วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย? #อุบัติเหตุบนท้องถนน #pantip #ประกันภัยรถยนต์

สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย? #อุบัติเหตุบนท้องถนน #pantip #ประกันภัยรถยนต์
สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย? #อุบัติเหตุบนท้องถนน #pantip #ประกันภัยรถยนต์

กระทู้ดังที่เตือนภัย ผู้ใช้รถใช้ถนน ในตอนนี้ โดย จขกท.เป็นผู้ประสบเหตุเฉียดตาย มาตั้งเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผุ้ใช้รถใช้ถนนครับ
“สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย”
เฉียดตายไปสักนิด แต่ได้คิดอะไรเยอะ คือ เรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้ครับ

กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ผมตั้งใจแบ่งปันลง Pantip อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะอยากให้เป็นประโยชน์ และแบ่งปันประสบการณ์ ให้ผู้คนที่
ต้องเดินทางบ่อยๆให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทนะครับ
...
สวัสดีวันปีใหม่ไทยครับ
วันนี้ผมมีประสบการณ์ “เกือบไป” มาเล่าให้ทุกท่านได้ฟัง
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาผมตื่นเช้ามาอย่างสดใสเช่นทุกๆ วัน
วันนั้นผมต้องเดินทางไปทำธุระที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งผมเลือกออกเดินทางช่วงสายๆ เพื่อเลี่ยงรถติด ทำธุระเสร็จราว 3-4 โมงเย็น ผมจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที ไม่อยากติดรถติดช่วงเย็น เพราะวันรุ่งขึ้นมีได้นัดพี่น้องทุกคนในบริษัทร่วมประชุมสรุปงานหลังจากจบงานใหญ่ของบริษัท
โดยส่วนตัวผมเป็นคนแข็งแรงมาก เล่นกีฬาแทบทุกชนิดตั้งแต่มัธยม เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงในทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวคือ “เรื่องเส้นทาง” (เพราะชอบหลงเป็นประจำ ทั้งไม่ค่อยชอบจำทางซะอีก^_^) จึงต้องพึ่งพาระบบนำทางบนมือถือเช่น Google Map / iMap อยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกันครับ ผมขับรถคนเดียว พึ่งพาระบบนำทางจากลพบุรีกลับกทม. โดยเลือกกลับเส้น ลพบุรี - บ้านแพรก (เส้นเลียบคลองส่งน้ำ) เพราะหนีรถติดและระยะทางสั้นกว่า ซึ่งเส้นนี้ผมก็เคยขับกลับอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยคุ้นนัก เพราะมักกลับเส้นหลักบ่อยกว่า

เปิดระบบนำทางเรียบร้อย เตรียมขับกลับ แต่ที่ต่างไปในทุกๆ ครั้งคือ “ผมไม่มีที่วางมือถือติดกระจกรถยนต์ (Hands-Free)” เนื่องจากอันเดิมที่ใช้ยางหลุด ชำรุดรัดไม่อยู่ ตั้งใจจะไปซื้อใหม่หลังจากเสร็จงานใหญ่ของบริษัท แต่มีธุระด่วนต้องมาลพบุรี เลยมาก่อนและก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะมั่นใจในการขับรถมากอยู่แล้ว (แต่ไม่มั่นใจทาง)

“แต่ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอครับ”
ผมขับมาถึงบริเวณ 3 แยกวัดชี้แวะ ด้วยความเร็วไม่มากนักน่าจะราว 100 กม./ชม. (ปกติเป็นคนขับรถเร็วครับ) ด้วยความไม่คุ้นทางผมจึงก้มดู GPS นำทางเสมอๆ (ไม่มี Hands-Free) และบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิต ผมมาเริ่มตรงนี้ครับ

“สติสำคัญที่สุด”
ด้านหน้าผมมีรถกระบะและรถอีกคัน ขับเรียงกันมาเนื่องจากเป็นถนนเลน 2 เลน ไม่มีใครเร่งแซงใคร ด้านซ้ายเป็นคลองส่งน้ำ เราขับกันมาถึงแยกวัดชี้แวะ รถกระบะคันหน้าเกิดเบรกกะทันหัน เพราะมีรถพุ่งออกมาตัดหน้าออกมาจาก 3 แยกและต้องการเลี้ยวขวาเข้าสามแยก รถคันต่อมาและผมรีบเบี่ยงออกซ้ายไปทางคันคลอง แต่ด้วยความที่รถผมเร็วกว่า เห็นว่าถ้าตามไปน่าจะชนรถคันที่สองตกคลอง ซึ่งคงเจ็บหนักหรือตาย คิดได้ดังนั้นสมองสั่งการทันทีให้หักขวาและเหยีบเบรกทันที ผลลัพธ์คือ รถคันที่สองรอดไปได้ รถที่ตัดหน้าหายไปกับกาลเวลา ส่วนรถผมมุมรถด้านขวา ชนเข้าเต็มๆ กับด้านซ้ายของรถกระบะคู่กรณี

“ชนแรงแค่ไหน?”
สำหรับผมนี่เป็นการขับรถชนที่แรงที่สุดในชีวิตและ “ใกล้ความตาย” ที่สุดครั้งนึงเช่นกันครับ เห็นภาพเป็นฉากๆ เหมือนในหนัง (Flash Back) เห็นเป็นเสี้ยววินาทีตั้งแต่ก่อนชน จนชน และเห็นภาพหน้าคนที่เรารักมากมายลอยมาตัดสลับฉาก เห็น Air Bag พุ่งออกมาปะทะหน้าแรงจนถุงลมนิรภัยแตก เห็นแก็สสีขาวฟุ้งเต็มรถ เห็นรถตัวเองหมุนจนเกือบตกคันคลอง ดีที่มีกราบเลนมาช่วยไว้ และเห็นคนมากมายอยู่บริเวณสามแยกนั้นที่คิดว่าเราคงตายไปแล้วหรือเจ็บหนัก แต่สุดท้ายกลับเกินลงมายิ้มได้ หลังจากนั่งอยู่ในรถร่วม 3 นาที เพราะมึนจาก Air Bag กระแทกหน้า และมัวหาแว่นที่กระเด็นไปเบาะหลังรถ
สรุป 10 สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์เฉียดตาย
1.ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอ

2.ความประมาทเป็นหนทางสู่ความพลาดพลั้ง
-อย่าทะนงว่าเก่งว่าแน่จนเกินไป คนทุกคนพลาดได้เสมอ อุบัติเหตุครั้งนี้สิ่งสำคัญที่ทำให้ผมมีเวลาแก้ไขสถานการณ์น้อยลงคือ “การก้มดูเส้นทาง GPS บนมือถือ โดยไม่มี Hands-Free” แม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่เป็นเสี้ยววินาที ที่ชี้เป็นชี้ตาย เพราะถึงแม้คันหน้าเบรกกะทันหัน แต่เรามีเวลามากกว่านี้สัก 1 วินาที การชนอาจจะรุนแรงน้อยลงหรือไม่ชนได้

3.สติสำคัญที่สุด
-ในทุกๆ เรื่องครับ หากเรามีสติรู้ตัว สามารถดึงเอาความรู้ที่สั่งสมอยู่ในตัวเราออกมาใช้ จะผ่อนหนักเป็นเบาและแก้ไขสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี รถชนรอบนี้คนเห็นเหตุการณ์ต่างคาดว่าผมเจ็บหนัก หรือเสียชีวิต ทั้งจากสภาพรถ จุดเกิดเหตุ และการที่ผมนั่งนิ่งในรถราว 3 นาที ไม่มีใครเข้ามาดู เพราะกลัวเลือดและเกรงว่าจะมีเหตุอะไรตามมา จนเราเปิดรถออกมาได้ด้วยตัวเองคนดูเหตุการณ์รอบข้างและน้องรถกระบะถึงยิ้มได้และโล่งอก

4.อะไรเกิดขึ้นแล้วดีเสมอ
-แม้เกิดเหตุการณ์รถชน อุบัติเหตุหนักแค่ไหน ถ้าเรายังรอดชีวิตมาได้ อย่างไรก็ดีกว่าตายครับ และไม่มีประโยชน์อะไรกับการนั่งเป็นทุกข์ สิ่งแรกที่ผมทำหลังลงจากรถ คือ “ผมยกมือไหว้ขอโทษน้องคู่กรณี และยอมรับว่าผมผิดเองทันที” จากนั้นจากอุบัติเหตุ จึงกลายเป็นมิตรภาพ ถ่ายภาพและคลิปบันทึกเหตุการณ์ เรียกประกันภัยและถือโอกาสสายสัมพันธ์และรู้จักผู้คนใหม่ๆ แถมยังมีโอกาสมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ฟังอีก

5.อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง
-“ความผิดพลาดยิ่งใหญ่ มักเริ่มต้นจากการละเลยเรื่องเล็กๆ” ในเรื่องนี้ ถ้าเพียงผมไปซื้อ Hands-Free มาก่อน โดยไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ผมเชื่อว่า “ผมคงไม่มีประสบการณ์รถชนรุนแรงในครั้งนี้”

6.ในทุกๆ ที่ ล้วนมีน้ำใจดีๆ อยู่รอบข้าง
-หลังจากรถชนและรอดมาได้ ผมได้สัมผัสน้ำใจจากผู้คนมากมาย ทั้งน้องรถกระบะที่ผมขับชน ที่ทั้งยิ้มแย้ม ซื้อน้ำมาให้ ชาวบ้าน ที่ช่วยเรียกตำรวจและสายตรวจให้ ประกันภัยที่ทำงานรวดเร็ว มืออาชีพและรับผิดชอบ น้ำใจจากญาติผู้ใหญ่ที่แม้อยู่ห่างไกลหลายอำเภอก็ยังขับรถมาดูและช่วยส่งมายัง กทม. พี่ๆ ตำรวจ ที่มาดูแลและบริการและทำหน้าที่เป็นอย่างดี ตลอดจนเจ้าของอู่รถในบริเวณที่เกิดเหตุ ที่มีนำ้ใจให้สถานที่พักรอและคอยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร “น้ำใจ” คือสิ่งที่มีสเน่ห์ของคนไทยจริงๆ ครับ

7.ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตยาวรึสั้น หากมีความฝัน รีบทำมันให้สำเร็จ
-ชัดเจนครับ “เราไม่รู้ว่า วันพรุ่งนี้หรือวันสุดท้ายในชีวิตอะไรจะมาถึงก่อนกัน” อย่าหยุดที่จะฝัน ลงมือทำทุกๆ วัน และดูแลคนรอบข้างที่เรารักและรักเรา ชีวิตจะสั้นหรือยาวไม่รู้ได้ แต่หัวใจที่ดีและสิ่งที่เราทำในทุกๆ วัน จะเป็นสิ่งที่คงอยู่แม้เราจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ครับ

8.บางครั้งการทำสิ่งที่เราเห็นว่าไม่สำคัญ เพื่อคนสำคัญ มีคุณค่ากว่าที่เราคิด
-หลังเกิดอุบัติเหตุ แม้ผมมั่นใจมากว่าแข็งแรงไม่เป็นไร (ตื่นเช้ามายังวิดพื้นได้กว่า 180 ที) แต่ก็ยอมไปตรวจสุขภาพ (ถ้าเป็นสมัยเรียนจะไม่ไปเลย เพราะไม่มีตังค์ แถมยังไม่ฟังใคร ^_^) เพราะทั้งเพื่อน พี่ น้อง คนที่รักเรา และเรารัก ล้วนเป็นห่วง จนได้รู้ว่า “แม้เรามั่นใจว่าไม่เป็นไร แต่การทำให้คนที่เราเห็นเค้าสำคัญสบายใจ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยครับ” ตอนนี้แข็งแรง 100% ครับ จนหมอถามว่า รถชนจริงรึ? จนต้องโชว์ภาพว่าชนจริง kiki emoticon

9.การมีประกันภัย ประกันชีวิต ไว้บริหารความเสี่ยงสำคัญมาก
-รอบนี้ถ้าผมไม่มีประกันภัยและประกันชีวิต ค่าเสียหายน่าจะหลายแสนครับ การเสียประกันภัยชั้นหนึ่งปีละไม่กี่หมื่น คุ้มเกินคุ้มนะครับ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอครับ

10.ระบบถุงลมนิรภัย (Air Bag)และเข็มขัดนิรภัย (Safety Belt) ช่วยชีวิตได้จริงๆ
-มั่นใจว่าถ้าไม่มี 2 สิ่งนี้ แม้ผมจะไม่ตาย แต่คงพุ่งออกไปนอกรถ เดินทางทุกครั้งอย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัยนะครับ
สุดท้ายนี้ ขอให้ประสบการณ์ของผม เป็นเรื่องเรียนรู้สำหรับทุกท่าน
สุขสันต์วันสงกรานต์ ปีใหม่ เริ่มชีวิตใหม่
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
ในทุกสิ่งดี ที่ตั้งใจทำมันเต็มที่และเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมครับ

ปล. เกร็ดเพิ่มเติม
- รู้หลังชนว่าโค้งนี้เป็นโค้งอันตราย ในอดีตรถชนบ่อย ส่วนมากตายหรือสาหัส หลังตั้งศาลเหตุการณ์ดีขึ้น
- เคยอ่านหนังสือมาผ่านตาว่า “ถ้ารถชนให้เอามุมรถเข้าชน” เพราะเป็นส่วนที่แข็งที่สุดและไม่กระทบตัวเครื่องมาก พอเกิดเหตุการณ์นี้สำหรับผม “ใช้ได้ผลจริงครับ”
- สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่ ในที่เกิดเหตุถามหลังจากเห็นเราปลอดภัย คือ “ห้อยพระอะไร” คำตอบผมคือ “พระคุณพ่อแม่ครับ” ตัวเปล่าๆ ยึดมั่นในสิ่งดี กตัญญูรู้คุณบุพการี ผมว่าสิ่งนี้สำคัญกว่าห้อยพระใดๆ

- ผมเอารูป Selfie กับพี่ตำรวจ ครอบครัวน้องคู่กรณีที่น่ารัก มีน้ำใจ และพี่ประกันออกนะครับ เหลือเพียงรูปผมและรถที่เกิดเหตุครับ

ด้วยความปรารถนาดี และขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น