เอาตัวรอดจาก 10 อุบัติเหตุรถที่เจอบ่อย #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง #ต่อประกันรถยนต์
สวัสดีครับ ASN Broker ก็ได้นำความรู้ดีๆ มาฝากกันอีกตามเคย เคยไหมที่เวลาขับรถก็จะเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ
โดยวันนี้ เราจะมาบอกวิธีเอาตัวรอด จากเหตุการณ์ 10 อย่าง ที่ประสบพบเจอได้บ่อยๆ เวลาขับรถ
แม้ใช้ความระมัดระวังในการเดินทางอย่างดีแล้ว แต่ก็อาจเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นได้จาก
หลายสาเหตุ การรับมือและแก้ไขที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสียหายลงได้
1.ยางแตก
เมื่อยางระเบิดหรือแตกกระทันหัน ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงความเร็วใด ต้องจับพวงมาลัยให้มั่นคง
พยายามรั้งไว้ให้ตรงทิศทาง อย่ากระชากเด็ดขาด ไม่ตกใจกดเบรกอย่างกระทันหัน
เพราะรถยนต์อาจหมุนปัดเป๋เสียการทรงตัวได้ ให้ถอนคันเร่ง
การลดความเร็ว สามารถใช้เบรกได้เพียงเบา ๆ และต้องเหยียบสลับกับการปล่อย
เพื่อไม่ให้น้ำหนักถ่ายลงด้านหน้ามากเกินไป ถ้ายางที่แตกไม่ใช่ล้อขับเคลื่อน
ก็สามารถใช้เกียร์ช่วยในการลดความเร็วได้
หากต้องการเปลี่ยนยาง ควรดึงเบรกมือก่อนการขึ้นแม่แรง ป้องกันรถยนต์ไหล
แต่ถ้ามีที่สูบลมติดรถยนต์ไว้ และยางที่แบนไม่ได้รั่วเป็นรูขนาดใหญ่
ก็สามารถสูบลมยางให้แข็งกว่าปกติสัก 5-10 ปอนด์/ตารางนิ้ว
และค่อย ๆ ขับต่อไปจนถึงร้านเปลี่ยนยางก็ได้
2.เบรกแตก
รถยนต์ทุกรุ่นในปัจจุบัน ใช้น้ำมันเบรกเป็นตัวถ่ายทอดแรงดันระหว่างการกดของเท้าไปยัง
ผ้าเบรก เสมือนเป็นระบบไฮดรอลิกชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงอาจมีการรั่วซึมขึ้นได้จากการรั่วของ
ลูกยางตัวใดตัวหนึ่งหรือท่อน้ำมันเบรกรั่ว การถ่ายทอดแรงดันก็จะสูญเสียลงไป
ระบบเบรกมักแบ่งการทำงานออกเป็น 2 วงจร อาจเป็นแบบล้อคู่หน้าและล้อคู่หลัง
หรือเป็นแบบไขว้ล้อหน้าซ้าย-ล้อหลังขวา และล้อหน้าขวา-ล้อหลังซ้าย
เผื่อว่าวงจรใดวงจรหนึ่งชำรุด เพื่อให้ระบบยังมีประสิทธิภาพการทำงานหลงเหลืออยู่บ้าง
ดังนั้น เมื่อเบรกแตกหรือน้ำมันเบรกเกิดการรั่ว
ส่วนใหญ่มักหลงเหลือประสิทธิภาพการทำงานอยู่หลายสิบเปอร์เซ็นต์ หรืออีกไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งในอีกวงจร
ตั้งสติให้มั่นคง เมื่อเหยียบแป้นเบรกลงไปแล้วลึกต่ำกว่าปกติ ต้องเหยียบซ้ำแรง ๆ และถี่ ๆ
เพื่อใช้แรงดันในวงจรที่เหลือยู่ ผ้าเบรกจะได้สร้างแรงเสียดทาน ขึ้นมาบ้าง
พร้อมกับการลดเกียร์ต่ำครั้งละ 1 เกียร์ จนกว่าจะถึงเกียร์ต่ำสุด แล้วค่อยใช้เบรกมือช่วย
โดยการกดปุ่มล็อกค้างไว้ให้สุด เพื่อไม่ให้เบรกจนล้อล็อก ดึงขึ้นแล้วปล่อยสลับกันไป
เพื่อลดความเร็ว ถ้าระบบเบรกชำรุดทุกวงจร ต้องใช้การลดเกียร์ต่ำช่วยเป็นหลัก
แล้วค่อยดึงเบรกมือช่วย เมื่อไล่ลงจนถึงเกียร์ต่ำสุดแล้ว
รถยนต์ที่ใช้ระบบเบรกที่มีเอบีเอส ถ้าต้องการเบรกกระทันหัน
อย่าเหยียบแล้วปล่อยสลับกันถี่ๆ แบบเทคนิคการเบรกในยุคเก่า เพราะเอบีเอสจะตัดการทำงาน
และไม่สามารถป้องกันการล้อล็อกได้ ต้องเหยียบลงไปให้แน่น ๆ แล้วควบคุมพวงมาลัยไปยัง
ทิศทางที่ควรจะไป นั่นคือวิธีที่ถูกต้องเมื่อต้องเบรกกระทันหันในรถยนต์ที่มีเอบีเอส
3.รถหลุดออกจากทาง
อาจเป็นเพราะหักหลบสิ่งกีดขวางอย่างกระทันหัน ทำให้ไถลออกนอกเส้นทาง
เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ควรตั้งสติให้มั่น ไม่ควรเหยียบเบรกอย่างแรง เพราะอาจทำให้ล้อล็อกหรือลื่นไถลจนเสียการทรงตัว
วิธีที่ถูกต้อง ควรลดความเร็วด้วยการแตะเบรกแล้วปล่อย พร้อมกับการลดจังหวะเกียร์
เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยในการชะลอความเร็วอีกเล็กน้อย นอกจากนั้น สายตายังต้องมองทาง
ไปข้างหน้า เพื่อหลบสิ่งกีดขวาง ไม่ควรหักหลบทันทีเพราะอาจพลิกคว่ำได้
4.คันเร่งค้าง
รถยนต์เกียร์ธรรมดา ให้ใช้เบรกในการชะลอความเร็วโดยไม่ต้องแตะคลัตช์
ให้ใช้คลัตช์เฉพาะในการเปลี่ยนเกียร์ เพื่อช่วยลดความเร็วลงเมื่อจำเป็น
และประคองรถยนต์เข้าสู่ไหล่ทางพร้อมกับใช้ปลายเท้าสอดเข้าใต้แป้นคันเร่งเพื่องัดขึ้น
หากแป้นคันเร่งไม่สามารถงัดขึ้นได้ ให้บิดกุญแจเพื่อดับเครื่องยนต์ แต่อย่าบิดกุญแจกลับไปจน
ถึงจังหวะที่พวงมาลัยล็อก และใช้เบรกชะลอความเร็วลงเรื่อย ๆ จนถึงไหล่ทาง
5.เครื่องยนต์ร้อนจัด-น้ำหม้อน้ำแห้ง
ถ้าไม่ได้เกิดจากการรั่วซึมผิดปกติ แต่เกิดจากการหลงลืมเติมน้ำหม้อน้ำ
ก็สามารถเติมน้ำเข้าไปให้เต็มได้ เพราะถ้ามีการรั่วเติมลงไปก็รั่วออกมาอีก
การเติมน้ำ ต้องมีเทคนิคและใจเย็น จอดรถยนต์หลบในที่ปลอดภัย ดับเครื่องยนต์
รอให้เครื่องยนต์เย็นลงบ้าง หาผ้าหนา ๆ และผืนกว้างพอสมควร เช่น ผ้ายางรองพื้นในรถยนต์
คุลมฝาหม้อน้ำให้มิด แล้วบิดออกเล็กน้อยก่อน เพื่อให้แรงดันภายในคลายตัวออกบ้าง
เมื่อแรงดันคลายตัวออกมามากในช่วงระยะเวลาประมาณ 2-3 นาที ค่อย ๆ เปิดฝาหม้อน้ำต่อ
ระวังไอหรือน้ำร้อนพุ่งขึ้นมา ต้องคลุมผ้าผืนหนาไว้ให้มิดชิดมาก ๆ
อย่ารีบเติมน้ำลงไปในทันที ต้องรอให้เครื่องยนต์คลายความร้อน อาจต้องรอถึงกว่า 20-30
นาที การเติมน้ำต้องเติมครั้งละนิด ไม่ควรเกินครึ่งลิตร แล้วทิ้งช่วงสัก 5 นาที เพื่อให้น้ำที่
เติมดึงความร้อนกระจายกันให้ทั่ว เพราะโลหะที่ร้อนจัดเมื่อถูกน้ำเย็นทันที
จะหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนร้าวหรือเสียหายได้
6.สายคลัชขาด-ปั๊มคลัชรั่ว
รถยนต์ที่ใช้ระบบเกียร์ธรรมดา ถ้าสายคลัตช์ขาดหรือปั๊มคลัตช์รั่ว ไม่ได้หมายความว่ารถยนต์จะ
แล่นไม่ได้เลย ยังสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อนำรถยนต์ออกจากพื้นที่เป็นระยะสั้น ๆ
โดยไม่ต้องเข็นหรือลากกันได้ไม่ยาก
วิธีปฏิบัติคือ ตรวจสอบว่าเส้นทางข้างหน้าต้องว่างไม่น้อยกว่า 10-20 เมตร ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า
ทุกชนิด เปิดสวิตช์กุญแจ เข้าเกียร์ 1 ไว้ กดคันเร่งประมาณ 1-2 ซม.
บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ค้างไว้
ตัวรถยนต์จะกระตุกเป็นจังหวะตามการหมุนของเครื่องยนต์และไดสตาร์ท เคลื่อนที่กระตุกไป
ทีละนิดจนกระทั่งเครื่องยนต์ทำงาน ก็กดคันเร่งลงไปมากขึ้นเพื่อเร่งความเร็ว เกียร์จะไม่สามารถ
เปลี่ยนได้ แต่สามารถใช้ความเร็วได้เกือบเต็มที่ของความเร็วสูงสุดของเกียร์ 1 คือ ประมาณ
30-40 กม./ชม. ถ้าเส้นทางข้างหน้าว่างก็สามารถขับไปได้เรื่อย ๆ เมื่อต้องเบรก
ก็กดแป้นเบรกลงไปเท่านั้น ปล่อยให้เครื่องยนต์ดับแล้วค่อยเริ่มออกตัวใหม่
7.เมื่อมีรถยนต์แล่นสวนเข้ามาในเลน
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะในการขับบนถนน 2 เลนสวนกัน
ขั้นแรกควรลดความเร็วลง แต่อย่ามากเกินไปจนรถที่ตามมาด้านหลังชนได้ มองกระจกด้านซ้าย
เพื่อหาหนทางหนีทีไล่ พร้อมกระพริบไฟสูงและบีบแตรเตือนและเบี่ยงออกทางเลนซ้าย
ไม่ควรหลบข้ามเลยไปในช่องทางของรถยนต์ที่แล่นสวนมา
เพราะบ่อยครั้ง คนขับเพิ่งรู้สึกตัวแล้วหักหลบเข้ามาจนทำให้เกิดการชนกันได้
8.กระจกหน้าแตก
มักไม่ค่อยมีปัญหา หากกระจกหน้าเป็นแบบลามิเนท 2 ชั้น ซึ่งมีแผ่นฟิล์มเหนียวคั่นกลาง
เพราะจะไม่ร่วงเป็นเม็ดข้าวโพดเหมือนกระจกแบบเทมเปอร์ชั้นเดียว
โดยแผ่นฟิล์มเหนียวตรงกลางจะเป็นตัวยึดไม่ให้เศษกระจกแยกออกจากกัน
จึงทำให้พอมองทะลุผ่านและขับต่อไปได้ไกล
ถ้าเป็นกระจกแบบเทมเปอร์ จะแตกรวดเร็วมาก เพียงจุดแตกเล็ก ๆ ทำให้เนื้อกระจกสูญเสีย
ความแข็งแรง และเกิดรอยร้าวทั่วแผ่นเป็นฝ้าขาวจนไม่สามารถมองผ่านได้
ผู้ขับจึงต้องตั้งสติให้มั่นและค่อย ๆ ชะลอความเร็ว แล้วเบี่ยงรถยนต์เข้าสู่ไหล่ทาง
ถ้าเหลือกระจกติดที่ขอบ ให้ใช้ไม้หุ้มผ้าหนาๆ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ในการกระแทกเศษ
กระจกที่ยังติดอยู่บนขอบออกให้หมด โดยควรหากระดาษหรือผ้ารองบนแผงหน้าปัดและฝา
กระโปรงหน้า เพื่อป้องกันเศษกระจกหล่นลงไปในช่องแอร์หรือขูดขีดสีตัวถัง
ขณะที่ขับรถยนต์ที่ไม่มีกระจกบังลมหน้า ควรปิดกระจกทุกบาน การเปิดระจกหน้าต่างทำให้ลมมา
ปะทะกับคน และทำให้รถยนต์มีการทรงตัวไม่ดีจากลมที่ไหลผ่าน
ถ้ามีแผ่นกันแดดหรือแว่นสายตาก็ควรนำมาใส่ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและเศษกระจกที่อาจค้างอยู่
9.สิ่งของตกอยู่บนถนน
ไม่ควรแล่นทับ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายได้ ขั้นแรกควรลดความเร็ว
หากช่องทางทั้งซ้าย-ขวาไม่มีรถยนต์แล่นตามหลังมา ให้หักหลบโดยพยายามเบี่ยงให้น้อยที่สุด
เพราะการหักหลบมาก ๆ ในขณะที่ขับเร็ว รถยนต์อาจหมุนหรือปัดเป๋ได้
หากเลี่ยงไม่ได้ หลังการทับหรือชน ควรจอดรถและตรวจสอบชิ้นส่วนใต้ท้องรถว่า
มีความเสียหายเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น คันชัก คันส่ง ท่อส่งเชื้อเพลิง ถังน้ำมัน ยาง ฯลฯ
10.สัตว์ขวางทาง
ควรลดความเร็ว แต่ไม่ควรเบรกอย่างรุนแรงหรือหักหลบทันที เพราะอาจทำให้รถยนต์พลิกคว่ำได้
และไม่ควรหักหลบไปในช่องทางที่มีรถแล่นสวนมา หากไม่เร่งรีบ ควรปล่อยให้สัตว์เหล่านั้น
เดินจนพ้นจากถนน ไม่ควรบีบแตรไล่เพราะอาจทำให้ตกใจและหันมาทำอันตรายได้
การแซงควรเลี้ยวไปด้านหลังของสัตว์ เพราะการตัดหน้าจะทำให้สัตว์ตกใจและเตลิด
อันตรายต่อรถยนต์ในช่องทางอื่น
ที่มา http://www.asnbroker.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น