารถที่ไม่ติดสปอยด์เลอร์ครับ บางคนก็เถียงว่าถ้ามันไม่ดีทำไมมันติดตั้งมาจากโรงงานเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องทางธุรกิจครับแต่รุ่นเดียวกันไม่ติดก็มี ผมเคยไปซื้อรถที่บอกว่าแถมสปอยด์เลอร์ด้วยผมบอกว่าถ้าผมไม่เอาสปอยด์เลอร์นี่จะลดราคาให้ผมเท่าไหร่ คำตอบคือ 10000 บาทครับผมก็เลยให้เขาถอดออก ท่านก็ลองพิจรณาดูเองก็แล้วกันเพราะถ้าผมอยากติดจริงๆผมมาหาข้างนอกทำสีด้วยก็ไม่เกิน 5000 บาทหรอกครับ ยิ่งบางรุ่นก็บังคับมาเลยถอดไม่ได้เพราะเจาะรูไว้แต่เราเป็นคนจ่ายตังค์นะครับอย่าลืม การเดินทางไกลควรหยุดพักรถทุก 2 ชม.หรือ 200 กม.การหยุดแต่ครั้งไม่ควรต่ำกว่า 15 นาทีควรจอดในที่ร่มและเปิดฝากระโปรงหน้าไว้เพื่อให้น้ำมันเครื่อง/น้ำมันเกียร์หรือน้ำมันเบรคได้คายความร้อนจะได้กลับมามีคุณสมบัติที่ดีอีกครั้ง
 

6. การเบรค ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการเบรคที่รุนแรงทางที่ดีควรใช้การลดความเร็วและการลดเกียร์ลงมาเรื่อยๆ พูดง่ายๆก็ใช้ความเร็วให้เหมาะสมนั่นแหละ เพราะการเบรคที่รุนแรงนอกจากการสึกหรอของระบบเบรคแล้ว ยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ค้างในห้องเผาไหม้จำนวนมาก(เพราะปล่อยคันเร่งทันทีทันใด)ที่อาจจะซึมผ่านไปผสมกับน้ำมันเครื่องส่งผลให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติและส่งผลต่อการสึกหรอของเครื่องยนต์ตามมา
 

7. การถอยรถ ในรถเกียร์อัตโนมัติคงไม่มีปัญหาเท่าไหร่กับการถอยหลังเพราะยังไงก็ต้องหยุดรถให้สนิทอยู่แล้วจึงจะโยกเข้าเกียร์ถอยหลังได้ แต่ในรถเกียร์ธรรมดาควรทำอย่างไร สิ่งที่ควรทำก็คือทำแบบเกียร์อัตโนมัติเขาโดยเหยียบเบรคให้รถหยุดสนิทก่อน แต่ถึงแม้รถจะหยุดสนิทแล้วก็ควรทิ้งระยะเวลาไว้เล็กน้อยประมาณ 3-5 วินาทีก่อนเข้าเกียร์เพื่อให้เวลากับเพลาหรือเฟืองที่ยังมีแรงเฉื่อยอยู่ได้หยุดหมุนเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเมื่อต้องหมุนไปอีกทางในทางกลับกันก็จะเกิดการสึกหรออย่างมากและยังเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นที่ต้องใช้แรงฉุดมากขึ้นหรือบางทีก็ส่งเสียงแก๊กๆออกมาทีเดียว ที่ผมทำอยู่ก็ใช้การนับในใจ 1......2.....3.....4.......5 แล้วจึงเข้าเกียร์ถอยหลังซึ่งจะไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา โดยทั่วไปแล้วเกียร์ถอยหลังจะมีอัตราทดและแรงมากที่สุดกว่าทุกเกียร์(มีไม่กี่รุ่นที่ทำเกียร์ 1 สูงกว่าเกียร์ถอยหลัง)ดังนั้นจึงเป็นเกียร์ที่ใช้น้ำมันมากที่สุดจึงควรนิ่มนวลในการเร่งและปล่อยครัชท์มากที่สุด
 

8. การจอดรถ ก่อนถึงที่หมายซัก 100-200 เมตรควรปิดAC หรือคอมเพรสเซอร์ของแอร์เหลือไว้เฉพาะพัดลมเพราะยังคงมีความเย็นในระบบอยู่ การกระทำดังกล่าวนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว พัดลมยังช่วยเป่าไล่ความชื้นออกจากตู้แอร์ทำให้ไม่มีกลิ่นอับชื้น ความชื้นในตู้แอร์หมดไปการผุกร่อนของตู้แอร์และระบบก็ลดลง ซ้ำยังไม่เป็นที่สะสมของเชื้อโรค-เชื้อราโดยเฉพาะเชื้อริโอจีอีโบลา(ที่กำลังดังเพราะคร่าไปหลายชีวิตแล้ว) เมื่อถึงที่หมายและรถจอดสนิทแล้วก็ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ฟังเสียงว่าพัดลมไฟฟ้าทำงานอยู่หรือเปล่าควรปล่อยให้พัดลมทำงานจนหยุดก่อนจึงดับเครื่องยนต์ อย่าลืมดึงเบรคมือขึ้นด้วยไม่งั้นมีสิทธิ์เป็นข่าวได้เหมือนกัน ที่เห็นมามากคือมักจะเบิ้ลเครื่องหรือเร่งเครื่องขึ้นไปรอบสูงๆก่อนดับเครื่องโดยเข้าใจว่าจะทำให้เครื่องติดง่ายในครั้งต่อไปอันนี้อันตรายต่อเครื่องยนต์มาก เพราะน้ำมันเชื้อเพลิงจะตกค้างและปนไปอยู่กับน้ำมันเครื่องทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาวะการหล่อลื่นสึกหรอมากขึ้น แถมน้ำมันที่ค้างก็เหมือนการทิ้งไปเปล่าๆ
 

9. ต่อมาก็เป็นเรื่องลมยาง ควรจะตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 10 วันครั้ง ที่ผมทำอยู่คือเพื่อกันลืมผมจะเช็ควันที่ลงท้ายด้วยเลขศูนย์ครับ ลมยางก็ต้องได้ตามที่บริษัทผู้ผลิตเขาแนะนำซึ่งส่วนใหญ่จะมีในคู่มือหรือบางรุ่นก็ติดไว้ให้ตามขอบประตูที่รถให้เลย ถ้าลมยางอ่อนเกินไปก็จะทำให้รถซดน้ำมันมากขึ้นและขอบยางก็จะสึกมากขึ้นอายุยางก็ลดลง แต่ถ้าแข็งเกินไปมันประหยัดน้ำมันก็จริงแต่ยางก็จะสึกตรงร่องกลางๆมากเสื่อมเร็วเช่นกันซ้ำร้ายยังส่งผลกระทบไปถึงลูกหมาก ลูกปืนที่จะกลับบ้านเก่าเร็วกว่าปกติ
 

10. สุดท้ายก็คงเป็นเรื่องการเก็บสัมภาระไว้ในรถ ไม่ควรเก็บของไว้ในรถมากเกินไปควรเก็บที่จำเป็นจริง(แต่ส่วนใหญ่มักอ้างว่าจำเป็นทั้งนั้น) เพราะของที่ใส่ในรถก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักรถก็ทำให้กินน้ำมันโดยใช่เหตุเช่นกัน
 

นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องอื่นๆอีกเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการเดินทางเช่นการศึกษาเส้นทาง การเลือกเส้นทางในการเดินทาง ให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่รถติด(มากๆ)หรือเลือกใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุด เป็นต้น สิ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้คงบังคับให้ปฎิบัติไม่ได้หรือทำทั้งหมดก็คงยาก แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆมันก็จะเป็นนิสัยแล้วค่อยเพิ่มสิ่งที่ยังไม่ไดทำเข้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายวันหนึ่งคุณจะพบว่าตัวเองเป็นคนขับรถที่ดี ประหยัดน้ำมันและรถที่ใช้งานอยู่ก็ทนทานไม่จุกจิกเหมือนรถข้างๆบ้านที่ออกมาพร้อมๆกัน ว่างๆก็ช่วยไปบอกต่อเขาหน่อยก็แล้วกันนะครับ

ที่มา : http://www.asnbroker.co.th

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

ซื้อรถยนต์อย่างไรไม่ให้ถูกหลอก #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ซื้อรถยนต์อย่างไรไม่ให้ถูกหลอก #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ซื้อรถยนต์อย่างไรไม่ให้ถูกหลอก #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

การเลือกซื้อรถยนต์สักคันนั้น จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของราคา สมรรถนะ ยี่ห้อ ฯลฯ ที่จะมาเป็นสิ่งกระตุ้นในการเลือกซื้อ แต่หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อจริง ๆ แล้วมักจะไม่ค่อยตายตัวสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ความพึงพอใจมากกว่า เราจึงนำหลักเกณฑ์อย่างกว้าง ๆ ในการพิจารณาเลือกซื้อรถซึ่งอาจจะช่วยในการตัดสินใจของท่านได้ไม่มากก็น้อย
การเลือกซื้อรถใหม่
- คำนึงถึงงบประมาณ การประกัน ประโยชน์ในการใช้งาน เพื่อจะได้ซื้อรถได้คุ้มค่าที่สุด
- ตรวจเช็คเกี่ยวกับข้อมูลการใช้น้ำมัน เบี้ยประกันการบริการ อุปกรณ์อะไหล่ และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
- สำรวจยี่ห้อ ราคา แบบ รุ่น จากนิตยสารที่เกี่ยวกับรถ แคตตาล็อกจากร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วไป แล้วนำมาเปรียบเทียบข้อมูลต่าง ๆ อย่าพึ่งด่วนสรุปตัดสินใจซื้อ
- เลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายใหญ่ ๆ ที่น่าเชื่อถือ
- สำรวจพื้นที่ในการใช้สอยในรถ อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
- ตกลงกับผู้ขายในเรื่องค่าโอนทะเบียนรถและอื่น ๆ ให้เป็นที่เรียบร้อยและพึงพอใจสำหรับตัวท่านเอง
- สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ทดลองขับเสียก่อน อย่าตัดสินใจซื้อเมื่อไม่มีโอกาสได้ทดลองขับ เพราะหากมีอะไรไม่ถูกใจหรือไม่ชอบจะได้เปลี่ยนรุ่น หรือยี่ห้อได้
- ควรมีเพื่อนหรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถไปด้วย เมื่อมีการดูรถควรถ่ายรูปรถของคุณไว้อย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นภายนอก ภายในเครื่องยนต์ทะเบียน กันชน ไฟหน้า-หลัง รวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น แอร์ วิทยุเทปและอื่น ๆ เพื่อเตรียมไว้ในกรณีที่รถถูกเฉี่ยวชน โดนขโมย หรือถูกงัด
ส่วนใหญ่ในการซื้อรถใหม่นั้นไม่ค่อยมีอะไรยุ่งยากมากเท่าใด เพราะรถจะถูกตรวจสอบมาจากโรงงานและเป็นรถใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ ประสิทธิภาพก็คงดีอยู่มาก ยังไงแล้วเพื่อความแน่นอนควรตรวจสอบให้ดีก่อนการซื้อทุกครั้ง
ทำไมต้องรันอินรถยนต์
เมื่อท่านซื้อรถใหม่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือ การรันอิน ลากรรันอินจะต้องทำอย่างถูกวิธี เพื่อให้อายุการใช้งานของรถยาวนานขึ้น แต่ถ้าใช้ผิดวิธีอายุการทำงานของรถจะสั้นกว่าปกติ ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์จะไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งการรันอินนั้นจะแบ่งเป็น 2 ช่วง
ช่วงรันอินที่ 1 ในช่วง 500 กิโลเมตรแรก ควรหาโอกาสขับรถในระยะทางไกล เช่นไปต่างจังหวัด ขับขี่ด้วยความเร็วปานกลางและนิ่มนวลพยายามอย่าให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก หลีกเลี่ยงการใช้โช๊คอัพช่วยในการสตาร์ท ควรเปลี่ยนแปลงความเร็วอย่าใช้อัตราคงที่ ไม่ควรขับด้วยความเร็วจุดใจจุดหนึ่งเป็นเวลานาน เพื่อให้การสึกหรอของเครื่องยนต์เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
ช่วงรันอินที่ 2 จาก 500 กิโลเมตร์ไปจนถึงราว 3,000 กิโลเมตรแรกตามหนังสือคู่มือ การรันอินในกิโลเมตรช่วงที่ 2 (หลัง 500 กิโลเมตรแรกไปแล้วจนถึง 3,000 กิโลเมตร) ควรขับรถอย่างนิ่มนวล
การรันอิน คือ การขับขี่ที่อยู่ในระยะทางช่วงใดช่วงหนึ่งที่มีการกำหนด โดยบริษัทรถยนต์หรือช่าง
การเลือกซื้อรถยนต์ใช้แล้ว
          ในปัจจุบันตลาดรถมือสองกำลังบูมอย่างมาก มีการซื้อขายและการประมูลไม่เว้นแต่ละวัน เต็นท์ขายรถต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมารองรับการซื้อราวกับดอกเห็ด ทำให้ผู้ซื้อมีโอกาสในการเลือกซื้อมากขึ้นด้วยสนนราคาที่ถูกกว่ารถใหม่ คุณภาพก็พอใช้ได้ ถ้าเลือกกันดี ๆ ซึ่งคนธรรมดาที่มีเงินทองไม่มากนักก็พอที่จะเลือกซื้อมาเป็นเจ้าของได้ คราวนี้เราลองมามองถึงอุปกรณ์ชิ้นต่าง ๆ ของรถมือสองกันบ้าง ชื่อก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเป็นรถที่เคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ดังนั้นสภาพต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ต้องมีส่วนสึกหรอบ้าง จะมากบ้างน้อยบ้างก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานและเจ้าของรถเดิมว่าใช้รถถนอมแค่ไหน การเลือกซื้อรถยนต์ประเภทนี้ต้องคิดมากทีเดียว บางครั้งซื้อแล้วต้องมานั่งซ่อมอีก ซึ่งเป็นเรื่องไม่คาดคิดมาก่อนเพราะตอนแรกดูสภาพดีแต่เมื่อมาใช้งานจริงแล้วปัญหาต่าง ๆ กลับตามมาอย่างมากมายเพราะการขาดความเข้าใจและไม่รู้หลักในการเลือกซื้อรถยนต์ใช้แล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะถูกหลอกจากคนรู้จัก ท่านจึงควรมีความรู้เกี่ยวกับการเลือกซื้อรถยนต์ใช้แล้วบ้างเผื่อท่านคิดจะมีรถแบบนี้ไว้ใช้สักคัน
          ขั้นแรกต้องถามตัวเองว่ามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเครื่องยนต์ รถยนต์ ขนาดไหน เคยรู้บ้างไหมว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นมีหน้าที่อะไร ทำอะไรได้บ้างขนาดไหน เคยรู้บ้างไหมว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นมีหน้าที่อะไร ทำอะไรได้บ้าง ถ้าท่านมั่นใจว่าตัวเองมีประสบการณ์สูงในเรื่องนี้พอที่จะไปดูรถยนต์ด้วยตนเองและลองด้วยตัวเอง ท่านก็สบายใจได้ในขั้นตอนนี้ แต่ถ้าท่านไม่มีความรู้อะไรเลยขับเป็นอย่างเดียว  ในกรณีนี้ท่านต้องพึ่งช่างหรือผู้ที่มีความคุ้นเคยกับรถมากกว่าท่าน และมีความสนิทกันไว้ใจได้ ให้เขาพาท่านไปดูรถเพื่อความมั่นใจว่าท่านสามารถซื้อรถในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
          จำไว้เสมอว่าในการเลือกซื้อรถมือสองหรือการตรวจเช็ครถยนต์ต้องเป็นในเวลากลางวันเพื่อจะได้สามารถมองเห็นข้อบกพร่องได้ง่าย เมื่อท่านถูกใจและถูกเงินในกระเป๋าแล้ว สิ่งที่ท่านต้องตรวจดูด้วยกัน 3 แห่งคือ โครงตัวถัง,ช่วงล่าง,เครื่องยนต์
โครงตัวถัง
          โครงตัวถังนับเป็นส่วนประกอบส่วนแรกของรถยนต์ที่ท่านต้องตรวจดูก่อนเป็นอันดับแรก การตรวจนั้นจะเริ่มตั้งแต่ ดูแนวรางน้ำขอบหลังคารถยนต์ ถ้าหากว่างอหรือคดแสดงว่าเคยคว่ำมาแล้วอาจเสียศูนย์ ทรงตัวไม่ดี เป็นอันตรายมาก ในส่วนนี้ท่านต้องพยายามสำรวจให้ทั่วหลังคารถด้วยการมองทั้งทางด้านหน้ารถ-ท้ายรถ พยายามมองให้ดีเพราะส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าหลังคายุบหรือคดจะทำให้รถหมุนได้ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงหรือโดนลมปะทะแรง ๆ แต่ในบางครั้งรถที่เคยคว่ำก็อาจจะทำหลังคามาใหม่ทำให้มองไม่ออกเหมือนกัน ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบอีกที
-  ตรวจรอยสนิมกัดกินผุกร่อน บริเวณบังโคลนหน้า รอบดวงโคมไฟ ทั้งสองข้าง สนิมเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับรถยนต์ ซึ่งจะลามไปทั่วรถถ้าปล่อยทิ้งไว้ รอยสนิมจะเกิดได้มากที่สุดบริเวณบังโคลนหน้า แต่ในบางครั้งอาจจะถูกซ่อมมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นต้องตรวจดูด้วยการเอามือลูบบังโคลนด้านใน ซึ่งในส่วนนี้จะไม่สามารถปกปิดได้ เพราะจะมีร่องรอยการซ่อมหลงเหลืออยู่ใช้มือลูบก็จะพบ ท่านต้องพิจารณาว่าซื้อมาแล้วต้องเสียเงินซ่อมเพิ่มหรือไม่
-  ตรวจรอบโคมไฟท้ายทั้ง 2 ข้าง มีรอยสนิมมากน้อยเพียงใด ส่วนของไฟท้ายก็เป็นสนิมง่าย ต้องตรวจให้ละเอียดว่ามีรอยสนิมมากหรือน้อย และต้องเสียค่าซ่อมต่าง ๆ มากหรือไม่ ถ้าซื้อไปแล้วจะคุ้มมั้ย
- ตรวจรอยผุส่วนท้ายรถที่ขอบฝากระโปรง และที่ติดใกล้กับกันชน ต้องเปิดฝากระโปรงออกมาแล้วตรวจดูรอยสนิมให้ทั่วว่ามีหรือไม่ อาจจะเปิดส่วนท้ายด้วย พยายามตรวจให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ตรวจรอยผุบริเวณประตูรถตอนขอบด้านล่าง และที่ตัวถังของพื้นล่างสุด บริเวณประตูก็จะเกิดสนิมได้ง่ายเช่นกัน ต้องตรวจดูที่ประตูทุกบาน หารอยผุว่ามีมากหรือน้อย การเปิด-ปิดในส่วนต่าง ๆ ของขอบประตูและกระโปรงหลังทำได้สะดวกหรือไม่
- ตรวจดูใต้ท้องรถ อาจให้ยกรถขึ้นโดยใช้ขาตั้งแล้วท่านเข้าไปตรวจดูใต้ท้องรถ แต่อาจใช้วิธีเปิดพรมยางในรถทั้งหมด แล้วตรวจหาดูรอยผุหรือส่วนที่เสียหายต่าง ๆ
- ตรวจดูระบบท่อไอเสีย ให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่มีรอยแตกหรือสนิมกัดกร่อนจนเกือบจะผุพัง
ช่วงล่าง
          ช่วงล่างตรงนี้สำคัญมากในการเลือกซื้อรถใช้แล้ว เพราะช่วงล่างจะส่งผลต่อการขับขี่ ในด้านการทรงตัวขณะเลี้ยวหรือวิ่งด้วยความเร็วสูง ถ้าเครื่องช่วงล่างไม่ดีอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายเมื่อใช้รถ การตรวจช่วงล่างจะเริ่มตั้งแต่
- ในการตรวจช่วงล่างต้องยกรถให้สูงขึ้น เพื่อความสะดวกในการตรวจใต้ท้องรถและสามารถมองเห็นทุกจุดได้ชัดเจน ท่านควรตรวจใต้ท้องรถด้วยตัวท่านเองถ้าท่านพอมีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์บ้างโดยให้เริ่มตรวจตั้งแต่ห้องเกียร์ ช๊อคอัพ แหนบ พวงมาลัย เฟืองท้าย และช่วงล่างในส่วนอื่น ๆ ถ้ามีสิ่งใดที่สังเกตผิดจากธรรมดา เช่น มีน้ำมันไหลออกมาจากบางแห่งมีส่วนหัก บิด งอ แหนบซ้อนกันไม่เป็นระเบียบ ลองตรวจดูว่าการใช้งานเป็นเช่นไร แต่ขอแนะนำว่าการตรวจช่วงล่างขอให้เป็นหน้าที่ของช่างที่ชำนาญและท่านเป็นคนพามาจะดีกว่า เพราะในบางครั้งท่านดูเองอาจจะไม่ทราบเท่ากับช่าง
- เพลากลาง ท่านต้องลองเอามือจับเพลากลางและลองหมุนขยับกลับไปกลับมาว่ามีระยะหมุนฟรีมากเพียงใด ถ้ามีระยะฟรีมากนั่นแสดงว่าชิ้นส่วนต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนหลวม หรือหมดอายุการใช้งาน
- ตรวจดูยางทั้ง 5 เส้น ซึ่งหมายถึงยางอะไหล่ด้วยว่ามีการใช้งานมากน้อยเพียงใด ดอกยางสึกมากหรือน้อย จะต้องซื้อใหม่หรือไม่
- ตรวจระบบเบรก ด้วยการลองเหยียบเบรกหรือย้ำเบรกดูถ้าเหยียบเบรกจมมิดหายไปแสดงว่าเบรกไม่อยู่ หรือต้องย้ำเบรกหลายครั้งจึงจะเบรกอยู่ในส่วนนี้ต้องทดลองขับดู
- ตรวจดูเข็มไมล์ว่ารถใช้งานมามากน้อยเพียงใด ตรวจดูการสึกหรอของยางเบรกและคลัตซ์เปรียบเทียบกับตัวเลข ซึ่งอาจถูกแก้ไขจำนวนกิโลเมตรที่วิ่งก็ได้
- ตรวจพวงมาลัย ด้วยการหมุนกลับไปกลับมา เพื่อที่จะดูช่วงฟรี ของพวงมาลัยว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้ามีช่วงฟรีมากอาจจะเกิดจากชิ้นส่วนต่าง ๆ ของระบบบังคับเลี้ยวหลวม ก็ต้องเสียเงินเพิ่มมากขึ้นในการซ่อม
เครื่องยนต์
          เครื่องยนต์นับเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ทั่วไป ยิ่งในรถยนต์ใช้แล้วเครื่องยนต์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสมบูรณ์จะสามารถลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้มาก และยังเป็นการช่วยให้ผู้ใช้รถเกิดความสะดวกสบายมากขึ้นอีก การตรวจเครื่องยนต์นั้นจะเริ่มจากฝาครอบลิ้นด้านบน, ปะเก็บฝาสูบ,อ่างน้ำมันเครื่อง,เพลาข้อเหวี่ยงหน้าเครื่อง,ก๊อกถ่ายน้ำมันเครื่องซึ่งอยู่ในอ่างและตามท่อต่าง ๆ หม้อกรองน้ำมันเครื่องและอื่น ๆ อีก ฯลฯ
          ในส่วนนี้ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดตามจุดต่าง ๆ ข้างบน การเช็ดก็เพื่อจะตรวจดูรอยรั่วของส่วนประกอบด้านบนว่ามีน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นไหลซึมออกมาหรือไม่   ควรตรวจให้ละเอียดอย่างช้า ๆ เพราะ         เครื่องยนต์เป็นตัวจักรขับเคลื่อนต้องทำงานหนักที่สุดจึงควรสังเกตให้ดี เครื่องยนต์ที่ดีไม่ควรจะมีน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา ถ้ามีควรตรวจดูว่าเป็นส่วนไหนของเครื่องยนต์เป็นส่วนสำคัญหรือไม่ และรั่วมาจากสาเหตุใด เพราะแตกร้าว หรือประกันไม่ดีเพื่อจะได้คิดราคาค่าซ่อมได้ถูกต้อง
ส่วนที่ต้องตรวจต่อมาคือ ตรวจระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ อย่างเช่น หม้อน้ำ ตรวจดูรอยรั่วต่าง ๆ ข้อต่อที่มีปลอกเหล็กรัดดูว่ามีน้ำรั่วซึมหรือไม่ จุดที่ต้องตรวจดูก็คือ หม้อน้ำหรือรังผึ้ง,ท่อยางต่อเข้าเครื่องยนต์เพื่อถ่ายเทน้ำ,ท่อยางด้านล่างที่ต่อเข้าตัวปั๊ม มีพัดลมหมุนได้ด้วยสายพานจะต้องมีความตึงพอดี ไม่อย่างนั้นแล้วจะระบายความร้อนได้ไม่ดี
          ส่วนต่าง ๆ ที่บอกมาทั้งหมดนี้เป็นการตรวจเช็คสภาพรถยนต์โดยรวมและต้องตรวจตราอย่างถ้วนถี่โดยละเอียด ถ้าให้ดีควรให้ช่างมาตรวจสอบให้จะดีกว่าเพื่อความแน่นอน
การทดลองขับ
          เมื่อตรวจสอบในเรื่องของภายในและภายนอกของรถยนต์ทุกส่วนแล้วคราวนี้ก็คงต้องมาถึงการทดลองขับดูเพื่อเป็นการลองกำลังของเครื่องยนต์และการทำงานของระบบช่วงล่างว่าสามารถทำงานได้ดีมากน้อยแค่ไหน การทดลองขับนั้นจะทำให้ทราบถึงระบบชิ้นส่วนของรถยนต์ ระบบน้ำมันเชื้อเพลิง และระบบจุดระเบิดว่าสามารถใช้งานได้ดีหรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้ท่านต้องมีความชำนาญในการขับรถยนต์มาก่อน สิ่งที่สังเกตในการทดลองขับรถคือ
-  ระบบกันสะเทือนใช้ได้ดีหรือไม่ การทำงานอยู่ในสภาพใดเมื่อตกหลุมหรือเลี้ยวมีอาการผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีการสะเทือนมากแสดงว่าช็อคอัพหรือแหนบไม่ดี
- ลองเบรกห้ามล้อดูว่าใช้งานได้ดีหรือไม่ ระยะทำการเบรกกับการเหยียบเบรกมีความสัมพันธ์กันมากน้อยเพียงใด ถ้าเหยียบเบรกจมหายต้องย้ำหลาย ๆ ครั้งแสดงว่าเบรกมีปัญหาต้องตรวจเช็คเบรก
- ระบบส่งกำลังยังให้แรงดีหรือขัดข้องประการใด เมื่อขณะเร่งให้สังเกตว่าเครื่องยนต์ส่งกำลังมีความแรงขนาดไหน ทันอกทันใจหรือไม่การเข้าเกียร์ยากหรือเปล่า
- พวงมาลัยหนักเบาแค่ไหน สาเหตุอาจจะมาจากยางแบน แต่ถ้ายางไม่แบนก็อาจจะมาจากการเสียหายของชิ้นส่วนภายใน อันนี้ต้องตรวจเช็คให้ละเอียด
          ถ้าท่านเป็นผู้ชำนาญในการขับขี่จะสามารถสังเกตการผิดปกติของรถยนต์ได้ง่ายด้วยความรู้สึกของท่าน แต่ถ้าท่านไม่เป็นผู้ชำนาญควรให้ผู้ที่มีความรู้เป็นผู้ช่วยขับแทน
ในการซื้อรถยนต์ใช้แล้ว (มือสอง) สักคันหนึ่ง จะกลายเป็นการเพิ่มภาระหรือลดภาระของท่านนั้นขึ้นอยู่กับขั้นตอนต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นโดยที่ท่านเป็นผู้ตัดสินใจเลือกอีกครั้ง ท่านควรจะเลือกอย่างใจเย็นไม่ควรใจร้อน ให้ถือคติช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม เพราะถ้าขาดความรอบคอบแล้วท่านอาจจะได้รถที่ไม่ดี เมื่อเลือกซื้อรถยนต์ได้แล้วก็อย่าลืมดูแลรักษาให้ดีมีสภาพพร้อมใช้งานเนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้รถของท่านใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและยาวนานตามอายุการใช้งาน

ที่มา: http://www.asnbroker.co.th

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

แอร์ไม่เย็น หาสาเหตุ และวิธีแก้กัน #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

แอร์ไม่เย็น หาสาเหตุ และวิธีแก้กัน #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถ
แอร์ไม่เย็น หาสาเหตุ และวิธีแก้กัน #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

สวัสดีในช่วงหน้าร้อนครับ ASN Broker นำความรู้ดีๆมาอีกแล้วครับ ในช่วงร้อนแบบนี้ หลายคนมีปัญหากับแอร์รถ เราจึงนำความรู้มาฝากกันครับ
แอร์ไม่เย็น        ปัญหาเรื่องแอร์ไม่เย็นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะขับรถ  ทุกท่านที่ขับรถคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าอากาศบ้านเรามีมลพิษมากขึ้น  โยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษที่เกิดจากรถยนต์  ซึ่งนับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  ยิ่งในตัวเมืองด้วยแล้วยิ่งอันตรายมาก  เนื่องจากสภาพการจราจรที่ติดขัดและจำนวนรถก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ขาดความเอาใจใส่อย่างจริงจัง  ปล่อยให้รถที่มีมลพิษมากยังวิ่งได้อยู่ทุกวัน  ดังนั้นขณะขับรถ  ผู้ขับขี่ส่วนมากจะต้องเปิดแอร์เพื่อหนีมลพิษและเพื่อความเย็นสบาย  แต่ถ้าแอร์รถของคุณไม่เย็นก็อาจส่งผล  ทำให้คุณเครียด  หงุดหงิด  และเสียสมาธิได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามรถติด
คำแนะนำ
หลังจากเปิดแอร์แล้ว  จะมีน้ำไหลออกมาจากท่อน้ำทิ้งใต้ตู้แอร์แล้วหยดลงบน  พื้นถนน  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ  แต่ถ้าไม่มีน้ำหยดแสดงว่าท่อน้ำทิ้งอุดตันควรทำความสะอาดทันที  ถ้า ปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ  จะทำให้ตู้แอร์รั่วซึมได้

ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบปรับอากาศรถยนต์

1.   คอมเพรสเซอร์   ทำหน้าที่ดูดและอัดน้ำยาแอร์ให้มีความดันสูงขึ้นและทำให้น้ำยาแอร์หมุนเวียนในระบบ  ติดตั้งอยู่ที่เครื่องยนต์  อาศัยแรงขับจากเครื่องยนต์  ผ่านสายพาน  มักเรียกกันว่า   คอมแอร์

2.  คอนเดนเซอร์ ทำหน้าที่ระบายความร้อนน้ำยาแอร์ที่ออกจาก   คอมเพรสเซอร์         โดยอาศัยพัดลมระบายความร้อนหรือลมปะทะขณะรถวิ่ง

3.  รีซีฟเวอร์ -  ดรายเออร์  ทำหน้าที่ดูดความชื่น  กรองสิ่งสกปรกในน้ำยาแอร์และกักเก็บน้ำยาแอร์ให้มีปริมาณเหมาะสมกับการใช้งานในระบบ  ติดตั้งระหว่างคอนเดนเซอรืกับตู้แอร์  ที่ด้านบนจะมีตาแมวเพื่อใช้ดูว่าน้ำยาแอร์มีเพียงพอหรือไม่  นอกจากนี้บางรุ่นยังมีสวิตซ์ความดันติดตั้งอยู่ด้วย  สวิตช์นี้มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์เสียหาย  ถ้าความดันใ นระบบสูงหรือต่ำเกินไป          ชุดคลัตช์แอร์จะตัดการทำงานทันที

4.   ตู้แอร์           ติดตั้งอยู่ในห้องโดยสารบริเวณหลังแผงหน้าปัด  มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ
          1.  อีวาปอเรเตอร์        ทำหน้าที่เปลี่ยนอากาศร้อนให้อากาศเย็น
          2.     พัดลมตู้แอร์หรือชุดโบลว์เออร์ ทำหน้าที่ดูดอากาศร้อนภายในห้อง   โดยสารให้ผ่านอีวาปอเรเตอร์เป็นลมเย็นเป่าออกทางช่องลม
          3.  เอกซ์แพนชันวาล์ว     ทำหน้าที่ปรับความดันของน้ำยาแอร์มีคุณสมบัติในการดูด  ความร้อนจากอากาศ

5.   ชุดทำความร้อน      ใช้ความร้อนจากน้ำหล่อเย็นของเครื่องยนต์มาอุ่นให้อากาศร้อนขึ้นแล้วเป่าออกมาโดยพัดลม   ตามปกติใช้ในขณะอากาศหนาว


สาเหตุที่แอร์รถยนต์ไม่เย็นเกิดจาก
 1.ฟิวส์และรีเลย์ในวงจรเครื่องปรับอากาศชำรุด  และขั้วต่อสายไฟตามจุดต่าง ๆ  ต่อไว้ไม่แน่น 
2.สวิตช์ความดันสูง – ต่ำในระบบชำรุด  หรือขั้วต่อไม่แน่น  ทำให้คอม – เพรสเซอร์แอร์ไม่ทำงาน  ถ้าความดันในระบบสูงหรือต่ำเกินไป  คอมเพรสเซอร์ก็จะไม่ทำงานเช่นกัน  ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์แอร์เสียหาย
3.คลัตช์แม่เหล็กไม่ทำงาน  หรือสายไฟเข้าคลัตช์แม่เหล็กขาด
4.สายพานแอร์หย่อนเกินไปหรือขาด  ทำให้คอมเพรสเซอร์หมุนช้าหรือไม่หมุน
5.พัดลมไฟฟ้าของแอร์ไม่ทำงานหรือหมุนช้า  ทำให้ความร้อนที่คอน –เดนเซอร์  (  คอยล์ร้อน )  สูง  สาเหตุอาจเกิดจากแบตเตอรี่มีไฟไม่พอ  หรือตัวมอเตอร์พัดลมแอร์เริ่มเสื่อมสภาพ
6.มีเศษผงหรือสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ด้านหน้าคอนเดนเซอร์แอร์  ควรใช้ลมที่มีความดันไม่เกิน  10  ปอนด์ต่อตารางนิ้ว  เป่าทำความสะอาด  อย่าใช้ลมที่มีความดันสูงกว่านี้  เพราะอาจทำให้ครีบทที่คอนเดนเซอร์แอร์บิดงอ
7.ตัวเอ็กซ์แพนชัววาล์วเสียหรือเสื่อมสภาพ  ทำให้คอมเพรสเซอร์ แอร์ตัด – ต่อบ่อยเกินไป
8.ตัวรีซีฟเวอร์ -  ดรายเออร์เสื่อมสภาพ  ที่ด้านบนจะมีกระจกใสเพื่อตรวจดูน้ำยาแอร์ว่ามีเพียงพอหรือไม่    ถ้ากระจกใสหรือมีฟองอากาศเล็กน้อยแสดงว่าปกติ
9.น้ำยาแอร์รั่วซึมตามจุดต่าง ๆ เช่น  บริเวณข้อต่อ  รั่วที่ซีลดโอริง  รั่วที่คอนเดนเซอร์  (  คอยล์ร้อน )  รั่วที่บริเวณใต้ตู้แอร์  เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ภายในตู้ทำให้เกิดการผุกร่อน  ปัจจุบันตู้แอร์ส่วมมากทำด้วยอะลูมิเนียม  ถ้ามีน้ำขังอยู่จะทำให้ตู้แอร์รั่วได้ง่าย
10.คอมเพรสเซอร์แอร์เสื่อมสภาพ


น้ำยาแอร์รั่วตามจุดต่าง ๆ  เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์ไม่เย็น  จุดที่น้ำยาแอร์รั่วบ่อยได้แก่ตู้แอร์  เนื่องจากมีน้ำขังอยู่     วิธีตรวจว่าระบบปรับอากาศรถยนต์ทำงานปกติหรือไม่  ทำได้โดยติดเครื่องยนต์และเปิดแอร์  ใช้มือจับที่ท่อดูดจะเย็นหรือบางทีมีน้ำเกาะ  ส่วนที่ท่อจ่ายจะร้อน  ถ้าเป็นแบบนี้แสดงว่าระบบปรับอากาศทำงานตามปกติ


คำแนะนำ
หมั่นดูดฝุ่นภายในรถบ่อย ๆ และไล่น้ำออกจากตู้แอร์ทุกครั้งก่อนดับเครื่องยนต์ หลังจากปิดแอร์แล้ว  จะมีน้ำไหลออกมาจากท่อน้ำทิ้งใต้ตู้แอร์แล้วหยุดลงบนพื้นถนน  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ  แต่ถ้าไม่มีน้ำหยดแสดงว่าท่อน้ำทิ้งอุดตันควรทำความสะอาดทันที  ถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ  จะทำให้ดูแอร์รั่วซึมได้

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

เช็ครถหลังจากเดินทางไกล #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

เช็กรถหลังจากเดินทางไกล #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง
เช็ครถหลังจากเดินทางไกล #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า ก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวปีใหม่ที่ผ่านมา ก็ได้เตรียมรถให้พร้อม
ก่อนเดินทางไกลเป็นอย่างดีแล้ว แต่ครั้นเดินทางกลับมาจากท่องเที่ยวหรือไปต่างจังหวัด
มีความจำเป็นเพียงใดกับการเช็กสภาพรถยนต์หลังจากที่ได้ใช้งานมันมาอย่างหนัก
และถ้าจำเป็นที่จะต้องตรวจเช็กแล้ว เราจะต้องตรวจเช็กอะไร จุดไหนกันบ้าง

1. ตรวจสภาพรถ
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้ายและสังเกตอาการผิดปรกติต่างๆของตัวรถ
เพื่อแก้ไขได้ทันท่วงที อย่าลืมนะว่าช่วงที่ผ่านมาใช้งานมันหนักขนาดไหน
บางคนขับลุยป่าลุยเขามาหลาย ๆ คันขับกันเป็นพันๆ กิโลเมตร
แน่นอนว่าของเหลวพวกน้ำมันต่างๆ ย่อมเสื่อมประสิทธิภาพลงไป
หากเปลี่ยนถ่ายได้ก็จะเป็นการดี เช่น พวกน้ำมันเครื่อง เป็นต้น


2. ตรวจสภาพยางรถ
ถึงแม้ยางรถยนต์ของคุณจะเป็นยางใหม่ก็ตาม ดอกยางยังไม่เสื่อม
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดการบุบสลายของยาง ยิ่งรถที่วิ่งทางไกลและขับลุยเส้นทางโหดๆ
ขึ้นเขาลงห้วยมาด้วยแล้ว ควรจะตรวจเช็กสภาพยางด้วย ดีไม่ดีอาจจะเห็นรอยลึก
รอยปริแตก หรือไม่ก็เจอตะปูตำอยู่ก็เป็นได้


3. ตรวจเช็กระบบไฟ
ระบบไฟนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งตัวเอง
ผู้โดยสารและผู้คนที่ใช้เส้นทางร่วมกับคุณ
ควรตรวจเช็กไฟต่างๆ มีความพร้อมดีหรือไม่ ทั้งไฟส่องทาง ไฟสูง ไฟต่ำ ไฟเลี้ยว ไฟเบรก
รถเดินทางไกล

4. ตรวจเช็กระบบเบรก
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง รวมถึงผู้ใช้ถนนด้วยกัน
ยิ่งคุณใช้งานหนักมาจากการเดินทางไกลด้วย ดังนั้นควรตรวจเช็กสภาพเบรกให้มีประสิทธิภาพ
ถ้ารู้ว่าเบรกไม่ค่อยอยู่ก็ควรเข้าอู่หรือศูนย์ปรับตั้งเบรก หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าเบรกก็ต้องทำ


5. ตรวจเช็กหม้อน้ำ
น้ำในหม้อน้ำถือเป็นหัวใจสำคัญของรถ ยิ่งรถคุณมีอายุการใช้งานมากปีและขับขี่มาไกล
ระดับน้ำในหม้อน้ำอาจหดหาย หรืออาจจะเกิดชำรุดที่หม้อน้ำ ก็อาจจะส่งผลเสียใหญ่ตามมา
ดังนั้นนอกจากจะต้องตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำให้เป็นปรกติแล้ว ต้องสำรวจสภาพหม้อน้ำ ท่อยาง
เหล็กรัดท่อยาง ฝาหม้อน้ำด้วย ที่สำคัญควรตรวจเช็กระดับน้ำในหม้อน้ำเป็นประจำทุกวัน


6. ระบบอากาศ
เริ่มตั้งแต่ไส้กรองอากาศ ถอดมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย หากไส้กรองอากาศสกปรกมาก
นอกจากจะทำให้เครื่องยนต์หลวม และยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากอีกด้วย
รวมถึงการเช็กท่อยางดูดอากาศว่า มีรอย รั่วหรือชำรุดหรือไม่
หากรถคุณมีอินเตอร์และท่อยางอินเตอร์ก็ต้องตรวจดูด้วยว่าหลุดหลวมจุดใดบ้าง

เทคนิคและข้อแนะนำง่ายๆ เกี่ยวกับการเช็กรถหลังจากเดินทางไกล
ที่กองบรรณาธิการนำเสนอนี้ เป็นเรื่องง่ายๆ ที่สามารถจะนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
หากนำไปปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณเกิดความปลอดภัย
และประหยัดเงินในการดูแลบำรุงรักษารถยนต์ได้เลยทีเดียว

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย? #อุบัติเหตุบนท้องถนน #pantip #ประกันภัยรถยนต์

สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย? #อุบัติเหตุบนท้องถนน #pantip #ประกันภัยรถยนต์
สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย? #อุบัติเหตุบนท้องถนน #pantip #ประกันภัยรถยนต์

กระทู้ดังที่เตือนภัย ผู้ใช้รถใช้ถนน ในตอนนี้ โดย จขกท.เป็นผู้ประสบเหตุเฉียดตาย มาตั้งเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผุ้ใช้รถใช้ถนนครับ
“สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย”
เฉียดตายไปสักนิด แต่ได้คิดอะไรเยอะ คือ เรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้ครับ

กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ผมตั้งใจแบ่งปันลง Pantip อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะอยากให้เป็นประโยชน์ และแบ่งปันประสบการณ์ ให้ผู้คนที่
ต้องเดินทางบ่อยๆให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทนะครับ
...
สวัสดีวันปีใหม่ไทยครับ
วันนี้ผมมีประสบการณ์ “เกือบไป” มาเล่าให้ทุกท่านได้ฟัง
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาผมตื่นเช้ามาอย่างสดใสเช่นทุกๆ วัน
วันนั้นผมต้องเดินทางไปทำธุระที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งผมเลือกออกเดินทางช่วงสายๆ เพื่อเลี่ยงรถติด ทำธุระเสร็จราว 3-4 โมงเย็น ผมจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที ไม่อยากติดรถติดช่วงเย็น เพราะวันรุ่งขึ้นมีได้นัดพี่น้องทุกคนในบริษัทร่วมประชุมสรุปงานหลังจากจบงานใหญ่ของบริษัท
โดยส่วนตัวผมเป็นคนแข็งแรงมาก เล่นกีฬาแทบทุกชนิดตั้งแต่มัธยม เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงในทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวคือ “เรื่องเส้นทาง” (เพราะชอบหลงเป็นประจำ ทั้งไม่ค่อยชอบจำทางซะอีก^_^) จึงต้องพึ่งพาระบบนำทางบนมือถือเช่น Google Map / iMap อยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกันครับ ผมขับรถคนเดียว พึ่งพาระบบนำทางจากลพบุรีกลับกทม. โดยเลือกกลับเส้น ลพบุรี - บ้านแพรก (เส้นเลียบคลองส่งน้ำ) เพราะหนีรถติดและระยะทางสั้นกว่า ซึ่งเส้นนี้ผมก็เคยขับกลับอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยคุ้นนัก เพราะมักกลับเส้นหลักบ่อยกว่า

เปิดระบบนำทางเรียบร้อย เตรียมขับกลับ แต่ที่ต่างไปในทุกๆ ครั้งคือ “ผมไม่มีที่วางมือถือติดกระจกรถยนต์ (Hands-Free)” เนื่องจากอันเดิมที่ใช้ยางหลุด ชำรุดรัดไม่อยู่ ตั้งใจจะไปซื้อใหม่หลังจากเสร็จงานใหญ่ของบริษัท แต่มีธุระด่วนต้องมาลพบุรี เลยมาก่อนและก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะมั่นใจในการขับรถมากอยู่แล้ว (แต่ไม่มั่นใจทาง)

“แต่ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอครับ”
ผมขับมาถึงบริเวณ 3 แยกวัดชี้แวะ ด้วยความเร็วไม่มากนักน่าจะราว 100 กม./ชม. (ปกติเป็นคนขับรถเร็วครับ) ด้วยความไม่คุ้นทางผมจึงก้มดู GPS นำทางเสมอๆ (ไม่มี Hands-Free) และบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิต ผมมาเริ่มตรงนี้ครับ

“สติสำคัญที่สุด”
ด้านหน้าผมมีรถกระบะและรถอีกคัน ขับเรียงกันมาเนื่องจากเป็นถนนเลน 2 เลน ไม่มีใครเร่งแซงใคร ด้านซ้ายเป็นคลองส่งน้ำ เราขับกันมาถึงแยกวัดชี้แวะ รถกระบะคันหน้าเกิดเบรกกะทันหัน เพราะมีรถพุ่งออกมาตัดหน้าออกมาจาก 3 แยกและต้องการเลี้ยวขวาเข้าสามแยก รถคันต่อมาและผมรีบเบี่ยงออกซ้ายไปทางคันคลอง แต่ด้วยความที่รถผมเร็วกว่า เห็นว่าถ้าตามไปน่าจะชนรถคันที่สองตกคลอง ซึ่งคงเจ็บหนักหรือตาย คิดได้ดังนั้นสมองสั่งการทันทีให้หักขวาและเหยีบเบรกทันที ผลลัพธ์คือ รถคันที่สองรอดไปได้ รถที่ตัดหน้าหายไปกับกาลเวลา ส่วนรถผมมุมรถด้านขวา ชนเข้าเต็มๆ กับด้านซ้ายของรถกระบะคู่กรณี

“ชนแรงแค่ไหน?”
สำหรับผมนี่เป็นการขับรถชนที่แรงที่สุดในชีวิตและ “ใกล้ความตาย” ที่สุดครั้งนึงเช่นกันครับ เห็นภาพเป็นฉากๆ เหมือนในหนัง (Flash Back) เห็นเป็นเสี้ยววินาทีตั้งแต่ก่อนชน จนชน และเห็นภาพหน้าคนที่เรารักมากมายลอยมาตัดสลับฉาก เห็น Air Bag พุ่งออกมาปะทะหน้าแรงจนถุงลมนิรภัยแตก เห็นแก็สสีขาวฟุ้งเต็มรถ เห็นรถตัวเองหมุนจนเกือบตกคันคลอง ดีที่มีกราบเลนมาช่วยไว้ และเห็นคนมากมายอยู่บริเวณสามแยกนั้นที่คิดว่าเราคงตายไปแล้วหรือเจ็บหนัก แต่สุดท้ายกลับเกินลงมายิ้มได้ หลังจากนั่งอยู่ในรถร่วม 3 นาที เพราะมึนจาก Air Bag กระแทกหน้า และมัวหาแว่นที่กระเด็นไปเบาะหลังรถ
สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย
1.ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอ

2.ความประมาทเป็นหนทางสู่ความพลาดพลั้ง
-อย่าทะนงว่าเก่งว่าแน่จนเกินไป คนทุกคนพลาดได้เสมอ อุบัติเหตุครั้งนี้สิ่งสำคัญที่ทำให้ผมมีเวลาแก้ไขสถานการณ์น้อยลงคือ “การก้มดูเส้นทาง GPS บนมือถือ โดยไม่มี Hands-Free” แม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่เป็นเสี้ยววินาที ที่ชี้เป็นชี้ตาย เพราะถึงแม้คันหน้าเบรกกะทันหัน แต่เรามีเวลามากกว่านี้สัก 1 วินาที การชนอาจจะรุนแรงน้อยลงหรือไม่ชนได้

3.สติสำคัญที่สุด
-ในทุกๆ เรื่องครับ หากเรามีสติรู้ตัว สามารถดึงเอาความรู้ที่สั่งสมอยู่ในตัวเราออกมาใช้ จะผ่อนหนักเป็นเบาและแก้ไขสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี รถชนรอบนี้คนเห็นเหตุการณ์ต่างคาดว่าผมเจ็บหนัก หรือเสียชีวิต ทั้งจากสภาพรถ จุดเกิดเหตุ และการที่ผมนั่งนิ่งในรถราว 3 นาที ไม่มีใครเข้ามาดู เพราะกลัวเลือดและเกรงว่าจะมีเหตุอะไรตามมา จนเราเปิดรถออกมาได้ด้วยตัวเองคนดูเหตุการณ์รอบข้างและน้องรถกระบะถึงยิ้มได้และโล่งอก

4.อะไรเกิดขึ้นแล้วดีเสมอ
-แม้เกิดเหตุการณ์รถชน อุบัติเหตุหนักแค่ไหน ถ้าเรายังรอดชีวิตมาได้ อย่างไรก็ดีกว่าตายครับ และไม่มีประโยชน์อะไรกับการนั่งเป็นทุกข์ สิ่งแรกที่ผมทำหลังลงจากรถ คือ “ผมยกมือไหว้ขอโทษน้องคู่กรณี และยอมรับว่าผมผิดเองทันที” จากนั้นจากอุบัติเหตุ จึงกลายเป็นมิตรภาพ ถ่ายภาพและคลิปบันทึกเหตุการณ์ เรียกประกันภัยและถือโอกาสสายสัมพันธ์และรู้จักผู้คนใหม่ๆ แถมยังมีโอกาสมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ฟังอีก

5.อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง
-“ความผิดพลาดยิ่งใหญ่ มักเริ่มต้นจากการละเลยเรื่องเล็กๆ” ในเรื่องนี้ ถ้าเพียงผมไปซื้อ Hands-Free มาก่อน โดยไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ผมเชื่อว่า “ผมคงไม่มีประสบการณ์รถชนรุนแรงในครั้งนี้”

6.ในทุกๆ ที่ ล้วนมีน้ำใจดีๆ อยู่รอบข้าง
-หลังจากรถชนและรอดมาได้ ผมได้สัมผัสน้ำใจจากผู้คนมากมาย ทั้งน้องรถกระบะที่ผมขับชน ที่ทั้งยิ้มแย้ม ซื้อน้ำมาให้ ชาวบ้าน ที่ช่วยเรียกตำรวจและสายตรวจให้ ประกันภัยที่ทำงานรวดเร็ว มืออาชีพและรับผิดชอบ น้ำใจจากญาติผู้ใหญ่ที่แม้อยู่ห่างไกลหลายอำเภอก็ยังขับรถมาดูและช่วยส่งมายัง กทม. พี่ๆ ตำรวจ ที่มาดูแลและบริการและทำหน้าที่เป็นอย่างดี ตลอดจนเจ้าของอู่รถในบริเวณที่เกิดเหตุ ที่มีนำ้ใจให้สถานที่พักรอและคอยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร “น้ำใจ” คือสิ่งที่มีสเน่ห์ของคนไทยจริงๆ ครับ

7.ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตยาวรึสั้น หากมีความฝัน รีบทำมันให้สำเร็จ
-ชัดเจนครับ “เราไม่รู้ว่า วันพรุ่งนี้หรือวันสุดท้ายในชีวิตอะไรจะมาถึงก่อนกัน” อย่าหยุดที่จะฝัน ลงมือทำทุกๆ วัน และดูแลคนรอบข้างที่เรารักและรักเรา ชีวิตจะสั้นหรือยาวไม่รู้ได้ แต่หัวใจที่ดีและสิ่งที่เราทำในทุกๆ วัน จะเป็นสิ่งที่คงอยู่แม้เราจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ครับ

8.บางครั้งการทำสิ่งที่เราเห็นว่าไม่สำคัญ เพื่อคนสำคัญ มีคุณค่ากว่าที่เราคิด
-หลังเกิดอุบัติเหตุ แม้ผมมั่นใจมากว่าแข็งแรงไม่เป็นไร (ตื่นเช้ามายังวิดพื้นได้กว่า 180 ที) แต่ก็ยอมไปตรวจสุขภาพ (ถ้าเป็นสมัยเรียนจะไม่ไปเลย เพราะไม่มีตังค์ แถมยังไม่ฟังใคร ^_^) เพราะทั้งเพื่อน พี่ น้อง คนที่รักเรา และเรารัก ล้วนเป็นห่วง จนได้รู้ว่า “แม้เรามั่นใจว่าไม่เป็นไร แต่การทำให้คนที่เราเห็นเค้าสำคัญสบายใจ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยครับ” ตอนนี้แข็งแรง 100% ครับ จนหมอถามว่า รถชนจริงรึ? จนต้องโชว์ภาพว่าชนจริง kiki emoticon

9.การมีประกันภัย ประกันชีวิต ไว้บริหารความเสี่ยงสำคัญมาก
-รอบนี้ถ้าผมไม่มีประกันภัยและประกันชีวิต ค่าเสียหายน่าจะหลายแสนครับ การเสียประกันภัยชั้นหนึ่งปีละไม่กี่หมื่น คุ้มเกินคุ้มนะครับ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอครับ

10.ระบบถุงลมนิรภัย (Air Bag)และเข็มขัดนิรภัย (Safety Belt) ช่วยชีวิตได้จริงๆ
-มั่นใจว่าถ้าไม่มี 2 สิ่งนี้ แม้ผมจะไม่ตาย แต่คงพุ่งออกไปนอกรถ เดินทางทุกครั้งอย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัยนะครับ
สุดท้ายนี้ ขอให้ประสบการณ์ของผม เป็นเรื่องเรียนรู้สำหรับทุกท่าน
สุขสันต์วันสงกรานต์ ปีใหม่ เริ่มชีวิตใหม่
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
ในทุกสิ่งดี ที่ตั้งใจทำมันเต็มที่และเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมครับ

ปล. เกร็ดเพิ่มเติม
- รู้หลังชนว่าโค้งนี้เป็นโค้งอันตราย ในอดีตรถชนบ่อย ส่วนมากตายหรือสาหัส หลังตั้งศาลเหตุการณ์ดีขึ้น
- เคยอ่านหนังสือมาผ่านตาว่า “ถ้ารถชนให้เอามุมรถเข้าชน” เพราะเป็นส่วนที่แข็งที่สุดและไม่กระทบตัวเครื่องมาก พอเกิดเหตุการณ์นี้สำหรับผม “ใช้ได้ผลจริงครับ”
- สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่ ในที่เกิดเหตุถามหลังจากเห็นเราปลอดภัย คือ “ห้อยพระอะไร” คำตอบผมคือ “พระคุณพ่อแม่ครับ” ตัวเปล่าๆ ยึดมั่นในสิ่งดี กตัญญูรู้คุณบุพการี ผมว่าสิ่งนี้สำคัญกว่าห้อยพระใดๆ

- ผมเอารูป Selfie กับพี่ตำรวจ ครอบครัวน้องคู่กรณีที่น่ารัก มีน้ำใจ และพี่ประกันออกนะครับ เหลือเพียงรูปผมและรถที่เกิดเหตุครับ

ด้วยความปรารถนาดี และขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพครับ

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

วิธีตรวจความดันลมยางและเติมลมยาง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

วิธีตรวจความดันลมยางและเติมลมยาง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง
วิธีตรวจความดันลมยางและเติมลมยาง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

ความดันลมยางที่ไม่เหมาะสม  ไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในการขับรถ  ความสะดวกสะบาย  และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถของคุณเท่านั้น  แตการตรวจวัดความดันลมยางให้เหมาะสมอยู่เสมอยังช่วยลดปัญหารถยางแบนและยางแตกให้คุณด้วย  คุณจะลดความสิ้นเปล้องจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงเกินจำเป็นของรถได้จำนวนมาก  และยางจะมีอายุการใช้งานนานขึ้นเป็นปี.....โดยวิธีการท้งหมดประกอบด้วย
             ตรวจความดันลมยางเมื่อขับรถได้ประมาณ  50  กิโลเมตร
            ความดันลมยางจะวัดเป็นปอนด์ต่อสแควร์นิ้ว  (psi)   คุณควรตรวจสอบหาค่า  psi  ที่เหมาะสมสำหรับรถคุณ  และทำสติ๊กเกอร์ติดไว้ในรถบริเวณที่คุณสามารถเห็นได้ง่าย  (ซึ่งรถรุ่นใหม่มักมีไว้ใหห้แล้ว

            การใช้ที่วัดลมยางตรวจสอบ  psi  ของรถคุณ
            เปิดฝาจุกที่เติมลมยาง
            กดที่วัดลมยางลงไปจนกระทั่งเกิดเสียงฟู่แล้วจึงหยุด  เสียงฟู่นี้คืออากาศที่ออกจากยาง  ซึ่งจะไม่สร้าง  ความเสียหายใด ๆ  ต่อยางทั้งสิ้น  แต่จะปล่อยอากาศภายในยางบางส่วนทที่เกินอยู่ให้ออกมา
เข็มความดันลม   ควรพอดีกับ  psi  ที่เหมาะสมของยางรถคุณ
            ถ้าสูงเกินไปควรปล่อยความดันลมออก  โดยกดที่วัดลมยางลงไปอีกครั้ง
             ถ้าความดันต่ำเกินไป  ควรเพิ่มอากาศเข้าไปอีก  ( สถานีบริการมักมีที่ตรวจวัดความดันลมยางไว้บริการโดยไม่คิดเงิน)  หลังจากนั้นตรวจยางรถให้อยู่ในระดับ  psi  ที่เหมาะสมอีกที
             เปิดฝาจุกที่เติมลมยาง
             การเติมลม
             จอดรถให้พอดีกับเครื่องเติมลมยางในสถานีบริการ
            เปิดฝาจุกทที่เติมลมยาง
            นำสายยางเครื่องเติมลมยาง  กดลงบนที่เติมลมยางเพื่อให้อากาศแทรกตัวลงไป
             ใช้ที่วัดลมยางตรวจ  psi  ของยางรถคุณอีกครั้ง
            เมื่อเรียบร้อยแล้ว   จึงปิดจุกที่เติมลมยาง
ที่มา : http://www.asnbroker.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

ยางระเบิด ปัญหาร้ายแรงที่สุดขณะขับรถ #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

ยางระเบิด   ปัญหาร้ายแรงที่สุดขณะขับรถ #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง
ยางระเบิด ปัญหาร้ายแรงที่สุดขณะขับรถ #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง

ใกล้สงกรานต์เข้ามาเต็มทีแล้ว หลายๆท่านเริ่มวางแพลนออกต่างจังหวัดกันแล้วไม่มากก็น้อย ASN Broker นำความรู้เกี่ยวกับยางเวลาเดินทางไกลมาเป็นตัวช่วยเพื่อนๆกันครับ
ยางระเบิด -  ปัญหาร้ายแรงที่สุดขณะขับรถก็คือ   ยางระเบิด  ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณได้ตลอดเวลา  และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว  ผู้ขับขี่บางคนไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้  ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงและบางรายเสียชีวิต  ข่าวคราวเรื่องยางระเบิดจึงมีบ่อย  ๆ   แม้แต่ในต่างประเทศก็เกิดขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท  ให้คุณถือคติที่ว่า “ การป้องกันดีกว่าการแก้ไข  “   ก่อนนำรถออกใช้งานจึงควรตรวจสภาพของยางทุกเส้นว่าพร้อมที่จะใช้งานหรือไม่  ถ้าพบว่าผิดปกติก็ขอให้แก้ไขเสียก่อน  การตรวจสภาพยางนั้นใช้เวลาไม่นานนักคุณก็จะทราบได้
 อาการเบื้องต้นของยางที่เสื่อมสภาพมีดังนี้
 ลมอ่อนบ่อย ๆ  โดยไม่พบรอยรั่ว
มีอาการบวมที่แก้มยางหรือหน้ายาง เบรกรถที่ควรต่ำ  ยางมีเสียงดังคล้ายการเบรกอย่างรุนแรง ขณะเลี้ยวโค้งที่ความเร็วต่ำ  ยางมีเสียงดัง พวงมาลัยหรือตัวรถมีอาการสั่น  ทั้ง ๆ ที่ได้ทำการถ่วงล้อมาแล้ว  และโช็กอัปไม่เสีย

ถ้าพบอาการดังกล่าวมาแล้ว  ผู้เขียนขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนยางใหม่จะปลอดภัยกว่า

สาเหตุที่ทำให้ยางระเบิดขณะรถมีดังนี้
ยางหมดอายุการใช้งาน  เช่น  แก้มยางมีรอยแตกลายงา  บวม  ฉีกขาด  ดอกยางหมดสภาพ  เป็นต้น ยางเก่าเก็บ ขับรถโดยใช้ความเร็วเกินพิกัดยางที่กำหนดไว้ บรรทุกน้ำหนักเกินค่ากำหนด สูบลมยางไม่ถูกต้อง เปลี่ยนยางใหม่แต่ใช้จุ๊บเติมลมอันเก่า ยางร้อนจัดเนื่องมาจากเบรกติดที่ล้อใดล้อหนึ่ง  กรณีนี้อาจทำให้เกิดไฟไหม้รถได้

ข้อสังเกต
 ยางเปอเซ็นต์หมายถึงยางที่ใช้แล้ว  โดยร้านยางรับซื้อมาจากผู้ที่มาเปลี่ยนยางใหม่  จำนวนเปอเซ็นต์จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความลึกลับของดอกยางถ้าดอกยางสึกจนถึงสะพานยางซึ่งเป็นแถบอยู่ในร่องยาง  แสดงความลึกของดอกยางเหลือเพียง  1.6  มิลลิเมตร  ถือว่ายางเส้นนี้เท่ากับศูนย์เปอร์เซ็นต์  คุณควรเปลี่ยนยางใหม่ได้แล้ว  ไม่ควรใช้ต่อไป  เพราะอันตรายมาก  เนื่องจากยางไม่สามารถรีดน้ำได้ในขณะฝนตก  ทำให้รถไม่เกาะถนนและลื่นไถลได้ง่ายขณะเบรก
ร้านยางบางแห่งนำยางที่หมดดอกมาแกะใหม่แล้วนำมาขายในราคาถูก  ถ้าผู้ขับขี่ไปซื้อมาใส่รถอาจทำให้ยางระเบิดได้  มีวิธีสังเกตง่าย ๆ  ว่าร้านยางนำยางที่หมดดอกมาแกะใหม่หรือไม่  โดยดูที่ร่องดอกยาง  ถ้าไม่มีสะพานยางติดอยู่แสดงว่านำยางที่หมดดอกมาแกะใหม่  ต้องระวังให้ดี ผู้ขับขี่ซื้อยางเปอร์เซ็นต์มาใส่ เลือกใช้ยางไม่ถูกขนาด  เช่น  เอายางรถเก๋งมาใส่รถปิกอัป  เป็นต้น แก้มยางเสียดสีกับขอบถนน
 
อาการเตือนก่อนที่ยางจะระเบิด

ขณะที่คุณขับรถอยู่  ถ้าปรากฏว่าพวงมาลัยสั่นสะเทือนผิดปกติและบังคับรถได้ยากโดยเฉพาะในขณะเลี้ยว  ทั้ง ๆ  ที่ไม่มีปัญหาเรื่องถ่วงล้อและศูนย์ล้อหน้าก็เป็นปกติ  ลูกหมากไม่หลวม  ขณะขับมาตอนแรก ๆ  พวงมาลัยไม่สั่น  อาการนี้เป็นสิ่งบอกเหตุว่ายางรถยนต์เริ่มบวมพร้อมจะระเบิดแล้ว  ควรชะลอความเร็วและจอดรถในบริเวณที่ปลอดภัย  ลงจากรถ  แล้วรีบตรวจสภาพยางทันที  ซึ่งโดยส่วนมากจะพบว่ายางร้อนจัดและบวมเนื่องจากเสื่อมสภาพ

ที่มา http://www.asnbroker.co.th