วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

7 วิธี ขับประหยัดกับเกียร์ ออโต้ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



7 วิธี ขับประหยัดกับเกียร์ ออโต้ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

ช่วงนี้แม้ราคาน้ำมันอาจจะลงไปแล้วหลังนโยบายรัฐบาลตัดสินลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันส่งผลให้ราคาทรุดฮวบไปในทันใด
แต่ถึงจะเริ่มวางใจได้แต่นโยบายนี้ก็เปิดมาแล้วว่าเป็นเพียงแค่ชั่วคราว และการประหยัดที่แท้จริงยังอยู่กับเราๆท่านๆเหมือนเดิม
หลายครั้งที่เราออกมาพูดเรื่องการประหยัดน้ำมันปาวๆ ทำโน่นนี่นั่น แต่ครั้งนี้เราจะต่างออกไปด้วยการพูดถึงเทคนิคการขับเสียส่วนใหญ่
ที่คราวนี้เราขอตามกระแสกับ 7 เทคนิคที่คุณต้องรู้เอาไว้ ถ้าคุณกำลังใช้รถเกียร์อัตโนมัติ
 
 
 
 
 
 
 
 
1.รู้จักรถยิ่งขับยิ่งประหยัด เราหลายคนรู้จักรถดีขับมันทุกวันแต่ไม่คุ้นเคยกับนิสัยของมันเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่น่าแปลก
เพราะการขับขี่นั้นจำเป็นต้องรู้จักรถให้ดี สิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำคือช่วงที่แรงบิดสูงสุดถูกเรียกออกมา ซึ่งจะมีประโยชน์มากยามเร่งแซง
2.Walking Speed หลายคนที่ขับรถนั้นไม่ค่อยคุ้นกับคำนี้เท่าไรนักแต่ walking Speed
นั้นหมายถึงการที่รถยนต์สามารถเคลื่อนได้ด้วยตัวเองโดยที่เราไม่ต้องแตะคันเร่ง ตามปกติสำหรับแล้ว
Walking speed คือสิ่งที่เราทำกันอยู่ประจำยามที่เราไม่ได้เดินคันเร่ง ซึ่งมีประโยชน์ตอนที่กาจราจรติดขัดหรือตอนเข้าที่จอดรถ เพราะยิ่งเร่งน้อยก็ยิ่งประหยัด
3 เกียร์ L ขึ้นทางชันรับรองว่าประหยัดกว่า ในการขึ้นทางชันนั้นเราหลายคนมักละเลยในการเปลี่ยนโหมดเกียร์มาใช้เกียร์ L
ด้วยความสะดวกเข้าว่า ความจริงแล้วถามว่าผิดหรือคำตอบคือไม่ แต่มันไม่เหมาะสม เพราะเกียร์ D นั้นจะทำการเปลี่ยนเกียร์
แต่ในการขึ้นทางชันที่แรงต้านทานจากเนินสูง โดยเฉพาะการขึ้นที่จอดรถ การใช้เกียร์ L
โดยใช้กำลังแรงบิดเครื่องส่งขึ้นนั้นจะทำให้รถไม่ต้องออกแรงสู้กับเนินมากผลคือประหยัดกว่า ชัวร์!
4.คิกดาวน์อย่าทำบ่อยถ้าไม่จำเป็น การคิกดาวน์ในเกียร์อัตโนมัตินั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสร้างความสะดวกสบาย
ในการเร่งแซง แต่มันก็ต้องแลกมาดัวยอัตรากินน้ำมัน ซึ่งแม้ระบบเกียร์ปัจจุบันจะมีการพัฒนาให้ตอบสนองได้ดีส่งกำลังได้มากยิ่งขึ้น
แต่การคิกดาวน์ก็ยังเปรียบได้ดั่งการกระชากเกียร์อยู่ดี
หลายคนที่ขับเกียร์อัตโนมัติเข้าใจว่าการคิกดาวน์นั้นเป็นหนทางเดียวที่เร่งแซง แต่ความจริงแล้วนอกจากที่ปลายเท้าแล้วยังมีการใช้ระบบ
Overdrive หรือ O/d ซึ่งทำให้เกียร์เปลี่ยนอย่างนิ่มนวลมากกว่าการคิกดาวน์หรือบางคันเป็นตำแหน่ง 3/D3 ตามแต่ยี่ห้อรถ
5 คันเร่งเดินให้เนียน หลายคนที่ไม่ได้ฝึกขับรถอย่างจริงจังนั้นมักจะไม่ทราบว่าการเดินคันเร่งนั้น เป็นเรื่องสำคัญยิ่งชีพในการพิชิตความ
ประหยัดที่จะใช้น้ำมันทุกหยดให้คุ้มค่า การใช้คันเร่งนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากในรถเกียร์ออโต้ เพราะเมื่อเรากดคันเร่งลึกไประบบเกียร์ก็
จะคิกดาวน์หรือน้อยไป รถก็วิ่งแบบคลานๆ เราต้องหาความพอดี โดยอาจจะใช้วิธีกดเร่งไปถึงระดับความเร็วที่ต้องการก่อนแล้วผ่อนรักษา
ความเร็ว ซึ่งก็เป็นวิธีหนึ่งที่ให้การประหยัดน้ำมันที่ดีทีเดียว และที่สำคัญไปกว่านั้นพยายามรักษาความเร็วให้คงที่ตลอดทาง หากรถคุณมี
ระบบ Cruise Control อย่าลืมที่จะใช้มันในการขับขี่
6.เบรคให้น้อยชะลอบ่อยๆ เราหลายคนที่ขับรถยนต์เกียร์ออโต้ที่ชินกับการเร่งและเบรคนั้น อาจจะไม่ค่อยมีสไตล์การขับขี่ที่ใช้วิธี
ชะลอความเร็วเหมือนคนที่ขับรถเกียร์รรมดา ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากความคุ้นเคย แต่เชื่อหรือไม่การชะลอความเร็วโดยไม่เบรคนั้น
เป็นหนึ่งในกระบวนการของวิธีประหยัดน้ำมันด้วย

เรื่องนี้ฟังดูไม่น่าเกี่ยวกันแต่มันคือข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อเราเบรคลดลมจากท่อไอดีจะถูกดูดมาที่หม้อลมเพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์
ซึ่งจะมีอัตราลดลงมากกว่าการที่เราไม่เหยียบคันเร่งหรือชะลอความเร็ว นี่ยังไม่นับการสูญเสียน้ำมันกับการเร่งเมื่อความเร็วลดลงกว่าที่
ขับปติ ซึ่งเท่ากับการซดน้ำมัน 2 เท่าตัว
7.หัดใช้เทคโนโลยีใหม่ ปัจจุบันรถยนต์เกียร์ออโต้หลายรุ่นเริ่มมีการติดตั้งระบบ start/stop function
เข้ามาเพื่อหยุดการทำงานเครื่องยนต์ชั่วคราว ระบบนี้ช่วยคุณประหยัดได้มาก-มาที่สุดในสภาวะการจราจรที่ติดขัด
เพราะเมื่อเครื่องยนต์หยุดทำงานก็หยุดจ่ายน้ำมัน ผลคือประหยัดแน่นอน ดังนั้นจึงควรเรียนรู้ไว้
โดยปกติแล้วระบบดังกล่าวจะทำงานเมื่อเราเหยียบแป้นเบรคเป็นระยะเวลานานๆ ส่วนวิธีการรีสตาร์ทเครื่องนั้นก็เพียงกดคันเร่งก็สามารถขับขี่ต่อได้
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายระบบที่สำคัญต้องลองหัดดูครับ
ทั้ง 7 ข้อนี้เป็นเพียงเรื่องราวเล็กๆน้อยๆที่ช่วยให้คุณสามารถเซฟเงินในกระเป๋าได้เมื่อขับรถเกียร์ออโต้
ที่แม้ราคาน้ำมันในชั่วโมงนี้อาจจะยังไม่น่าห่วงแต่ฝึกเอาไว้ให้ชินจะมีประโยชน์มากเมื่อยามน้ำมันกลับมาแพง
 
ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen ,
Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress
 , Asn Broker Journal Blog
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ลดหย่อนภาษี วิธีไหนดีสุด? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



ลดหย่อนภาษี วิธีไหนดีสุด? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

ใครที่มีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 246,300 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 20,525 บาท รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี
แต่ถ้าเกินกว่านี้ต้องเริ่มคิดวิธีประหยัดภาษี
ก่อนอื่นมาลองดูกันก่อนว่ารายได้ของคุณจะต้องเสียภาษีเท่าไหร่  (ภาพนี้ช่วยให้เห็นตัวเลขภาษีที่คุณต้องเสียได้ชัดเจนมาก)
http://macroart.net/wp-content/uploads/2013/05/personal-income-tax-summary.jpg
จาก ตารางนี้ มีการหักลดหย่อนทั่วไป ลดหย่อนส่วนตัว และประกันสังคม ซึ่งเป็นการลดหหย่อนมาตรฐานที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนได้เหมือนๆ กัน
(คนทำงานอื่นๆจ่ายประกันสังคมต่างไปจากนี้) แต่ยังมีการลดหย่อนอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ลดหย่อนคู่สมรส ลดหย่อนบุตร ลดหย่อนบิดา-มารดา ประกันชีวิต ดอกเบี้ยกู้บ้าน เงินบริจาค LTF RMF บ้านหลังแรก รถคันแรก ฯลฯ โดยในที่นี้ผมจะขออธิบายเฉพาะการลดหย่อนที่ทุกคนสามารถทำได้ง่ายคือ เงินบริจาค ประกันชีวิต LTF และ RMF เท่านั้น

เงินบริจาค

ถ้าวัดด้วยผลตอบแทนเป็นตัวเงินที่จะกลับมาหาคุณในอนาคตแล้ว วิธีนี้ถือว่าแย่สุด เพราะเงินบริจาคคือเงินที่คุณเสียไปเลย ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรกลับมานอกจาก “บุญ” และค่าลดหย่อนภาษีอีกเล็กน้อย เช่น ถ้าฐานภาษีของคุณอยู่ที่ 10% การบริจาคเงิน 10,000 บาท จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้ 1,000 บาท เสมือนว่าคุณทำบุญด้วยเงิน 9,000 บาท และรัฐช่วยโปะให้อีก 1,000 บาท
ในกรณีที่คุณบริจาคเงินให้สถานศึกษา คุณจะมีสิทธิ์คิดลดหย่อนได้สองเท่า เช่น ฐานภาษี 10% บริจาคให้โรงเรียน 10,000 บาท จะช่วยให้ประหยัดภาษีได้ 2,000 บาท
การนำยอดเงินบริจาคมา คิดลดหย่อนสามารถทำได้ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ เช่น เงินได้สุทธิ 500,000 บาท จะนำยอดเงินบริจาคมาคิดได้ไม่เกิน 50,000 บาท (ถ้าเป็นสถานศึกษาก็คือ 25,000 บาท เพราะเมื่อคิดสองเท่าก็คือ 50,000 บาท)
การบริจาคเงินเพื่อให้ได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี จะต้องบริจาคตามรายชื่อที่สรรพากรกำหนด และต้องมีใบเสร็จหรือใบอนุโมทนาเป็นหลักฐานด้วย ดูรายชื่อสถานศึกษา มูลนิธิ สมาคม สถานสาธารณกุศล สถานสงเคราะห์ สถานพักฟื้นบำบัดและฟื้นฟูเด็ก คนชรา คนพิการ
แม้การบริจาคจะไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงินกลับมาในอนาคต แต่การบริจาคช่วยให้สังคมดีขึ้นโดยมีการลดหย่อน ภาษีเป็นของแถมเล็กๆ น้อยๆ
การบริจาคคือการที่คุณ “เลือกเอง” ว่าจะให้เงินภาษีของคุณไปช่วยสังคมในด้านไหน นอกนั้นแล้วรัฐและนักการเมืองจะเป็นผู้เลือก

ประกันชีวิต

ประกันแบบออมทรัพย์และประกันแบบบำนาญ สามารถนำเบี้ยที่จ่ายในแต่ละปีมาลดหย่อนภาษีได้
โดยสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท แปลว่าถ้าคุณมีฐานภาษี 10% จ่ายเบี้ยประกันปีละ 300,000 บาท คุณสามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 30,000 บาทเลย
นอกจากนี้ ประกันชีวิตบางแบบ ยังมีเงินจ่ายคืนทุก 2 ปี หรือ 3 ปี หรือ 5 ปี และจ่ายคืนให้ก้อนใหญ่เมื่อครบสัญญาด้วย ซึ่งเมื่อคำนวณดูแล้ว ผลตอบแทนมักจะเป็นบวกครับ (ได้คืนมามากกว่าที่จ่ายออกไป) ดูวิธีคำนวณได้จากบทความเรื่อง “ประกันออมทรัพย์ผลตอบแทนมากกว่า 100% มีจริงหรือ?”
โดย 100,000 บาทแรก สำหรับประกันชีวิตแบบทั่วไป , 200,000 ต่อมาต้องเป็นประกันชีวิตแบบบำนาญเท่านั้น (นโยบาย เพื่อสนับสนุนการเก็บเงินเพื่อการเกษียณ)
การซื้อประกันชีวิตที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ จะต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 10 ปี
กรมธรรม์ที่พ่วงประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุ หรือ อื่นๆ ค่าเบี้ยประกันที่พ่วงมานั้นไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษี ได้
ชื่อเรียกประเภทกรมธรรม์มักเป็นตัวเลขสองชุด เช่น 15/7 ตัวเลขน้อยกว่าหมายถึงจำนวนปีที่ต้องจ่ายเบี้ย
ตัวเลขมากกว่าหมายถึงจำนวนปีของอายุกรมธรรม์ 15/7 จึงหมายถึงจ่ายเบี้ยติดต่อกัน 7 ปี กรมธรรม์มีอายุคุ้มครอง 15 ปี
(ถ้าตายใน 15 ปี ทายาทจะได้รับเงินชดเชย) ควรเลือกกรมธรรม์ที่ตัวเลขสองชุดใกล้เคียงกัน เช่น 15/15 คือจ่ายเบี้ยเท่าระยะเวลาประกัน เพราะถ้าเลือกแบบตัวเลขห่างกัน เช่น 20/5 คือจ่ายเบี้ยแค่ 5 ปี แต่ประกันนานถึง 20 ปี แบบนี้ค่าเบี้ยที่จ่ายไปจะเป็นค่าความคุ้มครองเยอะ ทำให้ผลตอบแทนที่เป็นเงินจ่ายคืนกลับมาน้อยลง และไม่ควรเลือกที่ตัวเลขเยอะมาก เช่น 99/20 เพราะเป็นประกันตลอดชีพ เรามักไม่ได้เงินคืนกลับมาใช้เอง แต่ทายาทเราได้แทน
การจ่ายค่าเบี้ย ควรเลือกจ่ายแบบรายปี (กรณีมีเงินเย็ตไม่ได้นำไปหมุนเวียนธูรกิจ แต่ลักษณะการจ่ายจะเป็นตรงกันข้าม กรณีมีวิธีการนำเงินไปลงทุนอื่นที่ให้ผมตอบเเทนสูงกว่า เช่น ซื้อหุ้นถูกตัว ฯลฯ )เพราะได้รับส่วนลดประมาณ 5% เมื่อเทียบกับการจ่ายแบบรายเดือน(กรุงเทพประกันชีวิต เเบบรายเดือน เบี้ยประกันเเพงกว่ารายปี 8%) อาจจะใช้วิธีหักจากเงินเดือนทุกเดือนแล้วฝากเข้าบัญชีธนาคารที่ให้ดอกเบี้ย สูง เช่น ค่าเบี้ยรายปี 90,000 บาท หรือเฉลี่ย 7,500 บาทต่อเดือน พอได้เงินเดือนมาปุ๊บ ก็หัก 7,500 บาทเข้าบัญชีธนาคารเลย แบบนี้ทำให้ได้ดอกเบี้ยเป็นของแถมด้วย

LTF

กองทุนรวมหุ้นระยะ ยาวหรือ LTF เป็นเครื่องมือที่รัฐใช้สร้างเสถียรภาพให้กับตลาดทุน โดยการระดมเงินจากประชาชนเพื่อนำไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การออกมาตรการจูงใจโดยให้ผู้ซื้อ LTF สามารถลดหย่อนภาษีได้ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี จึงช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในตลาดทุน ไม่ย้ายไปที่อื่นได้ง่ายๆ
การ ซื้อ LTF เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ โดยสามารถซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปีก่อนหักค่าลดหย่อน เช่น ถ้าเงินเดือนทั้งปีและโบนัสของคุณคือ 500,000 บาท คุณจะซื้อ LTF ได้ไม่เกิน 75,000 บาท ถ้าฐานภาษีของคุณคือ 10% คุณจะลดหย่อนภาษีได้ถึง 7,500 บาท
การ ซื้อ LTF มีความเสี่ยงสูงกว่าการซื้อประกันออมทรัพย์ เพราะประกันออมทรัพย์จ่ายเงินคืนให้คุณครบทุกบาททุกสตางค์ และมีกำไรให้นิดหน่อย แต่ LTF นั้นไม่แน่เสมอไป ถ้าคุณซื้อ LTF ในจังหวะที่หุ้นขึ้นมากๆ พอถือไว้ 5 ปีตามเงื่อนไขของการลดหย่อนภาษี ระหว่างนั้นหุ้นเกิดตกอย่างหนักและตลาดอยู่ในสภาวะซึมยาว มูลค่าหน่วยลงทุนของคุณก็จะลดลง ถ้าขายก็ขาดทุน บางคนถ้าไม่ร้อนเงินก็อาจจำใจถือต่อเพื่อรอให้สภาพตลาดฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว ค่อยขาย
LTF มีให้เลือกซื้อค่อนข้างเยอะ คุณอาจพิจารณาจากผลงานในอดีตของ แต่ละตัว แต่ต้องย้ำว่าผลงานในอดีตไม่ได้บ่งบอกถึงผลงานในอนาคต และที่สำคัญคือต้องดูรายละเอียดของแต่ละตัวว่ามีการลงทุนในหุ้นประเภทไหน และมีการจ่ายเงินปันผลหรือไม่ LTF บางตัวมีผลงานในอดีตสวยงามมาก แต่นั่นอาจเป็นเพราะ LTF ตัวนั้นไม่มีการจ่ายเงินปันผล แต่นำเงินปันผลกลับเข้าไปลงทุนเพิ่ม ซึ่งพอดีว่าตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในขาขึ้น ผลงานที่ออกมาเลยดูดี แต่ถ้าตลาดอยู่ในขาลง ผู้ลงทุน LTF ที่ไม่มีการจ่ายปันผลก็อาจจะเสียหายหนัก
ดัง นั้น ถ้าคุณคิดจะซื้อ LTF ให้ลองถามตัวเองดูว่า คุณคิดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า หุ้นจะขึ้นไปมากกว่านี้หรือเปล่า? ถ้าคิดว่าขึ้น ก็อาจลองเสี่ยงด้วยการซื้อ LTF ที่ไม่จ่ายปันผลเลยก็ได้ แต่ถ้าไม่กล้าเสี่ยง ก็ซื้อตัวที่จ่ายปันผลไว้ก่อนดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าดัชนีหุ้นในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยขอเก็บปันผลไว้บ้างก็ยังดี
นอกจาก นี้ การซื้อ LTF จากสถาบันการเงินที่มี LTF ให้เลือกได้หลายกองทุนก็จะดี เพราะระหว่างที่ยังไม่ครบ 5 ปี คุณสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ง่าย ช่วงไหนหุ้นตกหนักก็อาจซื้อกองที่ไม่จ่ายปันผล (เพราะคาดว่าตกไม่นานก็จะขึ้น) พอหุ้นขึ้นก็ค่อยเปลี่ยนไปซื้อกองที่จ่ายปันผลแทน (เพื่อลดความเสี่ยง)

RMF

กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพหรือ RMF เป็นการระดมเงินจากประชาชนเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ คล้ายกับ LTF แต่ต่างกันตรงที่ RMF มักจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ ทองคำ
เช่นเดียวกับ LTF การซื้อ RMF เพื่อให้ได้ลดหย่อนภาษี จะต้องซื้อไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปีก่อนหักค่าลดหย่อน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือเมื่อคุณเริ่มซื้อ RMF แล้ว คุณจะต้องซื้อติดต่อกันทุกปีจนกว่าจะมีอายุครบ 55 ปี ถ้าเว้นการซื้อติดต่อกันสองปี คุณจะต้องจ่ายคืนภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนไป 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งตอนนั้นจะวุ่นวายมากครับ เพราะถ้าคุณจ่ายคืนช้า คุณจะถูกปรับเงินเพิ่มด้วย
ปีไหนที่คุณไม่อยากซื้อ RMF เยอะมาก คุณจะต้องซื้ออย่างน้อย 3% ของเงินได้ทุกประเภท หรือ 5,000 บาท อยู่ที่ว่าอันไหนต่ำกว่า ถึงจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่เยอะ แต่ก็เป็นภาระสำหรับเราไปจนแก่เหมือนกัน

สรุป

วิธีลดหย่อน ภาษีทั้ง 4 แบบต่างก็มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างลำดับการซื้อเพื่อการลดหย่อนภาษี
อันดับ1 LTF เพราะมีความยืดหยุ่นสูง ปีไหนมีเงินเหลือเยอะก็ซื้อเยอะ แนวโน้มของผลตอบแทนค่อนข้างดี ไม่ผูกมัดมาก แค่ถือยาวให้ได้ 5 ปี
อันดับ2 ประกันชีวิต โดยเลือกแบบอายุกรมธรรม์สั้นๆ ไว้ก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตไกลๆ เราจะเป็นยังไง แต่ถ้าเลือกแบบยาวเบี้ยประกันจะไม่เพิ่มตลอดโครงการ
อันดับ3  RMF
อันดับ4  เงินบริจาค โดยจะคิดว่าบริจาคเพราะอยากช่วยสังคมจริงๆ ส่วนภาษีเป็นเพียงของแถม
http://www.thaifranchisecenter.com/eShop/product/think_pic059.jpg
ขอบคุณที่มา:http://www.phraechristian.com
 
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
 
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรื่องควรรู้ก่อนการต่อประกันรถ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



เรื่องควรรู้ก่อนการต่อประกันรถ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



การทำประกันนั้นถ้าไม่มีการเคลมเกิดขึ้น จะมีการจูงใจเพื่อให้ต่ออายุประกันในปีต่อไปด้วยการลดราคาหรือมีส่วนลดให้ เช่น
20% สำหรับปีที่สองหรือไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายในปีแรก
30% สำหรับปีที่สามหรือไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายในสองปีที่ผ่านมา
40% สำหรับปีที่สี่หรือไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายในสามปีที่ผ่านมา
50% สำหรับปีที่ห้าหรือไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายในสี่ปีที่ผ่านมาหรือนานกว่านั้นเป็นต้นไป
แล้วที่บอกว่าลดราคาหรือเบี้ยให้นั้นเป็นความจริงหรือ?
ถ้ามองผิวเผินหรือไม่คิดอะไรจะเห็นว่ามีการลดเบี้ยประกันให้จริงๆ แต่ถ้ามองลึกลงไปในรายละเอียดหรือสังเกตดีๆแล้วจะพบว่า มีการแอบแฝงข้อความหนึ่งไว้ว่า..
..ส่วนลดเบี้ยประกันนั้นเป็นส่วนลดที่คิดจากเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ..”
อธิบายขยายความได้ว่า การลดเบี้ยประกันไม่ว่า 20-30-40-50%นั้น ไม่ใช่การลดจากเบี้ยประกันเดิมหรือไม่ใช่การลดจากกรมธรรม์ในปีที่ทำอยู่แล้วเอามาคิดเพื่อเป็นส่วนลดในปีถัดไป เช่น
ในปีแรกจ่ายเบี้ยไป 30000บาทและไม่เคยเรียกค่าทดแทนเลย ปีถัดมาถ้าลด 20%ก็จะเหลือ 24000บาท แต่ทำไมเรียกเก็บจริงไม่เป็นไปตามนั้นเช่นเรียกเก็บ 26000บาทเป็นต้น ซึ่งก็คือ 13.33% ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เคยมีบางท่านบอกว่ามันมีแวต 7%รวมอยู่ด้วย เอ้ามาลงลึกไปอีกหาเบี้ยที่แท้จริง
จาก 30000 หักแว็ต 7% หรือ 1962.62บาท ก็จะเหลือเบี้ยจริง 28037.38 บาท(รวมอากรราว 50บาท)
ถ้าคิดส่วนลด 20% จาก 28037.38 บาทหรือ 5607.48 บาท ก็จะเหลือ 22429.90 บาท
ดังนั้นเบี้ยปีต่อไปเมื่อรวมแวตอีก 7%หรือ 1570บาทก็ควรจะแค่ 24000 บาท
(รวมค่าอากรแล้วก็อีกไม่กี่บาทยังไงก็ไม่เกินร้อยหรอก)
แล้วทำไมจึงเรียกเก็บเกินจากนี้หละ เป็นไปได้ยังไง
มีอะไรแอบแฝงอยู่?
ก็อย่างที่เรียนข้างต้นว่าการคิดเบี้ยนั้นเขาคิดจากเบี้ยในปีนั้นๆที่จะทำประกัน ไม่ได้คิดจากเบี้ยในปีที่ผ่านมา แต่เบี้ยในปีนั้นๆหรือเบี้ยในปีที่จะต่อประกัน จะมีใครทราบบ้างว่ามันเท่าไหร่หรือเพิ่มลดยังไงเพราะไม่เคยมีใครหรือบริษัทประกันที่ไหนบอก จะบอกเฉพาะในปีแรกที่จะทำเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่ในปีแรกจะไม่แพงเท่าไหร่ดูสมน้ำสมเนื้อดี แต่พอเข้าปีที่สองหรือปีถัดไปกลับมาการปรับเพิ่มเบี้ย(ยังไม่เคยเห็นว่ามีการปรับลด)แต่ไม่เคยแจ้งให้ผู้ทำประกันได้ทราบ ถ้าผู้ทำประกันหรือต่อประกันไม่คิดอะไรเพราะเห็นเพียงแค่ว่ามันถูกลงแล้วก็จะจ่ายตามที่ถูกเรียกเก็บ แต่พอมีคนโวยวายออกมาว่าทำไมไม่ลดตามที่ระบุก็จะได้รับคำตอบว่าเป็นนโยบายของบริษัทที่มีการปรับอัตราเบี้ยประกันใหม่ตามประกาศเลขที่….(อยู่ไหนหรือประกาศตั้งกะเมื่อไหร่ไม่ให้ดูหรอก)หรือมันไม่ได้คิดเฉพาะเบี้ยประกันมันยังมีค่าอากรค่าแว็ตเข้ามาคิดด้วย(ก็แล้วแต่จะกล่าวอ้างไปต่างๆนาๆ) เช่นในกรณีที่ยกมาว่าจาก 30000 บาทหลังลดแล้วต้องจ่าย 26000 บาท ก็แสดงว่ามีการปรับเบี้ยก่อนได้รับส่วนลดจาก 30000 บาท เป็น 32500บาทเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะนำมาคิดส่วนลด แต่ที่น่าเจ็บกระดองใจคือจากการสอบถามของผู้ที่ใช้รถรุ่นเดียวกันที่ออกใหม่ป้ายแดงนำไปทำประกันก็ยังเสียเบี้ยปีแรก 30000 บาทอยู่ แสดงว่ามีการปรับเพิ่มเฉพาะผู้ที่ต่อประกันอย่างนั้นหรืออย่างงี้หมายความว่ายังไง
เคยทราบมั๊ยว่าไม่ได้ลดเบี้ยอย่างเดียว!
ถึงแม้บริษัทประกันจะอ้างว่าลดเบี้ยให้กับรถประวัติดีเพื่อแสดงความชื่นชมและจริงใจและจูงใจหรือตอบแทนลูกค้าหรือด้วยคำอะไรก็แล้วแต่ที่สุดแสนจะเริดหรู มันจริงอย่างที่เขาว่าจริงๆหรือเปล่า?
ลองดูรายละเอียดซักนิดตรงช่อง(เอาช่องเดียวก็พอ)ที่กล่าวถึงการชดเชยในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อรถยนต์หรือรถสูญหายหรือรถไฟไหม้อะไรพวกนี้ซึ่งอาจจะแตกต่างกันในคำพูดแต่ละบริษัทประกัน เอาง่ายๆว่ารถหายจ่ายเท่าไหร่นั่นแหละ
ในปีแรกจ่าย 30000 ได้รับความคุ้มครอง 850000 บาท
ในปีต่อมา(อ้างว่าลด 20%)จ่ายไป 26000 บาท ได้รับการคุ้มครอง 650000 บาท
ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันลดลงถึง 23.5 % แถมลดจริงๆก็แค่ 13.33% ไม่ใช่ 20%
นี่ยกมาเฉพาะรายละเอียดแค่ช่องเดียวเท่านั้นนะครับยังมีอื่นๆอีกเยอะ
การต่อประกัน!
ลองสละเวลาซักนิดนะครับเช็คดูซักหน่อยว่าเป็นอย่างที่ผมพูดไปหรือเปล่าเพราะที่พูดถึงนี่เป็นเพียงบางบริษัทเท่านั้นเพราะบางที่ก็ยังซื่อตรงอยู่ก็ยังมี แต่ถ้าท่านเจอเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำยังไง
ก่อนหมดอายุประกันราว 2เดือน (อย่างน้อยที่สุดก็ 1เดือน) หรือถ้ามีหนังสือแจ้งยอดที่ต้องไปชำระค่าเบี้ยประกันในปีถัดไป ให้ลองโทรฯไปสอบถามบริษัทประกันว่าเบี้ยประกันเท่าไหร่และยอดความคุ้มครองเป็นอย่างไร เอาหลักๆเลยเช่นรถหายจ่ายเท่าไหร่หรือผู้ขับขี่เสียชิวิตจ่ายเท่าไหร่
นำข้อมูลที่ได้มาคำนวนตามตัวอย่างที่ยกมาข้างบนว่าส่วนลดตรงตามเปอร์เซ็นต์ที่แจ้งหรือเปล่ามีส่วนต่างอยู่เท่าไหร่ ถ้าใกล้เคียงกันหรือห่างกันไม่เกิน 2-300บาทก็ถือว่าพอยอมรับได้แต่ถ้ามากกว่านั้น
โทรฯสอบถามบริษัทประกันอื่นว่ารถเรายี่ห้อนี้/ปีนี้ ถ้าต้องการการคุ้มครองแบบเดียวกัน(กับที่บริษัทเดิมเสนอความคุ้มครองให้)ต้องจ่ายเบี้ยประกันเท่าไหร่
ถ้าพบว่าความคุ้มครองเท่ากันแต่ราคาถูกกว่าหรือให้ความคุ้มครองมากกว่าในราคาเท่ากัน แนะนำให้เปลี่ยนบริษัทประกันครับ แสดงว่าบริษัทที่ทำอยู่เริ่มมีอะไรที่หมกเม็ดแล้วและในปีต่อๆไปเราก็จะเจอเช่นเดิมอีก
ถ้าเกิดมีการเคลมเกิดขึ้นอาจจะต้องจ่ายเบี้ยเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นเช่น ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายเกิน 200%ของเบี้ยในปีนั้น ในปีต่อไปต้องจ่ายเบี้ยเพิ่มขึ้น 20%(จากเบี้ยที่กำหนดโดยไม่ทราบที่มา)เป็นต้น อันนี้แนะนำให้เปลี่ยนบริษัทประกันทันทีไม่ต้องลังเล ปล่อยให้บริษัทประกันเดิมภาคภูมิใจกับตัวเลขที่หวังว่าจะเก็บเพิ่มจากเราไปเรื่อยๆแต่ไม่ต้องต่อเปลี่ยนทันทีเพราะราคาเบี้ยประกันจะถูกลงทันที หาที่ถูกกว่าที่จะต่อกับบริษัทเดิมได้ไม่ยากหรอกครับ
*****คงฝากไว้เป็นข้อคิดเล็กๆน้อยๆนะครับบางท่านอาจจะเคยสังเกตหรือเคยทราบมาแล้วแต่บางท่านอาจจะยังไม่เคยทราบหรือเคยสังเกตเรื่องเหล่านี้เลย เพราะมันเป็นการเอารัดเอาเปรียบกันซึ่งหน้าทีเดียว ลองดูนะครับไม่เสียหลายหรอกสละเวลาซักนิดยกหูโทรศัพท์เสียไม่กี่บาทแต่ท่านอาจจะประหยัดเงินได้หลายร้อยหรือหลายพันบามเลยทีเดียว(ผมเคยได้สูงสุดกว่า 2000บาทครับ)*****
*****เราเป็นผู้จ่ายเงินจงเลือกในสิ่งที่เห็นว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากที่สุด เราเป็นลูกค้ามีสิทธิ์เลือก อย่าตกเป็นเหยื่อของความไม่ชอบธรรม บริษัทประกันต้องเป็นฝ่ายง้อเราถึงจะถูก ไม่ใช่ให้เราเป็นฝ่ายไปง้อ*****
*****ยังมีบริษัทประกันอีกมากมายให้เราเลือกใช้บริการ ใช่ว่าบริษัทใหญ่จะดีเสมอไป(อย่าให้เอ่ยชื่อเลย)บางที่ก็ใหญ่แต่ชื่อแต่บริการไม่เป็นสัปะรดแมวแถมเล่นแง่สุดๆก็มีถมไป ปล่อยให้เขาตายไปพร้อมกับชื่อเสียงและความภาคภูมิใจนั้นเหอะครับ*****
*****เลือกที่ซื่อสัตย์จริงใจกับเรามากที่สุด ใหญ่เล็กไม่สำคัญ ขอให้บริการดีเป็นใช้ได้ ไม่ใช่ว่าเวลาเก็บตังค์นะพูดดี แต่เวลาจะเรียกร้องค่าเสียหายยังจะเราเป็นชู้จะลูกเมียท่านยังไงยังงั้นแหละ อันนี้พูดดีก็น่าต่อประกันด้วยแม้จะแพงบ้างนิดหน่อยก็ถือว่าซื้อบริการ แต่ถ้ามีการเรียกร้องค่าเสียหายแล้วเจอประเภทนี้เปลี่ยนเหอะครับไม่นานเดี๋ยวก็เจ๊งไปเอง*****
*****การเปลี่ยนบริษัทประกันเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถติดต่อกันนานๆหรืออาจจะไม่คิดจะขายเท่านั้น ส่วนผู้ที่วางแผนขายล่วงหน้าไว้แล้วการเปลี่ยนบริษัทประกันอาจจะถูกมองว่าเป็นการหมกเม็ดหรือลบประวัติไม่ดีทิ้งก็อาจจะเป็นได้ แต่ถ้าการวางแผนขายนั้นอยู่ในรูปของการตีเทิร์นหรือขายเข้าเต็นท์ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด มันก็เป็นดาบสองคมเสมอ แต่สิ่งที่ได้รับจากการเปลี่ยนบริษัทประกันคือเราจะรู้ว่าบริษัทถูกกว่า-บริการดีกว่า-ไม่เล่นแง่ตอนเคลม และเมื่อนั้นเราก็สามารถผูกขาดการทำประกันกับบริษัทที่เราเห็นว่าดีที่สุดได้เลย เป็นสิ่งที่น่าค้นหาคำตอบนะครับ*****
……….ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงความรู้สึกและบทเรียนจากประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น…ไม่ได้ต้องการสร้างศัตรูหรือว่ากล่าวให้ร้ายกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือบริษัทหนึ่งบริษัทใด……แค่อยากสื่ออกไปในสิ่งที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเท่านั้น….โปรดไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ……..ถ้าส่งหนึ่งสิ่งใดหรือคำพูดใดๆสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับใครหรือท่านใดก็ขอกราบอภัยล่วงหน้านะครับ
ขอบคุณที่มา:http://www.phraechristian.com

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign

 

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การขอรับค่าเสียหาย กรณีประสบอุบัติเหตุจากรถยนต์ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



การขอรับค่าเสียหาย กรณีประสบอุบัติเหตุจากรถยนต์ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

ประชาชนทุกคนที่ได้รับอุบัติเหตุจากรถจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ว่าผู้ประสบภัยนั้นจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ในรถหรือนอกรถ เป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร เจ้าของรถ คนเดินถนน หากได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอันเนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

 

การที่รัฐออกกฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องจัดให้มีประกันภัย อย่างน้อยที่สุด คือ การทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากรถ ที่ได้รับบาดเจ็บ/ เสียชีวิต เพราะเหตุประสบภัยจากรถ โดยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงทีกรณีบาดเจ็บ หรือช่วยเป็นค่าปลงศพกรณีเสียชีวิต เป็นหลักประกันให้กับโรงพยาบาล/สถานพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาล ในการรับรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ
เป็นสวัสดิการสงเคราะห์ที่รัฐมอบให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายเพราะเหตุประสบภัยจากรถ ส่งเสริมและสนับสนุนให้การประกันภัยเข้ามามีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือนร้อน แก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว




ความคุ้มครองเบื้องต้นตามพ.ร.บ.
ผู้ประสบภัย จะได้รับความคุ้มครองในความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ เป็นค่าปลงศพในกรณีเสียชีวิต โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด บริษัทจะชดใช้ให้แก่ผู้ประสบภัย/ทายาทของผู้ประสบภัย ภายใน 7 วัน นับ แต่บริษัทได้รับคำร้องขอ ค่าเสียหาย ดังกล่าว เรียกว่า “ค่าเสียหายเบื้องต้น” โดยมีจำนวนเงินดังนี้
กรณีบาดเจ็บ จะได้รับการชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน15,000บาท
กรณีเสียชีวิต จะได้รับการชดใช้เป็นค่าปลงศพ และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ จำนวน 35,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้ง แต่ 1 เมษายน 2546 เป็นต้นมา)
กรณีเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาล จะได้รับการชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท และค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้ง แต่ 1 เมษายน 2546 เป็นต้นมา) รวมแล้วจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท
ค่าเสียหายเบื้องต้น
หมายถึงค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล เช่น ค่ายา ค่าอาหารทางเส้นเลือด ค่าออกซิเจน ค่าอวัยวะเทียม ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าห้อง และค่าอาหารตลอดเวลาที่เข้ารับการรักษา รวมถึงค่าพาหนะนำผู้ประสบภัยไปโรงพยาบาล แต่ทั้งนี้ไม่รวมค่าจ้างพยาบาลพิเศษและค่าบริการอื่นทำนองเดียวกัน ค่าเสียหายเบื้องต้นสำหรับรักษาพยาบาลนี้ ผู้ประสบภัยจะได้รับตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท




ข้อพึงปฏิบัติเมื่อประสบภัยจากรถ

เมื่ออุบัติเหตุรถยนต์เกิดขึ้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ หรือผู้พบเห็นควรปฏิบัติดังนี้
กรณีมีผู้บาดเจ็บ
1. นำคนเจ็บเข้ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและสะดวกที่สุดก่อน
2. แจ้งเหตุที่เกิดให้ตำรวจทราบ และขอสำเนาประจำวันตำรวจเก็บไว้
3. แจ้งเหตุบริษัทประกันภัยทราบ แจ้งวัน เวลา สถานที่เกิดเหตุ
4. เตรียมเอกสาร
ถ่ายสำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถคันเกิดเหตุ ภาพถ่ายสำเนาบัตรประชาชน หรือหลักฐานอื่นใดที่ออกโดยราชการกรณีเมื่อเรียกร้องค่าเสียหาย
5. ให้ชื่อ ที่อยู่ ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์เพื่อช่วยเหลือในการเป็นพยานให้แก่คนเจ็บ


การยื่นขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นผ่านโรงพยาบาล
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ประสบภัย
ให้เตรียมเอกสารดังนี้


1.สำเนากรมธรรม์ของรถ (ใบเสร็จรับเงินจาก บริษัทประกัน)
2.สำเนาใบบันทึกประจำวันของตำรวจประทับตราโล่และสำเนาถูกต้องเอกสาร
3.สำเนาคู่มือรถหน้าจดทะเบียนและหน้ารายการเสียภาษีหรือสำเนาสัญญาซื้อขาย(สมุดเขียว /น้ำเงิน)
4.สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประสบภัย
5.สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประสบภัย
6.สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ
7.สำเนาบัตรทะเบียนบ้านเจ้าของรถ
อย่างละ 2 ชุด


การเบิกค่าเสียหายเบื้องต้น ผู้ประสบภัยมากับรถคันไหนให้เบิกค่าเสียหายเบื้องต้นจากรถคันนั้น แต่ถ้าผู้ประสบภัยเป็นบุคคลภายนอกให้เบิกค่าเสียหายเบื้อต้นจากรถที่เกิดเหตุ(หรือเบิกจากกองทุนเงินทดแทน)

ดังนั้นกรณีที่มีผู้ประสบภัยจากรถ ท่านสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนโดยที่ท่านจะรับการรักษาด้วยความสะดวกรวดเร็วไม่น้อยกว่ามาตรฐานของโรงพยาบาล เมื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยหรือญาติจะต้องแจ้งความประสงค์ในการใช้สิทธิตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และให้ญาติเตรียมเอกสารดังกล่าวข้างต้นให้กับโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลจะเป็นผู้ตั้งเบิกต่อบริษัทประกันแทนผู้ประสบภัย ตามค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริงไม่เกิน 15,000 บาท โดยไม่ต้องสำรองจ่าย



สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แผนกประชาสัมพันธ์

ผู้ป่วยที่ประสบภัยจากรถ ที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง มีอาการปวดศีรษะ อาเจียน ซึม ควรเข้ารับการตรวจรักษาอย่างเร่งด่วน โดยท่านสามารถใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถปี 2535 โดยท่านจะได้รับค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น 15,000 บาท โดยไม่ต้องสำรองจ่าย




ขอบคุณที่มา:http://www.phraechristian.com

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog

 


 

ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign

 

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

 

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 5 คืออะไร?:ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 5 คืออะไร?:ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

http://thumbs.gograph.com/gg57266407.jpg

ประกันภัยรถยนต์ประเภท 5

ประกันภัยรถยนต์ประเภท 5 (ประกันรถยนต์ ชั้น5) เป็นชื่อเรียกรวม ประกันรถยนต์ประเภท 2+ และ ประกันรถยนต์ประเภท 3+
ความคุ้มครงของประเภท2+ จะมากกว่า 3+ เพราะ 2+ คุ้มครองเรื่องรถหาย ไฟไหม้

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 5

motor insurance2+ ประกันภัยรถยนต์ 2 พลัส , 2บวก ,2plus ,2+1

ความรับผิดต่อความเสียหายต่อ ชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก หรือ ยานพาหนะคู่กรณี
ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยกรณีที่ชนกับ ยานพาหนะทางบก*
ความ รับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์


motor insurance2+ ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส, 3บวก, 3plus, 3+1

ความรับผิดต่อความเสียหายต่อ ชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก หรือยานพาหนะคู่กรณี
ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยกรณีที่ชนกับ ยานพาหนะทางบก*
จะเห็นได้ว่า ความคุ้มครงของประเภท2+ จะมากกว่า 3+ โดย 2+ จะมีความคุ้มครองเรื่องรถหาย ไฟไหม้ ด้วย
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 5 จะคุ้มครองเนื่องจาก การชนกับยานพาหนะทางบก

remark1 ความหมายของยานพาหนะทางบก

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ที่ใช้เชื้อเพลิงขับเคลื่อนทุกประเภท
เช่น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ รถไฟ รถพ่วง รถราง และเคลมสด ณ ที่เกิดเหตุ ไม่สามารถเคลมแห้ง หรือเคลมที่ไม่มีคู่กรณี เหมือนประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ได้

remark2 กรณีที่เป็นฝ่ายผิด

กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 5 นั้น ผู้เอาประกันภัยต้องเสียค่าความเสียหายส่วนแรก หรือที่เรียกว่า ACCESS จำนวน 2,000 บาท เฉพาะกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่าย ผิด เท่านั้น
ประกันภัยประเภท 5 จากบริษัทประกันประกันบางแห่ง สามารถเลือกที่จะไม่เสียค่าเสียหายส่วนแรกได้ เช่นAXA 2+, AXA3+
ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 5 (Smart Drive5) จากแอกซ่าประกันภัย ยังสามารถเลือกเลือกทุนประกันภัยรถยนต์ได้
พิจารณาจากราคาประเมินรถ โดยทุนประกันจะอยู่ที่ 80% ของราคาประเมินอีกที
เช่น รถราคา 1,000,000 บาท จะสามารถเลือกทุนได้ 800,000 โดยมีทุนเอาประกันให้ ลูกค้าเลือกได้ตั้งแต่ 100,000 ถึง 1,000,000 บาท
http://cdn.genxfinance.com/wp-content/uploads/2010/05/car-insurance-text.jpg

ขอบคุณที่มา:http://www.insurancethai.net
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 
 
 
 
 
 

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รถหาย แจ้ง โครงการสายด่วน 1192 : ประกันภัยรถยนต์ ต่อประกันรถยนต์



รถหาย แจ้ง โครงการสายด่วน 1192 : ประกันภัยรถยนต์ ต่อประกันรถยนต์


โครงการสายด่วน 1192
เมื่อรถหาย แจ้ง สายด่วน 1192
จะมี SMS แจ้งไปยังจุดสกัดจับทั่วประเทศ
ภายใน 2 นาที!!

สายด่วน 1192
เว็บไซต์ www.lostcar.go.th
แฟนเพจ www.facebook.com/lostcar.1192
อยู่ในความดูแลของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผบ.ตร. และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปจร.ตร.)
1192

ขั้นตอนการทำงานของสายด่วน 1192 ใช้เทคโนโลยีกล้องวงจรปิดกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในการจับภาพรถเป้าหมาย โดยมีเครือข่ายกว้างขวางทั่วประเทศ เพราะเชื่อมกับข้อมูลพื้นฐานของตำรวจเกือบทุกหน่วยไม่ว่าจะเป็นนครบาล กองปราบปราม ตำรวจทางหลวง และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)
นอกจากนี้ยังประสานกับสถานีวิทยุ สวพ.91 เพื่อขอข้อมูลรถหายรวมทั้งรับแจ้งเบาะแสรถต้องสงสัยจากพลเมืองดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนขับรถแท็กซี่ที่มักจะเปิดฟังสวพ.91 ที่กลายเป็นหูเป็นตาให้สายด่วน 1192
เมื่อสายด่วน 1192 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่เข้าเวรรับแจ้งเหตุตลอด 24 ชั่วโมง ได้รับแจ้งรถหายจะส่งข้อมูลรายละเอียดของรถ รวมทั้งตำหนิรูปพรรณเด่นๆ เข้าฐานข้อมูลกลาง ที่ให้หลายหน่วยงานเปิดดูได้ และเชื่อมกับข้อมูลกล้องตามจุดสกัดยาเสพติดต่างๆ ของบช.ปส. ซึ่งมีเทคโนโลยีการตรวจจับป้ายทะเบียนรถ ซึ่งติดตั้งตามจุดสกัดต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 300 จุด
หากมีการตรวจพบรถที่ถูกโจรกรรม ข้อมูลต่างๆ จะส่งกลับมาที่ส่วนกลาง และประสานกับหน่วยต่างๆ ในการติดตาม อีกทั้งตำรวจหน่วยต่างๆ เช่นนครบาล หรือกองปราบฯ และทางหลวง มีรถสายตรวจกระจายอยู่แทบทุกเส้นทางอยู่แล้ว
หรือหากรู้เส้นทางคนร้ายสามารถประสานตำรวจท้องที่ตั้งด่านสกัดขวางทางได้ทันท่วงที
“เมื่อรถหายแล้วแจ้งเรามาจะสามารถสกัดกั้นได้โดยใช้เวลา 3 นาที แล้วเราจะบันทึกไว้ในเว็บไซต์ ประชาชนสามารถเข้ามาตรวจสอบรถหายได้ ด้วยความร่วมมือของภาคเอกชนและสื่อมวลชนทำให้ระบบมีประสิทธิภาพ อยากให้ประชาชนเข้ามาใช้บริการผ่านเว็บไซต์และแฟนเพจ จนสามารถแจ้งเบาะแสพบรถที่มีการแจ้งหายไว้ได้จะได้รับรางวัลเป็นเงินสดคันละ 5,000 บาท เป็นแรงจูงใจให้ประชาชนช่วยเหลือกัน ช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
พล.ต.อ.สมยศกล่าวและว่า กรณีคนที่คุณรักหายไปจากบ้านพร้อมกับรถ ทางศูนย์ของเราก็สามารถตรวจสอบช่วยติดตามได้อีกด้วย!??
ใช้ไฮเทคตามคืนรถหาย
หลังเวลาผ่านไป 3 เดือน สายด่วน 1192 ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าไว้ เพราะมีรถหลายคันที่ถูกขโมยสามารถติดตามกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว
Ex.1
รถกระบะโตโยต้า สีดำ ทะเบียน บบ 8377 ลพบุรี ของ นางสำราญ ไชยบุปผา อายุ 63 ปี ถูกโจรกรรมไปจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในอ.เมือง จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา
หลังเจ้าของรถแจ้งความแล้ว ตำรวจสภ.เมืองลพบุรี ส่งรายละเอียดรถเข้าฐานข้อมูลกลางที่ www.lostcar.go.th ของศปจร.ตร. และสายด่วน 1192
กระทั่งวันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมา บก.สกัดกั้นยาเสพติดของ บช.ปส. ซึ่งมีจุดสกัด 311 จุดทั่วประเทศ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่คัด กรองรถเพื่อตรวจจับ แจ้งสัญญาณเตือนที่จุดสกัด อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่าพบรถเป้าหมายขับขี่ผ่านไป
เจ้าหน้าที่ประจำจุดสกัดรีบแจ้งไปที่จุดตรวจบ้านพละ อ.ปะทิว จ.ชุมพร สกัดจับรถคันดังกล่าวไว้ได้ และจับกุม นายพันธกร หรือเกษม อินทร์แก้ว อายุ 46 ปี แก๊งโจรกรรมรถ
พล.ต.อ.สมยศระบุว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นการบูรณาการระหว่างเจ้าหน้าที่กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่นำมาใช้คัดกรองตรวจค้นรถที่ถูกโจรกรรม ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Ex.2
น.ส.อริสรา สุ่มทอง อายุ 33 ปี เจ้าของรถยนต์โตโยต้า โซลูน่า สีแดง ทะเบียน ภต 2058 กทม. ซึ่งหายไปจากลานจอดรถโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน แจ้งความและข้อมูลถูกบันทึกลงในแฟนเพจ “รถหาย” จากนั้นอีก 3 วันได้คืนอย่างไม่คาดฝัน
“ตอนที่รู้ว่ารถหายก็หมดหวังและไม่คิดว่าจะได้คืน เราก็โทร.แจ้งไป 1192 และสวพ.91 และส่งรูปภาพเข้าไป หลังจากนั้นเพียง 3 วัน เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ สวพ.91 ที่โทร.เข้าไปแจ้งและให้ข้อมูลรถไว้ ติดต่อกลับมาว่ามีพลเมืองดีพบรถจอดอยู่ที่ สน.ประเวศ จึงไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นรถของเราจริงๆ”
น.ส.อริสรากล่าวและว่า อยากจะขอบคุณทุกคนที่แจ้งเบาะแสและช่วยเหลือ จนสามารถติดตามรถกลับมาได้
Ex.3
นศ.สาวถูกชิงรถก็ได้คืน
Ex.4
อีกรายที่ได้รถคืนเป็นคดีดังเมื่อไม่นานมานี้ กรณีน.ส.ชมพูนุท ทรัพย์สิน อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เจ้าของรถโตโยต้า ยาริส สีขาว ทะเบียน ญพ 3368 กทม. ที่ถูกคนร้ายใช้มีดจี้ชิงรถไปจากลานจอดห้างสรรพสินค้าย่านบางเขน
น.ส.ชมพูนุทกล่าวว่า ถูกชิงรถไปเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา วันเกิดเหตุจอดรถที่ลานกลางแจ้งห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาหลักสี่ ช่วงเวลาประมาณ 13.20 น. เดินมาเปิดประตูเพื่อขึ้นรถเมื่อขึ้นไปนั่งที่เบาะคนขับ ปรากฏว่าคนร้ายมานั่งที่เบาะด้านหลังฝั่งคนขับแล้วใช้มีดจี้บอกให้ขับรถออกไป ก่อนคนร้ายปล่อยตัวโดยไม่ทำอันตราย
น.ส.ชมพูนุทกล่าวอีกว่า ไปแจ้งความและแจ้งไปยังสถานีวิทยุต่างๆ เว็บไซต์ www.lostcar.go.th และแชร์รูปในเฟซบุ๊ก เพียง 3 วันก็ได้รับการติดต่อจาก 1192 ว่ามีพลเมืองดีพบรถแล้วจอดอยู่หลังร.พ.ภูมิพล ก็ไปตรวจสอบปรากฏว่าเป็นรถของตนจริงๆ รู้สึกดีใจที่ได้รถคืนมาและขอบคุณผู้ที่แจ้งเบาะแสอย่างมาก
Ex.5
นอกจากนี้มีพลเมืองดีที่ช่วยแจ้งเบาะแส คือ นายปภังกร เก่นไกรฤกษ์ อายุ 44 ปี กล่าวว่าปกติจะเล่นเฟซบุ๊กเป็นประจำทุกวัน และเป็นแฟนเพจ “รถหาย” อยู่แล้ว ประกอบกับมีอาชีพส่งของต้องเดินทางไปตามถนนต่างๆ จึงช่วยสอดส่องดูรถที่แจ้งหายไว้
“กระทั่งพบคันหนึ่งจอดทิ้งอยู่ย่านลาดกระบัง และจำได้ว่าเป็นหนึ่งในรถที่แจ้งหายไว้ในแฟนเพจ จึงโทรศัพท์แจ้งไปที่สายด่วน 1192 ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็เดินทางมาตรวจสอบ และพบว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมไปจริงๆ”
ภัยใหม่-รีโมตขโมยรถ
นอกจากการติดตามรถหายแล้ว ศปจร.ตร. ยังมีมาตรการป้องกันโดยเชิญคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตัวแทนบริษัทประกันภัย บริษัทผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ มาหารือเพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการโจรกรรมทรัพย์สินภายในรถหรือการโจรกรรมรถ
โดยล่าสุดมีข้อมูลว่าคนร้ายใช้วิธีใหม่โจรกรรมรถหรือเข้าไปขโมยทรัพย์สินในรถ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและใกล้ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
นั่นคือเพียงใช้รีโมตเปิด-ปิดล็อกรถยนต์ที่เห็น กันทั่วไป!??
นายดุสิต สุขสวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่าคนร้ายใช้สัญญาณรีโมตด้วยการกวนสัญญาณของรถอีกคัน ทำให้รถไม่สามารถล็อกได้
วิธีก็คือเพียงกดรีโมตของรถอีกคันคาเอาไว้ หากมีรถเป้าหมายเข้ามาจอดในรัศมีประมาณ 30 เมตร บางครั้งเมื่อเจ้าของรถกดรีโมตปิดล็อกแล้ว ระบบล็อกจะไม่ทำงานเพราะถูกรีโมตที่คนร้ายกดคาไว้รบกวนสัญญาณนั่นเอง
อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ใช้ได้กับรีโมตที่มีคลื่นวิทยุในย่านความถี่ใกล้เคียงกัน จึงทำให้บางครั้งก็ทำได้ บางครั้งก็ทำไม่ได้
“เทคนิคดังกล่าวทำให้คนร้ายนำไปประยุกต์ใช้กับรถของคนทั่วไป ที่เมื่อคนขับลงจากรถแล้วกดรีโมตเพื่อล็อกรถ ตามความเคยชินของคนทั่วไปจะเดินไปจากรถทันทีโดยไม่ได้ตรวจสอบอีกครั้งว่า ประตูรถล็อกแล้วหรือไม่ คนร้ายจึงอาศัยช่วงจังหวะที่เจ้าของรถไม่อยู่ เข้าไปโจรกรรมทรัพย์สินภายในรถ และบางครั้งก็อาจโจรกรรมรถไปทั้งคัน”
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เพื่อความปลอดภัยประชาชนผู้ใช้รถเมื่อล็อกรถแล้ว ให้ใช้มือดึงที่มือจับประตูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่ารถล็อกเรียบร้อยแล้ว สำหรับจุดเสี่ยงที่คนร้ายใช้วิธีการนี้บ่อยครั้งคือตามลานจอดรถห้างสรรพสินค้านั่นเอง
การแจ้งข้อมูลผ่านสายด่วนและเว็บไซต์นี้จะช่วยให้การสกัดจับรถที่แจ้งหายทำได้รวดเร็วขึ้น โดยทันที่ที่แจ้งจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล จากนั้นจะแจ้งประสานตามรถที่ถูกโจรกรรมได้ภายในไม่เกิน 5นาที โดย ศปจร. เน้นการป้องกันสกัด เพราะหากตามจับช้ารถจะถูกชำแหละ โดยเว็บไซท์นี้จะมีข้อมูลที่เชื่อมยังจุดตรวจ ด่านสกัดต่างๆ นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์  ปลัดกระทรวงคมนาคม ในการเชื่อมต่อระบบกล้องวงจรปิดของกระทรวงคมนาคม กับระบบตรวจสอบติดตาม ตรวจจับรถหายของด่านต่างๆของตำรวจ เพื่อให้การเชื่อมโยงข้อมูลกว้างขึ้นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่าการทำช่องทางสื่อสารรับแจ้งเหตุจะช่วยลดการการเพิ่มสถิติรถหายที่ยังมีมากในทุกวันนี้ได้
ขอบคุณที่มา:http://www.insurancethai.net
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 
 
 
 
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เบื้องหลังการโจรกรรมรถยนต์ เราจะป้องกันรถหายกันได้อย่างไร : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์ ต่อประกันรถยนต์



เบื้องหลังการโจรกรรมรถยนต์ เราจะป้องกันรถหายกันได้อย่างไร : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์ ต่อประกันรถยนต์


โจรมันขโมยรถยนต์กันได้อย่างไร
car-theftอันดับแรกโจรต้องหาวิธีเข้าไปภายในรถยนต์ของเราให้ได้ก่อน ปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายวิธีได้แก่
1 กุญแจปลอม ถ้าคนร้ายมีกุญแจ เหมือนกับเรา ก็เปรียบเสมือนเป็นเจ้าของรถนั่นเอง วิธีการที่ผู้ร้ายจะได้กุญแจปลอมนั้นได้แก่ การแอบปั้มกุญแจเช่นเวลาที่เรานำรถไปจอดซ่อม ล้างอัดฉีด ซื้อรถจากโชว์รูม เต็นท์ขายรถมือสอง จากเจ้าของเก่าที่ไว้ใจไม่ได้ หรือที่นิยมสมัยนี้คือการติดต่อซื้อรถทางอินเตอร์เน็ต แล้วแอบมาปั้มลูกกุญแจเวลาเจ้าของเผลอ ซึ่งคนร้ายจะติดตามมาถึงบ้าน และที่จอดรถประจำเพื่อขโมย
2 เหล็กแข็งแทนกุญแจ คน ร้ายจะใช้เหล็กขนาดเท่ากุญแจรถแต่เป็นเหล็กแข็ง ส่วนมากจะดัดแปลงมาจากประแจหกเหลี่ยมมุมฉากสแตนเลสที่มีความแข็ง ตีเข้าที่รูกุญแจแล้วใช้แรงบิดจนชุดฟันเฟืองเสียหาย และหมุนจนตัวล็อคเปิดออก เป็นอีกวิธีหนึ่งที่คนร้ายชอบใช้กัน
3 ใช้ลวดแข็งเกี่ยวตัวล็อคประตู ถ้า ใครเคยลืมกุญแจไว้ในรถแล้วเรียกช่างมาปลดล็อคกุญแจจะเคยเห็นว่า ช่างจะใช้ลวดเชื่อมยาวๆเบอร์แข็งๆ ดัดทำเป็นตัวยู งัดยางรีดน้ำประตูออก และใช้ลวดแยงเข้าไปให้ตะขอเกี่ยวกับปุ่มกดล็อคให้เด้งขึ้น เสมือนมีคนอยู่ในรถแล้วดึงปุ่มเปิดประตูขึ้น หรือใช้ฟุตเหล็กแยงให้ตรงกับคันชักกลอนประตูให้เด้งลง หรือใช้ลดแยงทางมือเปิดประตูเพื่อมาดันตัวกดล็อกให้เด้งขึ้น วิธีนี้ถ้าช่างที่มีความชำนาญจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
4 งัดประตูหูช้าง พวกรถกระบะแค็บที่มีประตูหูช้าง โจรจะใช้ลวดแข็งมากๆงอเป็นตัวยู สอดเข้าไประหว่างกระจกแค็ปแล้วงัดแรงๆ กระจกจะเปิดออก แล้วจะงัดตัวล็อคให้หัก ใช้มือเอื้อมมาเปิดตัวล็อคประตู บางคนคิดว่ากระจกบานนี้น่าจะแข็งแรงแต่ถ้าคุณลองงัดดู จะต้องเปลี่ยนใจว่า มันไม่ยากอย่างที่คิด
5.ใช้น้ำกรด โจรจะใช้น้ำกรดชนิดเข้มข้นใส่เข็มฉีดยา หยดไปตามรูกุญแจเพื่อทำลายชุดฟันเฟือง และสปริงเล็กๆในแม่กุญแจ แบบนี้ยังนำมาใช้ภายในรถพวกล็อคพวงมาลัย ล็อคเกียร และล็อคครัชได้อีกด้วย
6. ทุบกระจกประตูหรือกระจกหูช้าง โจร จะใช้เหล็กแหลมคม ค่อยๆกะเทาะกระจกจนเกิดรอยร้าว ใช้ผ้าปิดป้องกันเสียง จนกระจกแตกออกทั้งบาน ใช้มือล้วงเปิดตัวล็อคกุญแจออก คราวนี้ก็ถือเป็นการง่ายแล้วถ้าจะเข้าไปในรถของท่าน
7. ช็อตวงจรไฟฟ้า บาง ท่านคิดว่า ใช้กุญแจรีโมตแล้วปลอดภัยแน่ แต่จริงๆแล้วกลับง่ายต่อการต่อรัดวงจรไฟฟ้า เช่นวงจรไฟเลี้ยว ในชุดรีโมตแบบธรรมดา หรือถ้าเป็นรถยุโรปด้วยแล้วกลับเป็นเรื่องง่าย ตัวล็อคจะเด้งหลุดทันที
8. จูนสัญญาณจากรีโมต เวลาจอดรถ ในห้างสรรพสินค้าพอเรากดรีโมตล็อคปุ๊ป คนร้ายก็จะมีเครื่องมือมาจับความถี่สัญญาณ แล้วหาก็อปปี้ความถี่มาใช้ยิงเปิดประตูได้เลย แบบนี้ถือว่าเป็นระบบที่อันตรายมาก
9. ยกรถ บาง ครั้งแล้วคนร้ายอาจใช้วิธีเอารถยกมายกไปเลย แบบนี้อย่าคิดว่าขำครับ เป็นวิธีที่โจรบางพวกนิยมใช้กัน เมื่อยกรถแล้วจะหาทางเข้าที่เปลี่ยวๆ แล้วปลดล็อคต่างๆกันต่อไป
10. จี้หรือปล้น อย่าง ที่เคยได้ ยินกันตามหน้าหนังสือพิมพ์นี่หละครับ เช่นการวางเรือใบ ดักซุ่มในที่เปลี่ยว ล่อลวงต่างๆ แต่ที่เห็นเป็นประเด็นร้อนอย่างการลวงซื้อรถทางอินเตอร์เน็ต แล้วขอนัดดูในที่เปลี่ยว แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้มาขอซื้อรถหรอกครับ แต่อาจจะขอไปใช้กันฟรีๆเลยก็ได้
เมื่อเข้ารถได้แล้วโจรมักจะทำอย่างไร
1. งัดคอพวงมาลัย เพื่อ เป็นการปลดล็อคระบบบังคับเลี้ยว โจรจะถอดคอพวงมาลัยแล้วใช้อุปกรณ์งัดหูล็อคคอกุญแจหรือตัดกุญแจล็อคคอที่ เป็นตะกั่วให้หลุดออกจากแกนพวงมาลัย แค่นี้ระบบล็อคคอก็จะหลุดออกอย่างรวดเร็ว
2. ใช้เลื่อยตัด ถ้าเรามีกุญแจล็อคคันเกียร หรือล็อคพวงมาลัย อย่าพึ่งหลงคิดว่าโจรจะใช้เวลามากเพราะล็อคเกียร หรือล็อคพวงมาลัยราคาถูก ก็เปรียบเสมือนเครื่องประดับรถสำหรับโจรแค่นั้นเอง อย่างในรูปล็อคเกียรนั้นจับเวลาในการตัดได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น
3. ใช้น้ำกรด โจรจะใช้น้ำกรดชนิด เข้มข้น หยอดไปตามรูกุญแจต่างๆจนเสียหาย และหลุดออก
4. ช็อตวงจรไฟฟ้า และต่อสายตรง คนร้ายส่วนมากจะมีการฝึกฝนและศึกษาวงจรกันขโมยของแต่ยี่ห้อแต่ระรุ่นมาเป็น อย่างดี คนร้ายอาจใช้เวลาไม่นานในการต่อสายตรงแล้วสตาร์ทเครื่องหลบหนีได้อย่างรวด เร็ว
ขโมยแล้วเอาไปไหน
1. ส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน
แนวทางของคนร้ายถ้าเป็น รถใหม่ก็จะนำส่งประเทศเพื่อนบ้าน แรกๆก็แปลกใจว่าถ้าจะข้ามตะเข็บชายแดนก็มีทหาร ตำรวจสกัดด่านไว้หมด แล้วมันเอาไปได้ไง ที่เคยเห็นก็เป็นวิธีเอาลงแพ แล้วใช้ไม่ลวกถ่อข้ามแม่น้ำไป ราคาขายในประเทศเพื่อนบ้านไม่เกินหลักแสนบาท
2. แยกขายเป็นอะไหล่มือสอง
ถ้า เป็นรถเก่าหน่อยคนร้าย ก็จะนิยมเอามาแยกขายอะไหล่แบบเชียงกงบ้านเรา ถ้าสังเกตกันดีๆมีหลายร้านที่มีอะไหล่ทั้งนอกและในบ้านเราผสมอยู่ก็ไม่น้อย หรือนำไปซ่อมขาย ลักษณะพวกนี้จะทำงานเป็นออเดอร์สั่งมาเลย อยากได้รุ่นไหน สีอะไรเป็นต้องได้ พวกนี้จะนำมาแยกชิ้นส่วนแล้วนำมาซ่อมรวมกับรถที่เกิดอุบัติเหตุแบบสาหัส ที่ต้องการอะไหล่แบบครึ่งคันหรือใช้เกือบทั้งคันเลยก็มี
3. สวมทะเบียน
อีก แบบก็นำมาสวมกับทะเบียนรถอุบัติเหตุแบบซ่อมไม่ได้แล้ว ใช้แค่ทะเบียนกับหมายเลขตัวถังและหมายเลขเครื่องเดิมนำมา ต่อใส่แล้วเก็บสีให้สวยก็ขายได้แล้ว สมัยนี้ช่างฝีมือ และเทคนิคใหม่ๆมีเยอะ ขนส่งยากที่จะจับได้
4. ทำทะเบียนปลอม
แบบ สุดท้ายใช้รถแบบนั้นเลยแล้วทำทะเบียนปลอมขึ้นมา (จากขนส่ง) สามารถต่อทะเบียนวิ่งได้ทุกปี จนถึงปีที่ 6 ต้องตรวจ ต.ร.อ. ก็ไม่สามารถทำได้เพราะกลัวตรวจสอบเจอ ก็นำไปแยกขายอะไหล่อีกที
แล้วเรามีวิธีป้องกันรถหายกันได้อย่างไร
ใช้อุปกรณ์ป้องกันขโมย ในปัจจุบันมีคนพัฒนาอุปกรณ์เพื่อมาหยุดยั้งการโจรกรรมรถยนต์ออกมาขายมากมาย ไปหมด มาดูตัวอย่างระบบกันขโมยที่นิยมใช้กันในปัจุบัน
1. ล็อคเกียร แทบเป็นอุปกรณ์ที่แถมมากับโรงงานเลย แนะนำให้ใช้ยี่ห้อที่มีเชื่อเสียง วัสดุเป็นสแตนเลส หรือเหล็กกล้าอย่างดี ถ้าเป็นแบบของแถมราคาถูกต้องขอบอกตรงๆครับว่าเหมือนของประดับรถมากกว่า อย่างในรูปผมใช้ใบเลื่อยอย่างดีแทงไม่กี่ทีก็ขาดแล้วหละครับ
2.ล็อคพวงมาลัย เป็น อุปกรณ์ที่ดีโจรต้องใช้เวลาในการปลดล็อคเพิ่มขึ้น โจรอาจใช้วิธีขันพวงมาลัยออกมาปลดล็อค หรือตัดพวงมาลัยออกแบบพวงมาลัยเครื่องบินแล้วขับหนีกันไปแบบนั้นเลย
3. ล็อคเบรคครัช เป็นแบบที่นิยม ใช้กันในปัจจุบัน ผลิตกันมามากมายหลายยี่ห้อ การล็อคแบบนี้จริงๆแล้วถือเป็นการป้องกันแบบทีมีประสิทธิภาพมาก บางรุ่นคนร้ายอาจต้องใช้แก็สตัดเพื่อปลดล็อคเลยก็ได้
4.เทคโนโลยีล่าสุดในการป้องกันขโมยรถยนต์แบบต่างๆ
1.ระบบควบคุมการล็อคประตูแบบไร้สาย (Wireless Door-lock Remote Control System) เป็นระบบที่ใช้รีโมต ควบคุมระยะไกล ใช้เคลื่อนความถี่สูงระดับ FM ส่งรหัส ID Lock จากตัวแม่ Master เข้าสู่กล่องควบคุม ECU ระบบนี้จะใช้รหัสโค้ด 10 ตัว เพื่อเข้ารหัสในการปลดล็อคกุญแจ ถ้ารหัสผิดกล่องจะทำการตัดสัญญาณ ต้องใช้กุญแจไขเท่านั้น และยังคอยรับอาการผิดปกติที่เกิดกับรถยนต์ทุกรูปแบบ
2. ระบบป้องกันการสตาร์ทเครื่องยนต์ (Engine Immobilizer System) ระบบนี้จะอาศัยแผ่นโค๊ด (Tran sponder Chip) ที่ฝังอยู่ในลูกกุญแจ เมื่อนำลูกกุญแจเสียบเข้าสู่แม่กุญแจ จะมีการส่งสนามแม่เหล็กจากตัวแม่ มาสู่ตัวลูก เพื่อเปรียบเทียบโค๊ด ถ้ารหัสผิดกล่องคอมพิวเตอร์จะตัดสัญญาณการสตาร์ทเครื่องยนต์ทันที และไม่สามารถสตาร์ทอีกใหม่อีกได้ ระบบนี้ถ้าเจ้าของรถบางคันคาดไม่ถึง เอาลูกกุญแจสำรองที่ทำปั้มเองมาไข จะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องได้ ต้องลากรถกลับเข้าไปแก้โค๊ดที่ศูนย์ทุกรายครับ
3. ระบบ TDS หรือระบบส่งสัญญาณด้วยเสียง ระบบ นี้จะทำงานเมื่อมีการกดรีโมตล็อคประตู ซึ่งระบบจะมีเซนเซอร์จับสัญญาณเสียงสั่นสะเทือน เพื่อป้องกันการทุบกระจกรถ การเปิดประตูโดยไม่ใช้รีโมต การถอดขั้วแบตเตอร์รี่ ระบบจะส่งสัญญาณเสียงทันที ด้วยตัวกำเนิดสัญญาณเสียงแบบมีแบตเตอร์รี่ในตัว หรือบางรุ่นใช้ต่อพ่วงกับแตรรถยนต์ให้เกิดเสียงดัง ซึ่งต้องใช้รีโมตเป็นตัวหยุดการทำงานเท่านั้น
4. แบบอื่นๆ เทคโนโลยีการป้องกันรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เช่นระบบติดตามรถยนต์ที่ถูกโจรกรรม ด้วยเรดาร์นำทาง GPRS ที่จะมีตัวส่งสัญญาณให้ทราบได้เลยว่า ขณะนี้รถที่ถูกขโมยวิ่งอยู่ที่ไหน ระบบจะประสานงานกับ GPRS ของตำรวจเพื่อติดตาม หรือจะเป็นระบบที่ปล่อยควันหมอกออกมา ให้โจรตกใจและรีบหลบหนีไป และระบบที่เมื่อรถถูกขโมย ระบบจะส่งสัญญาณมายังโทรศัพท์มือถือของเจ้าของรถ ว่ารถกำลังถูกขโมย เพื่อให้เจ้าของรีบโทรแจ้งตำรวจมาสกัดจับได้ต่อไป
ดูแลและป้องกัน
1.การหาที่จอดรถ ไม่ควรจอดในที่เปลี่ยว ลับตาคน หรือจอดค้างคืนไว้เป็นเวลานานจนคนร้ายขโมยได้ง่าย
2.ป้องกันการถูกปั้มกุญแจ เช่นเวลานำรถไปซ่อมตามอู่ที่ไม่น่าเชื่อถือ ล้างอัดฉีด ขอดูรถซื้อขาย และวิธีอื่นๆที่โจรอาจจะใช้เวลาที่เราเผลอแอบปั้มลูกกุญแจและสะกดรอยตาม เวลานำรถไปซ่อม หรือล้าง ควรทิ้งไว้เฉพาะกุญแจรถเท่านั้น กุญแจล็อคแบบอื่นๆ ต้องเก็บไว้ให้หมด
3. ป้องกันการถูกล่อลวง เช่นการขอซื้อรถยนต์ หรือการนัดพบในที่เปลี่ยว หรือในที่ที่ก่อให้เกิดอันตราย
4. เป็นหูเป็นตาให้กับตำรวจ ถ้าพบเห็นบุคคลที่มีพฤติกรรม หรือกำลังโจรกรรมให้รีบแจ้งเพื่อจับกุม
เมื่อรถหายแล้วควรทำอย่างไร
1. แจ้ง จส.100 สายด่วนรถหายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-7119160 เพื่อออกอากาศในสถานีวิทยุเพื่อมีผู้ที่เห็นรถที่หายขับอยู่บนท้องถนน
2. โทรแจ้ง ศปร.ตร ที่เบอร์ 1192 เพื่อ ความรวดเร็วในการกระจายข่าวไปในทุกหน่วยงานในพื้นที่
3. แจ้งความที่โรงพัก และสถานีตำรวจใกล้บ้านให้รวดเร็วที่สุด เพื่อตำรวจได้รีบออกติดตามคนร้าย
4. บอกต่อเพื่อนฝูง คนสนิทที่รู้จักทั้งหมด ให้รีบกระจายข่าวเพื่อไล่ออกติดตาม
5. ติดตาม และ สอดส่องในจุดที่สันนิฐานว่าคนร้ายใช้เส้นทางใดหลบหนี หรือพบเห็นบุคคลต้องสงสัย ให้รีบแจ้งความดำเนินคดี

ขอบคุณที่มา:http://www.insurancethai.net
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 
 
 
 

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รถจดประกอบ คืออะไร?:ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



รถจดประกอบ คืออะไร?:ASN Broker ประกันภัยรถยนต์ 

รถจดประกอบ คือ รถยนต์ที่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนรถ โดยแยกเครื่องกับตัวรถออกจากกันเพื่อสำแดงให้ศุลกากรเห็นว่าเป็นชิ้นส่วนไม่ ใช่รถทั้งคัน
หากเป็นโครงรถที่ไม่ตัดหรือแบ่งครึ่ง จะเสียภาษีศุลกากรชิ้นส่วนตัวถัง 30%
ถ้าตัดครึ่งจะเสียภาษีเพียง 3% แต่ไม่สามารถนำโครงมาจดทะเบียนได้ โดยการขอจดทะเบียนต้องมีเอกสารการเสียภาษีศุลกากรแสดงชิ้นส่วนเครื่องยนต์ และตัวถังจึงจะจดประกอบเป็นรถที่สมบูรณ์ได้ และต้องมีโรงงานประกอบที่ได้รับอนุญาตจากกรมสรรพสามิตเพื่อนำมาประกอบเป็นรถ คันสมบูรณ์และเสียภาษีสรรพสามิตเหมือนรถใหม่ป้ายแดง
car-part1
รูปแบบการนำเข้ารถหรู
การนำเข้ารถมาขายในไทย ตามกฎหมายจะต้องเป็นรถใหม่เท่านั้น รถยนต์ใช้แล้วไม่สามารถเข้ามาได้ เพื่อเป็นการคุ้มครองอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ จะมียกเว้นบ้างก็เป็นรถเฉพาะประเภท หรือรถนำเข้ามาใช้เป็นส่วนบุคคล ของผู้ที่เคยอยู่ หรือศึกษาในต่างประเทศ และทำเรื่องขอนำรถที่เคยใช้กลับมาเมืองไทย (มีเช่นกันที่ใช้ช่องนี้หลบเลี่ยงนำเข้ามาขาย แต่ไม่มากนัก)
แต่การนำเข้ารถใหม่ทั้งคันมีอุปสรรคต่อการทำตลาด เพราะโดนภาษีทุกอย่างเบ็ดเสร็จกว่า 200-300% (แล้วแต่ขนาดเครื่องยนต์และแรงม้า) ด้วยข้ออ้างเพื่อคุ้มครองอุตฯ รถยนต์ในประเทศ ,รถราคา 1 ล้านบาท เมื่อนำมาขายในไทยจะเพิ่มเป็น 3-4 ล้านบาท!
กฎหมายได้อนุญาตให้นำอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถที่ใช้แล้ว หรืออะไหล่รถจากต่างประเทศเข้ามาได้ และให้สามารถนำมาประกอบรถเป็นคัน และจดทะเบียนเหมือนรถปกติทั่วไปได้ หรือที่เรียกกันว่า… “รถจดประกอบ”
รถจดประกอบ จึงไม่ใช่รถที่ผิดกฎหมาย แต่สิ่งที่ผิดและเกิดปัญหา อยู่ที่กระบวนการดำเนินการของรถจดประกอบ ซึ่งผิดไปจากความหมายของรถจดประกอบ เช่นรถหรู/ซูเปอร์คาร์ 6 คัน ที่กำลังจะนำไปจดทะเบียนยังจังหวัดศรีสะเกษ แต่เกิดไฟไหม้ระหว่างทาง 4 คัน และถูกตรวจสอบพบว่า เป็นรถจดประกอบหลีกเลี่ยงภาษี
ปัญหารถจดประกอบไม่ใช่เพิ่งเกิด นิยมทำกันมา 5-6 ปีแล้ว และเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาก็มีข่าวอื้อฉาว จนสื่อมวลชนออกมาสาวไส้กระบวนการรถจดประกอบหลีกเลี่ยงภาษี เพราะมีการตรวจสอบพบว่า รถจดประกอบที่เป็นรถหรู หรือซูเปอร์คาร์ ไม่ได้นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะมาเป็นคัน (บางรายนำเข้ารถใหม่ๆ มาเลย) หรือแยกเพียงล้อเท่านั้นมา ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการอนุญาตนำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนใช้แล้ว
แต่ที่สุดข่าวคราวก็เงียบหายไป จนเกิดกรณีร้อนแรงล่าสุดขึ้นมา จากมูลค่ารถนับร้อยล้านบาท และสื่อมวลชนตามติดเรื่องนี้แทบจะทุกสื่อ
นอกจากนี้ยังมีการนำเข้ารถอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการลักลอบนำรถหรูเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย หรือสิงคโปร์ เพื่อนำมาสวมทะเบียน รถที่นิยมลักลักนำเข้ามา จะเป็นรถหรูรุ่นที่มีในตลาดค่อนข้างมาก เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยู เพราะสามารถหาซากรถรุ่นเดียวกัน(จากอุบัติเหตุ) หรือใกล้เคียง มาตัดต่อแชสซีส์ หรือเลขตัวถังทับ เพื่อสวมทะเบียนได้ง่าย ไม่ก็ใช้ทะเบียนปลอม ตลอดจนติดป้ายแดงวิ่งกันเป็นปีเป็นชาติ แต่ก็เสี่ยงกับการถูกจับสูง
ในบรรดารถหรูนำเข้า รถจดประกอบจึงเป็นรูปแบบที่นิยมกันมากที่สุด เพราะมีช่องให้ดำเนินการได้ถูกกฎหมาย และอัตราภาษีก็ต่ำกว่ารถใหม่นำเข้ามาก หรือใกล้เคียงกับรถประกอบในไทย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 30-50% เท่านั้น
ที่สำคัญได้รับความร่วมมือ จากเจ้าหน้าที่รัฐ(บางกลุ่ม)ในการหลบเลี่ยงเป็นอย่างดี!!
กลโกงนำเข้ารถจดประกอบ
จากความนิยมนำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนมาประกอบรถเป็นคัน หรือรถจดประกอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถที่ไม่ค่อยมีขายในไทย หรือถ้ามีจะเป็นรถใหม่นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน ซึ่งมีราคาแพงมากจากอัตราภาษีกว่า 200-300% ขณะที่รถจดประกอบเสียภาษีเพียง 30-50% และยังประเมินจากฐานของชิ้นส่วนอะไหล่ หรือราคารถมือสอง(ภาษีสรรพสามิต)
จึงไม่แปลกที่จะเห็นรถ “มินิ” ราคาของตัวแทนจำหน่ายกว่า 2-3 ล้านบาทขึ้นไป แต่ถ้าเป็นรถจดประกอบกลับไม่ถึงล้านบาท และคิดดูว่ารถเครื่องยนต์ใหญ่กำลังสูงๆ เสียภาษีเต็มกว่า 300% หรือราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป จะมีช่องห่างของราคาแค่ไหน?
เหตุนี้รถจดประกอบจึงเป็นที่ต้องการ ของบรรดาผู้ชื่นชอบรถหรูและแรง แต่ต้องการสบายกระเป๋า ซึ่งต้นทางของรถเหล่านี้มาจากประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวาเหมือนกัน อย่างอังกฤษ ตะวันออกกลาง และโดยเฉพาะฮ่องกง ที่ใช้รถหรูและสปอร์ตกันมาก รวมถึงประเทศผู้ผลิตรถยนต์อย่างญี่ปุ่น โดยเครือข่ายกลุ่มผู้ค้ารถจดประกอบจะไปซื้อ หรือประมูลมา
อย่างที่บอกรถจดประกอบ จะเป็นรถหรูและสปอร์ต ไม่ก็เป็นรถที่ไม่มีขาย หรือตัวแทนจำหน่ายในไทยนำเข้ามาขายไม่มาก การแยกอุปกรณ์ชิ้นส่วนมา เพื่อประกอบรถจึงไม่ใช่จะกระทำกันได้ง่ายๆ และยิ่งรถเทคโนโลยีสูงๆ แถมบางรุ่นตัวถังทำด้วยอลูมิเนียมอัลลอย อย่างพวกซูเปอร์คาร์ หรือรถหรูระดับท็อปคลาส การที่จะมาเชื่อม (Welding) หรือประกอบเข้ากัน กับเครื่องมือปกติที่มีในไทยทำไม่ได้เลย ต้องใช้เครื่องมือของมันโดยเฉพาะ
ฉะนั้นจึงเกิดคำถามตัวโตๆ… บรรดารถหรูระดับมากกว่า 10 ล้านบาท โดยเฉพาะซูเปอร์คาร์ เหมือนอย่างรถเกิดไฟไหม้ 6 คัน เป็นไปได้หรือที่จะเป็นรถจดประกอบ?!!
มากกว่านั้นบางรายถึงกับนำรถใหม่ เข้ามาทำเป็นรถจดประกอบ เพราะลูกค้ามีความต้องการอยู่แล้ว(และรู้กัน) อย่างที่บอกราคาอย่างน้อยแตกต่างกันเป็นเท่าตัว เพราะทุกขั้นตอนถูกตีเป็นอุปกรณ์ชิ้นส่วนอะไหล่ หรือรถมือสอง จึงทำให้เสียภาษีต่ำกว่ารถใหม่นำเข้าทั้งคัน
นี่จึงเป็นเหตุผล ทำไม? กลุ่มผู้ค้ารถจดประกอบ(เชื่อว่าส่วนใหญ่ แต่ผู้ที่ทำถูกก็มี) นำเข้ารถมาทั้งคันหรือเกือบจะทั้งคัน โดยถอดเพียงแค่ล้อ หรืออย่างมากถอดประตู และฝากระโปรงด้วย เพราะเป็นชิ้นส่วนที่สามารถประกอบได้ง่ายๆ อยู่แล้ว จากนั้นจับใส่ตู้คอนเทนเนอร์ แล้วส่งมาขึ้นท่าเรือแหลมฉบัง หรือคลองเตย
เมื่อมาถึงท่าเรือและกระบวนการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรไทย เนื่องจากกฎหมายเองไม่มีความชัดเจน คำว่าชิ้นส่วนใช้แล้วนำมาจดประกอบ หมายถึงจะต้องแยกชิ้นส่วนขนาดไหน ซึ่งเรื่องนี้ในอดีตเคยมีอธิบดีกรมศุลกากร ต้องการให้ตีความให้ชัด แต่ที่สุดเรื่องก็เงียบหายไปกับสายลมเช่นเคย
ด้วยช่องโหว่ตรงนี้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรบางราย ร่วมมือกับกลุ่มผู้ค้ารถจดประกอบ แลกกับการรับผลประโยชน์ เพียงดูเอกสารสำแดงนำเข้าที่ระบุว่า เป็นอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถ หรืออะไหล่ โดยที่ไม่ได้มีการเปิดกล่องแต่อย่างใด หรือเปิดเพียงเป็นพิธี พอให้เห็นชิ้นส่วนที่แยกมาบางชิ้นเท่านั้น
จากนั้นออกใบอินวอยซ์ หรือใบแสดงรายการสินค้านำเข้าจากศุลกากร โดยเฉพาะหมายเลขโครงตัวถัง และเครื่องยนต์ของรถ เพื่อเสียภาษีศุลกากร และนำชิ้นส่วนอะไหล่(รถทั้งคัน) ออกมาทำเป็นรถจดประกอบ
บทสรุป… อุปกรณ์ชิ้นส่วน(รถทั้งคัน) เหล่านี้ จึงเสียภาษีนำเข้าเพียงไม่เกิน 30% (ของราคาประเมินอะไหล่) ขณะที่อัตรารถใหม่นำเข้าทั้งคันสูงถึง 80%
ขั้นตอนและรูปแบบการกระทำ
ตามกฎหมายของการที่จะทำรถจดประกอบ เมื่อนำอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถเข้ามา จะต้องดำเนินการประกอบรถ กับผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตประกอบรถกรมสรรพสามิต ซึ่งเดิมจะมีเพียงไม่กี่แห่ง เพราะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ แต่ช่วงหลังภาครัฐต้องการสนับสนุนผู้ประกอบการ จึงอนุญาตให้มีโรงประกอบรถมากขึ้น
แม้จะมีอู่หรือโรงรับประกอบรถที่ได้ รับใบอนุญาตมากขึ้น แต่ปัจจุบันในไทยยังคงมีอยู่น้อย หรือแทบจะไม่มีอู่ประกอบรถใดเลย ที่จะสามารถดำเนินการประกอบรถหรู รถสปอร์ต หรือซูเปอร์คาร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวช่าง หรือเครื่องมือต่างๆ เห็นได้จากการนำหมายศาลของดีเอสไอ เข้าตรวจค้นสถานประกอบการรถจดประกอบ 4 จุด ที่เกี่ยวข้องกับรถลัมบอร์กินี 1 ในรถ 4 คัน ที่เกิดเหตุไฟไหม้ ปรากฏว่าไม่มีสภาพที่จะประกอบรถหรู หรือซูเปอร์คาร์ได้เลย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บริษัทหรือกลุ่มผู้นำเข้ารถหรู ต่างก็ใช้ช่องทางเหล่านี้ ในการดำเนินธุรกิจนำเข้าและจดประกอบรถ ซึ่งต้องมีวิศวกรเป็นผู้รับรองมาตรฐานการประกอบรถคันนั้นๆ ด้วย จึงจะสามารถนำไปจดทะเบียนได้
ตามรายงานของดีเอสไอ พบผู้เกี่ยวข้องในการกระทำผิด เกี่ยวกับการดำเนินการประกอบรถจดประกอบ ได้แก่ ผู้นำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วน(รถทั้งคัน) ผู้ประกอบรถ และนอมินี ซึ่งแยกเป็น 4 รูปแบบ อ้างดำเนินการทำรถจดประกอบ โดยรูปแบบแรกลูกค้าจะเป็นผู้ซื้อเครื่องยนต์ และอุปกรณ์รถยนต์ จากบริษัทที่เป็นนอมินีของผู้ประกอบรถ ซึ่งบริษัทผู้ประกอบรถจะทำหน้าที่เป็นผู้รับจ้างประกอบ พร้อมกับขายเฉพาะตัวถัง เพื่อให้ดูเหมือนว่าผู้บริโภคเป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์เอง และบริษัทประกอบรถไม่มีความเกี่ยวข้อง
รูปแบบที่ 2 บริษัทผู้ประกอบรถจะดำเนินการเอง ทั้งการซื้อตัวถัง เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ชิ้นส่วน จากบริษัทนำเข้าโดยตรง เมื่อประกอบรถเสร็จจึงจะนำออกมาขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป และแบบที่ 3 กลับกันลูกค้าจะเป็นผู้ซื้ออุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ทั้งหมด และนำไปให้บริษัทผู้ประกอบรถทำการประกอบให้ แต่อาจจะมีการหาอุปกรณ์ตกแต่งให้
สุดท้ายรูปแบบที่ 4 จะคล้ายๆ กัน ลูกค้าเป็นผู้ซื้อตัวถัง เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ชิ้นส่วนจากผู้นำเข้า โดยชิ้นส่วนตกแต่งจะซื้อจากบริษัทนอมินี ซึ่งจากข้อมูลของดีเอสเชื่อว่า ส่วนใหญ่รถหรูที่นำไปจดทะเบียนส่วนใหญ่จะเป็นแบบแรก และรูปแบบที่ 4
แต่นั่นเป็นรูปแบบของการสำแดงเอกสาร อ้างจดประกอบ ทั้งในการเสียภาษีสรรพสามิต และจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก ซึ่งจริงๆ ล้วนเป็นเครือข่ายเดียวกัน และแทบจะไม่มีการประกอบรถ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรถนำเข้ามาเกือบทั้งคัน(หรือทั้งคัน)
เมื่อกระบวนประกอบรถ(หลอกๆ) เสร็จแล้ว จึงนำรถดังกล่าวไปเสียภาษีสรรพสามิต จากนั้นหากเป็นรถที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน หรือดีเซล ต้องไปให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ตรวจสอบสภาพรถตามมาตรฐานอุตสาหกรรม(มอก.) โดยเฉพาะเรื่องของมาตรฐานมลพิษ แต่ถ้าใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ หรือแก๊ส 100% ไม่ต้องตรวจกับสมอ. แต่ต้องมีการรับรองมาตรฐาน และความมั่นคงปลอดภัยจากวิศวกร ซึ่งอู่ประกอบรถจะดำเนินการให้
ผ่านกระบวนการต่างๆ เหล่านี้แล้ว และนำหลักฐานสำคัญต่างๆ สำเนาใบนำเข้า หรืออินวอยซ์ หลักฐานการตรวจสภาพรถจากสมอ.(ติดแก๊สไม่ต้องมี) และสำเนาใบเสียภาษีสรรพสามิต นำไปขอจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก อาจจะในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดก็ได้
เปิดเส้นทางการนำเข้ารถหรูจดประกอบ รวมถึงขั้นตอนและรูปแบบการกระทำผิดไปแล้ว ได้เห็นกลโกงของรถจดประกอบ นอกจากการนำเข้ารถทั้งคัน หรือเกือบทั้งคัน ยังนำรถที่ประกอบแล้วไปติดแก๊ส โดยเฉพาะบรรดาซูเปอร์คาร์ ล่าสุดดีเอสไอเปิดเผยจำนวนรถหรูและรายชื่อเจ้าของรถ เข้าข่ายต้องตรวจสอบจำนวน 488 คัน ปรากฏว่าส่วนใหญ่ติดแก๊สทั้งนั้น แล้วทำไม? รถหรู/ซูเปอร์คาร์เหล่านี้ถึงชอบดมแก๊ส และการหลีกเลี่ยงภาษีของรถจดประกอบ ล้วนมีเจ้าหน้าที่รัฐมาเอี่ยวทุกขั้นตอน!!?…
car-part2

ทำไม? ซูเปอร์คาร์ต้องติดแก๊ส

จุดที่ทำให้รถไฟไหม้ 4 คัน ทราบว่าเป็นรถจดประกอบทันที มาจากถังแก๊สและอุปกรณ์ต่อพ่วงนั่นเอง เพราะในโลกนี้คงไม่มีซูเปอร์คาร์ระดับ 12 สูบ ติดตั้งแก๊สแน่นอน และในเชิงวิศวกรรมก็ไม่สามารถทำได้
ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงฟันธง!… เป็นรถนำเข้าไม่ถูกต้อง เป็นรถจดประกอบเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี!
งานนี้ผู้คนทั่วๆ ไป จึงเข้าใจว่ารถจดประกอบผิดกฎหมาย หรือหลีกเลี่ยงภาษี(ย้ำว่ารถจดประกอบ เป็นรถถูกต้องตามกฎหมาย) รวมถึงคิดว่าการติดแก๊สเป็นกระบวนหนึ่งของการทำผิด หรือต้องการหลีกเลี่ยงภาษี
ประเด็นที่กลุ่มผู้ค้าหรือผู้ซื้อผู้ ใช้รถจดประกอบ ต้องติดแก๊สรถหรูและซูเปอร์คาร์ เพราะต้องการลดขั้นตอนในการตรวจสภาพรถกับสมอ. และอีกส่วนหนึ่งเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าตรวจสภาพรถ เพราะมีอัตราสูงเป็นแสนบาททีเดียว ที่สำคัญจะตรวจรถผ่านมาตรฐานสมอ. เรียกว่าค่อนข้างเป็นไปได้ยากมาก โดยเฉพาะในเรื่องของมาตรฐานมลพิษ ซึ่งหากตรวจไม่ผ่านก็ต้องสูญเงินไปเลย ไม่มีการคืนเงินแต่อย่างใด และหากตรวจใหม่ก็ต้องจ่ายตามอัตราอีก
เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่รถจดประกอบ แม้แต่รถใหม่ผู้นำเข้าอิสระหรือเกรย์มาร์เก็ต ยังมีปัญหากับสมอ.ในเรื่องนี้เช่นกัน มีรถใหม่นำเข้าจากเกรย์มาร์เก็ตหลายพันคัน ที่ยังไม่เข้ารับการตรวจสภาพรถกับสมอ. จนมีข่าวเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ลูกค้านับพันเคว้งไม่สามารถจดทะเบียนได้ เพราะไม่ผ่านการตรวจสภาพรถกับสมอ. และยังมีรถนำเข้าอีกกว่า 2 พันคัน รอตรวจสอบกับสมอ.อยู่
ปัญหานี้ทางกระทรวงอุตสาหกรรม, สมอ. และกรมขนส่งทางบก ต่างร่วมกันพยายามหาทางออกอยู่ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา สมอ.ได้มีการลดค่าตรวจสภาพรถเกรย์มาร์เก็ต อย่างรถเบนซินเดิมค่าตรวจสอบ 124,163 บาท ลดลงเป็น 49,755 บาท และรถดีเซลขนาดเล็กค่าตรวจสอบ 19,795 บาท จากเดิม 46,588 บาท
ในส่วนของสรรพสามิต รถจดประกอบติดแก๊สยังคงใช้อัตราภาษีปกติ เหมือนกับรถใหม่ทั่วไป อยู่ที่ประมาณ 30-50% (ยังมีภาษีมหาดไทย และภาษีมูลค่าเพิ่ม) เพราะเป็นแก๊สแอลพีจี หรือไม่ใช่รถติดแก๊สซีเอ็นจีจากโรงงาน(Retrofit) ที่จะได้รับอัตราภาษีพิเศษ
การติดแก๊สของรถหรูขนาดใหญ่ หรือซูเปอร์คาร์จดประกอบ จุดประสงค์หลักจึงอยู่ที่เลี่ยงการตรวจสภาพรถของสมอ.เป็นสำคัญ และไม่ได้ต้องการใช้งานจริง ที่สำคัญรถเหล่านี้ไม่สามารถใช้เชื้อเพลิงแก๊ส โดยเฉพาะรถเครื่องยนต์ระดับ 8 หรือ 12 สูบ ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน…
ดังนั้นการติดตั้งแก๊สในรถจดประกอบ ดังกล่าว จึงเป็นการติดหลอกๆ เพื่อผ่านขั้นตอนไปจดทะเบียนเท่านั้น เหมือนอย่างกับซูเปอร์คาร์ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งไม่มีการวางท่อ หรือเชื่อมเข้ากับเครื่องยนต์แต่อย่างใด และเมื่อจดทะเบียนเสร็จก็ถอดออก และหลังจากนั้นขอกลับมาเป็นใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และมีการล้างเล่มทะเบียนใหม่
car-part3
เจ้าหน้าที่รัฐมีเอี่ยวทุกขั้นตอน!!?
จากกระบวนการของรถจดประกอบ จะเห็นว่ามีการหลีกเลี่ยง หรืออาศัยช่องโหว่กฎหมายในทุกขั้นตอน โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐ(บางส่วน) แทบจะทุกกระบวนการ
เริ่มจากนำรถมาขึ้นท่าเรือ ผ่านกระบวนการตรวจสอบของกรมศุลกากร อย่างที่ทราบกันโดยเฉพาะรถหรูขนาดใหญ่/ซูเปอร์คาร์จะนำรถเข้ามาทั้งคัน หรือเพียงถอดล้อ และอย่างมากเพิ่มฝากระโปรง-ประตูรถ ถ้ารถเล็กญี่ปุ่นเทคโนโลยีไม่สูงมาก อาจจะมีการแยกเครื่องยนต์ด้วย
แม้กฎหมายจะไม่ชัด แต่อย่างน้อยก็มีการระบุให้พอเป็นฐานได้ว่า ชิ้นส่วนนำเข้าจดประกอบจะต้องแยกเครื่อง และโครงตัวถังมาทั้งคัน เพราะห้ามตัดครึ่ง หรือตัวหัวตัดท้าย แบบนั่นจะนำเข้ามาเป็นอะไหล่เซียงกง ซึ่งต้องเสียภาษีอีกแบบ(3%) แต่ถ้าเป็นโครงตัวถังภาษีอยู่ที่ 30% โดยต้องมีหมายเลขกำกับชัดเจน
แต่อย่างที่ทราบกัน แทบจะไม่มีการแยกชิ้นส่วนแต่อย่างใด ตรงนี้กลุ่มผู้นำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่จึงต้องใช้กำลังภายใน ว่ากันว่าเป็นจุดที่จะต้องจ่ายสูงที่สุดของทุกระบวนการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรปิดหูปิดตา หรือแค่ดูให้เห็นว่าเป็นกองอะไหล่ เพราะการไปเสียภาษีสรรพสามิต และจดทะเบียนกับกรมขนส่ง ต้องมีใบแสดงรายการสินค้า หรืออินวอยซ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรรับรองความต้องถูกต้อง
car-part4
ผ่านด่านแรกมาที่กรมสรรพสามิต ซึ่งต้องประเมินราคาของรถคันนั้นๆ แม้จะมีเกณฑ์คร่าวๆ อยู่แล้ว แต่หากมีความใกล้ชิดและร่วมมือกัน ราคาประเมินก็อาจจะต่ำลงไปบ้าง
นอกจากนี้กลุ่มผู้ค้าบางราย ไม่ต้องการจ่ายภาษีสรรพสามิตเต็มการประเมิน จึงใช้วิธีนำรถไปให้สรรพสามิตต่างจังหวัดที่คุ้นเคยจับปรับ ซึ่งจะประเมินกันค่อนข้างต่ำ ยกตัวอย่างรถจดประกอบราคาประเมิน 10 ล้านบาท อัตราภาษี 30% ประมาณ 3 ล้านบาท แต่เจ้าหน้าที่สรรพสามิตที่ร่วมกัน จะประเมินตีภาษีเพียง 5 แสนบาท ซึ่งรวมค่าปรับ 3 เท่า เบ็ดเสร็จจ่ายภาษีทั้งหมด 1.5 ล้านบาท
จะเห็นว่าถูกกว่าจ่ายภาษีโดยตรงเป็น เท่าตัว!… เมื่อจ่ายค่าปรับภาษีแล้ว สามารถนำใบเสร็จดังกล่าว ไปขอรับจดทะเบียนกับกรมขนส่งได้ถูกกฎหมายเช่นกัน
แต่วิธีนี้ก็ต้องมาลุ้น(หรือไม่) จะมีการตรวจสอบภาษีย้อนหลังหรือไม่ เพราะหากตรวจพบว่าจ่ายภาษีต่ำกว่าความเป็นจริง คราวนี้ล่ะโดน 3 เท่าของราคาภาษีประเมินจริง หรือ 9 ล้านบาท!!
ในส่วนของการตรวจสภาพกับสมอ.เช่นกัน ซึ่งรู้กันว่าเป็นด่านหินที่สุดของรถจดประกอบ เพราะมาตรฐานอุตสาหกรรมรถยนต์เบนซินและดีเซลค่อนข้างสูงมาก แม้แต่รถใหม่นำเข้าของเกรย์มาร์เก็ตยังหนาว โดยเฉพาะรถยนต์ญี่ปุ่น รถมือสองอย่างรถจดประกอบ แทบจะมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่ผ่าน
นี่จึงมีข่าวกระเซ็นออกมา ทั้งจากผู้นำเข้าอิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ตว่า หากไม่อยากจะยุ่งยากมากนัก ต้องมีค่าตรวจพิเศษเป็นจำนวนหลักครึ่งแสนต่อคันกันเลย!
ขณะที่วงการรถจดประกอบ ไม่แตกต่างกันมากนัก นี่จึงเป็นที่มาของซูเปอร์คาร์อย่าง ลัมบอร์กินี หรือเฟอร์รารี่ ติดแก๊สหลอก หรือที่แซวๆ กันว่า… ซูเปอร์คาร์ชอบดมแก๊ส!!
เมื่อผ่านทุกด่านเสร็จแล้ว เหลือขั้นตอนสุดท้าย จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ซึ่งจะเป็นด่านที่รถจดประกอบ จะแปลงสภาพเป็นรถถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่?
เกี่ยวกับเรื่องซิกแซกให้เร็ว หรือตรวจสอบใบหลักฐานต่างๆ คงไม่ต้องพูดกัน มาว่ากันเรื่องที่การตีตรารับรองรถหรู/ซูเปอร์คาร์ติดแก๊สจดทะเบียนได้ เพราะต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องใช้งานจริงได้หรือไม่ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องพิสูจน์อะไรมาก กับเหตุผลง่ายๆ…
รถหรูขนาดใหญ่ และซูเปอร์คาร์ ที่เครื่องยนต์ระดับ 8 หรือ 12 สูบ เป็นไปได้หรือที่จะใช้เชื้อเพลิงแก๊ส เพราะในโลกนี้เขาไม่ทำกัน และมันเป็นไปไม่ได้เลย!!
ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งก็มีการอนุมัติให้จดทะเบียน จากการมีอะไรมาปิดตาปิดหูเสีย และพอเสร็จขั้นตอนนี้ผู้ขอจดทะเบียนรถจดประกอบจะถอดแก๊สออก สักพักจึงขอเปลี่ยนเป็นใช้น้ำมันเชื้อเพลิงตามเดิม ถ้าจดต่างจังหวัด(กำลังนิยม) จะขอย้ายมากรุงเทพฯ และมีการแจ้งหาย หรือล้างเล่มทะเบียน ทำให้ไม่เห็นว่ามีการติดตั้งแก๊ส(หลอก) มาก่อน (ต้นฉบับที่ขนส่งยังสามารถตรวจสอบได้)
แต่จะว่าไปรถหรู/ซูเปอร์คาร์ติดแก๊สหลอก มีการเปิดโปงมาได้ 2-3 ปีแล้ว ทำให้ผู้บริหารของกรมการขนส่งทางบก ต้องแจ้งให้หน่วยงานต่างๆ ระมัดระวัง โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ที่เป็นแหล่งของรถจดประกอบ
เหตุนี้ในช่วงหลังๆ ขบวนการรถจดประกอบ จึงเบนไปยังต่างจังหวัดแทน และโดยเฉพาะจังหวัดที่มีเครือข่ายร่วมมือกัน จึงไม่แปลกที่เมื่อหลายปีก่อน จะเห็นซูเปอร์คาร์ติดป้ายทะเบียนลำพูนเต็มไปหมด และปัจจุบันที่เป็นข่าวฮือฮา ย่อมต้องเป็นขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ เป้าหมายของรถหรู 6 คัน ก่อนที่จะเกิดไฟไหม้เสียก่อน จนกลายเป็นข่าวอื้อฉาว และมีการตรวจสอบพบว่า 2 ปีที่ผ่านมา ได้จดทะเบียนรถจดทะเบียน 19 คัน จนขนส่งจังหวัดถูกเด้งเข้ามาช่วยราชการในกรมฯ
เรียกว่า… กระบวนหลบเลี่ยงภาษีและกฎหมายของรถจดประกอบ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายทางกันเลยทีเดียว
งานนี้ “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ถึงกับบอกว่าขบวนการหลบเลี่ยงภาษีของรถจดประกอบ สร้างความเสียหายให้กับรัฐ ปีละไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท!!
กระแสข่าวที่ออกมา ดูเหมือนว่าขนส่งต่างจังหวัด จะเป็นเป้าหมายของรถจดประกอบ ซึ่งอาจจะจริงกับบางจังหวัด เพราะมีเครือข่ายหรือเจ้าหน้าที่ขนส่งที่รู้กัน แต่จริงๆ แล้วเป้าหมายของรถจดประกอบ อยู่แค่ปลายจมูก หรือใกล้เคียงกับกรุงเทพฯนี่เอง และรถรุ่นฮิตก็ไม่ใช่ซูเปอร์คาร์มากนัก กับเป็นรถนิสสัน คิวบ์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรุ่นรุ่นมินิ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ไฟไหม้รถหรู/ซูเปอร์คาร์ 4 คัน ดูเหมือนจะลุกลามกลายเป็น… จุดอวสานของรถนำเข้าจุดประกอบ?!!
car-part5
นนทบุรี/นิสสัน-เบนซ์-มินิฮิต!
กระแสข่าวที่ออกมา ดูเหมือนว่าขนส่งต่างจังหวัด จะเป็นเป้าหมายของรถจดประกอบ ซึ่งอาจจะจริงกับบางจังหวัด เพราะมีเครือข่ายหรือเจ้าหน้าที่ขนส่งที่รู้กัน แต่จริงๆ แล้วเป้าหมายของรถจดประกอบ อยู่แค่ปลายจมูก หรือใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นนนทบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา หรือจังหวัดในเขตภาคกลางรอบๆ นี่เอง
เพราะคงไม่มีใครอยากจะนำรถไปจดทะเบียนไกลๆ เพราะเสียเวลาเดินทาง และค่าขนส่งเปล่าๆ นอกจากจะเป็นรถราคาแพง อย่างรถหรู/ซูเปอร์คาร์ 6 คัน หรือต้องระมัดระวังพิเศษ ไม่ให้อยู่ในสายตาของกรมขนส่งทางบกส่วนกลาง
จากข้อมูลของดีเอสไอ พบว่าในช่วงปี 2554-2555 มีรถจดประกอบต้องสงสัยหลบเลี่ยงภาษี เข้าสู่ระบบจดทะเบียนของกรมการขนส่งทางบก 5,823 คัน แยกเป็นแจ้งจดทะเบียนใช้แก๊สระบบเดียว 2,410 คัน และใช้เชื้อเพลิงปกติ 3,422 คัน นอกจากนี้ยังมีรถจดประกอบ ยื่นขอแบบการเสียภาษีรถยนต์ของกรมสรรพสามิตในปี 2556 จำนวน 3,000 คัน
โดยรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง ยี่ห้อที่นิยมนำมาจดประกอบ และจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ระหว่างปี 2554-2555 จำนวน 5,832 คัน ปรากฏว่ามากสุดเป็น นิสสัน คิวบ์ 1,741 คัน รองลงมาตามลำดับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ 823 คัน
โตโยต้า 763 คัน มินิคูเปอร์ 596 คัน โฟล์คสวาเกน 511 คัน บีเอ็มดับเบิลยู 281 คัน โรเวอร์ 278 คัน มาสด้า 220 คัน มิตซูบิชิ 157 คัน ฮอนด้า 146 คัน ไดฮัทสุ 56 ซูบารุ 55 คัน ไครสเลอร์ 46 คัน ปอร์เช่ 38 คัน ออดี้ 27 คัน จากัวร์ 20 คัน เลกซัส และอัสติน ยี่ห้อละ 12 คัน อีซูซุ 9 คัน เปอโยต์ และซาบ ยี่ห้อละ 6 คัน เช่นเดียวกับเฟอร์รารี เชฟโรเลต และโรลส์-รอยซ์ อย่างละ 4 คัน เบนท์ลีย์ 3 คัน แลนด์โรเวอร์ 2 คัน ส่วนคาดิแลค ฟอร์ด ฮุนได ลินคอล์น โลตัส มิตซูโอกะ และมอริส ยี่ห้อละ 1 คัน
ขณะที่รายงานจากกรมการขนส่งทางบก รายงานสถิติการจดทะเบียนรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนใช้แล้วนำเข้าจากต่าง ประเทศ หรือรถจดประกอบ ในพื้นที่ขนส่งต่างๆ ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2553 – 31 มี.ค.2556 จำนวนรวม 6,862 คัน ประกอบด้วย นนทบุรี 2,741 คัน สระบุรี 1,289 คัน กรุงเทพฯ 861 คัน พระนครศรีอยุธยา 679 คัน อ่างทอง 355 คัน นครปฐม 343 คัน ปราจีนบุรี 318 คัน นครนายก 118 คัน ชลบุรี 54 คัน กาญจนบุรี 42 คัน ราชบุรี 31 คัน ศรีสะเกษ 23 คัน อุบลราชธานี 5 คัน สมุทรสาคร 1 คัน อุดรธานี 1 คัน และอุตรดิตถ์ 1 คัน
รายงานสถิติที่เปิดเผยออกมา จะพบว่าในจำนวนยี่ห้อรถนิยมจดประกอบ อย่างนิสสัน คิวบ์ หรือเมอร์เซเดส-เบนซ์ คงไม่จำเป็นต้องวิ่งไปจดใกล้ในภาคอื่น โดยส่วนใหญ่จดทะเบียนกับขนส่งจังหวัดปริมณฑล หรือใกล้เคียง ไม่ก็จดที่กรุงเทพฯ นอกจากรถที่ผิดปกติมากๆ อย่างรถหรูขนาดใหญ่/ซูเปอร์คาร์ 6 คัน จึงจะไปจดจังหวัดไกลๆ ที่มีเครือข่ายเจ้าหน้าที่ร่วมมือกันเท่านั้น
ไฟไหม้สู่จุดจบรถจดประกอบ?
ผลสะเทือนจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถหรู/ซูเปอร์คาร์ 4 คัน ได้ลุกลามเผารถจดประกอบทั้งวงการ เพราะได้รับความสนใจจากประชาชน สื่อมวลชนทุกแขนงเกาะติดต่อเนื่องเกือบสองสัปดาห์ และยังคงจะดำเนินต่อไป…
จนทำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างต้องเร่งแก้ไขปัญหากันเร่งด่วน และมีเจ้าหน้าที่รัฐถูกไฟลามเซ่นกรณีรถหรู 6 คัน อย่างขนส่งจังหวัดศรีสะเกษที่ถูกเด้งเข้ากรุ ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ ต่างก็เร่งทำผลงาน จะเห็นว่าตำรวจภาค 2, 3 และ 4 ต่างโชว์การตรวจจับยึดรถหรู/ซูเปอร์คาร์ ที่เป็นรถลักลอบนำเข้าประเทศ รถสวมซาก ขูดลบทะเบียนหมายเลขตัวถัว และรถปลอมแปลงเอกสารเป็นจำนวนมาก
แม้แต่กรมศุลกากรล่าสุด ยังแถลงจับกุมยึดรถยนต์ลักลอบหนีศุลกากรและเลี่ยงอากร ที่ล้วนเป็นรถหรูและซูเปอร์คาร์จำนวน 10 คัน อาทิ ลัมบอร์กินี, ปอร์เช่, เมอร์ซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และลักซัส รวมมูลค่า 129 ล้านบาท
แต่นี่คงจะเป็นเพียงพิธีกรรมเซ่นไฟไหม้เท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจเห็นจะเป็นการเปิดท่อที่ตันมานาน เกี่ยวกับกฎหมายควบคุมรถจดประกอบ อย่างเรื่องการไม่รับจดทะเบียนรถจดประกอบ ที่ได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ เพราะคมนาคมยังไม่ออกกฎกระทรวงมาบังคับใช้ อ้างมีรถจดประกอบที่รอตรวจจากสมอ.อยู่เยอะ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา “นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ลงนามในกฎกระทรวงเรื่อง “งดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้ว ที่นำเข้าจากต่างประเทศ”…
โดยกฎกระทรวงดังกล่าว จะครอบคลุมรถที่จดทะเบียนพื้นที่กรุงเทพฯ และทุกจังหวัด สำหรับประเภทของรถที่อยู่ในข่ายงดรับจดทะเบียน ประกอบด้วยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน รถบรรทุกส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล โดยชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้ว จะมีความหมายรวมถึงชิ้นส่วนที่เป็นตัวถังรถ โครงคัสซี และโครงรถจักรยานยนต์
ในกฎกระทรวงดังกล่าว ยังระบุผู้ที่ประสงค์จะนำเข้ารถมาจดทะเบียน ต้องดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยกรณีเป็นรถติดแก๊สไม่ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐาน ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ให้นำมาจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงบังคับใช้ ส่วนรถที่ต้องผ่านการตรวจสอบของสมอ. ให้นำมาจดทะเบียนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้หลังจากลงนามกฎกระทรวง จะส่งเรื่องไปที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ประกาศก็จะมีผลบังคับใช้
หรือนี่จะเป็น… บทอวสาน “รถจดประกอบ” ในไทย?!
car-part6

ยกเลิกจดทะเบียนรถหรูประกอบ…แล้วทำไง?

เหตุไฟไหม้รถสปอร์ตหรูหลายคัน ที่บรรทุกอยู่บนรถเทรลเลอร์ขณะนำส่งลูกค้า ช่วงทางขึ้นเขากลางดง กม.36-37 ถนนมิตรภาพ ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง ส่งผลให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับวิธีการนำเข้ารถหรู การขนย้าย การจดทะเบียน รวมถึงตัวเจ้าของผู้ครอบครองรถหรูเหล่านี้
กรณีดังกล่าวกลายเป็นข่าวต่อเนื่องอยู่บนหน้าหนึ่ง นสพ.เดลินิวส์ และนสพ.ของหลายสำนักพิมพ์อยู่หลายวัน กระทั่งวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีประกาศบังคับใช้กฎกระทรวง งดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถใช้แล้วที่นำมาจากต่างประเทศ พ.ศ.2556 ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 17 มิ.ย.56 มีผลบังคับใช้ทันที
โดยกำหนดให้งดรับจดทะเบียนรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่ นำเข้ามาจากต่างประเทศในเขตกรุงเทพมหานคร และในเขตจังหวัดอื่นทั่วประเทศ
นายอัฌษไธค์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองอภิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า สำหรับรถที่จดประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนให้เจ้าของรถมาจดทะเบียนภายในระยะเวลาที่กฎกระทรวง กำหนด โดยรถที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงระบบเดียว หรือรถที่ผ่านการทดสอบจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)แล้ว ให้ยื่นเอกสารขอจดทะเบียนรถ ภายในวันที่ 16 ก.ค.56 โดยรถเก๋ง ต้องยื่นคำขอจดทะเบียน ณ กรมการขนส่งทางบก จตุจักร เพียงแห่งเดียว
สำหรับรถตู้ รถปิคอัพ และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล สามารถยื่นขอจดทะเบียนรถได้ที่ กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดได้ทั่วประเทศ ส่วนรถที่ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แต่ยังมิได้ผ่านการทดสอบ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนให้ถูกต้อง และยื่นเอกสารขอจดทะเบียนรถภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2557 โดยแนบหลักฐานในการขอจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำ เข้ามาจากต่างประเทศ อาทิ หลักฐานการนำเข้าตามขั้นตอนจากกรมศุลกากร หลักฐานการเสียภาษีจากกรมสรรพสามิต และหลักฐานการผ่านการตรวจสภาพรถจากสำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หนังสือรับรองจากวิศวกร ฯลฯ จึงขอให้ผู้ที่ประสงค์จะขอจดทะเบียนรถดังกล่าว ดำเนินการให้ถูกต้องตามระยะเวลาที่กำหนดต่อไป หากพ้นกำหนดดังกล่าว จะไม่สามารถจดทะเบียนให้ได้
สำหรับประกาศบังคับใช้กฎกระทรวง งดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถใช้แล้วที่นำมาจากต่างประเทศพ.ศ.2556 มีดังนี้
วันที่ 17 มิถุนายน 2556 ราชกิจจานุเบกษา  เผยแพร่ กฎกระทรวง งดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจาก ชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศพ.ศ. 2556
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้  เนื่องจากในปัจจุบันได้มีการนำเข้าชิ้นส่วนของ รถที่ใช้แล้วมาจากต่างประเทศมาประกอบและจดทะเบียนเป็นรถใหม่จำนวนมากเพื่อ หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ในประเทศ สมควรกำหนดให้งดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำ เข้าจากต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ข้อ 1 ให้งดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำ เข้ามาจาก ต่างประเทศ ในเขตกรุงเทพมหานครและในเขตจังหวัดอื่นทุกจังหวัด สำหรับประเภทรถดังต่อไปนี้
(1) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน
(2) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคน
(3) รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
(4) รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
ชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า ชิ้นส่วนที่เป็นตัวถังรถ โครงคัสซีรถหรือโครงรถจักรยานยนต์ แล้วแต่กรณี
ข้อ 2 ผู้ใดประสงค์จะนำรถตามข้อ 1 มาจดทะเบียนตามมาตรา 10 ให้นำมาจดทะเบียนภายในระยะเวลา ดังต่อไปนี้
(1) กรณีเป็นรถที่ไม่ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือเป็นรถที่ ผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมแล้วให้นำมาจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
(2) กรณีเป็นรถที่ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แต่ในวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับยังไม่ได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้นำมาจดทะเบียนภายใน 1 ปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
ให้ไว้ ณ วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ปมรถหรู ไฟไหม้ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา กลายเป็นข่าวคึกโครมระดับชาติ จึงนำมาสู่กระบวนการตรวจสอบครั้งมโหฬาร ล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับทำคดีและไล่ตรวจสอบผู้ครอบครองรถหรูจดประกอบที่ถูกขึ้นบัญชีต่องสงสัยร่วม 500 คัน โดยมีคนที่มีชื่อเสียงและเศรษฐ
รถจดประกอบ คือ รถมือสองที่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วน โดยแยกเอาโครงรถและอุปกรณ์ต่างๆ ออกจากกัน ส่วนจะแยกชิ้นส่วนมากน้อยเพียงใดไม่สำคัญ โดยก่อนนำเข้าต้องแสดงให้กรมศุลกากรทราบว่า นำเข้ามาแบบเป็นชิ้นส่วน ไม่ใช่นำเข้ามาทั้งคัน
การนำเข้ารถมาทั้งคัน จะถูกคิดภาษีสูง อีกทั้งต้องนำเข้า “โครงตัวรถ” มาทั้งคัน ห้ามตัดครึ่ง ให้นำเข้ามาแบบสมบูรณ์ทั้งโครงตัวรถ การนำเข้ารถในแบบนี้จะนำโครงที่นำเข้ามานั้นจดเป็นรถจดประกอบได้ โดยจะเสียภาษีศุลกากรนำเข้าชิ้นส่วนตัวถัง  30%  ถ้าไม่ได้นำเข้ามาแบบโครงเต็มที่สมบูรณ์ จะเป็นการนำเข้าโดยตัดครึ่งหรือตัดมาบางส่วน เสียภาษีแค่ 3% แต่ไม่สามารถใช้โครงนั้นมาจดทะเบียนได้ ดังนั้นโครงที่นำเข้านี้ จะใช้เป็นอะไหล่ไม่เหมือนกับพวกที่นำเข้ามาทั้งโครงแบบสมบูรณ์ ที่ขอจดทะเบียนได้
การนำรถมาขอจดทะเบียน ต้องมีเอกสารอินวอยซ์ที่เสียภาษีศุลกากร แสดงชื้นส่วนเครื่องยนต์และตัวถัง ถึงจะนำมาจดประกอบเป็นรถที่สมบูรณ์ได้ เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้ว ต้องหาโรงงานประกอบรถที่ได้รับอนุญาติจากกรมสรรพสามิต  เพื่อประกอบรถให้เป็นคัน เมื่อประกอบเสร็จ ต้องนำไปเสียภาษีสรรพสามิตเหมือนรถป้ายแดง โดยกรมสรรพสามิตจะประเมินราคาว่า รถรุ่นไหน เครื่องยนต์ขนาดใด เสียภาษีเท่าไหร่ จากข้อมูลกรมสรรพสามิตระบุว่า รถที่มีเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,800 ซีซี เสียภาษี 30% จากราคาประเมิน รถที่มีเครื่องยนต์เกิน 2,800 ซีซี เสียภาษี  50%  ของราคาประเมิน
สารพัดกลโกงภาษี
ผู้ประกอบการบางรายเลี่ยงการเสียภาษี โดยใช้ช่องว่างกฎหมาย  ส่วนใหญ่จะนำรถไปให้กรมสรรพสามิตต่างจังหวัดจับปรับ ซึ่งจะเสียภาษีแค่ 3 เท่า หลังจากถูกปรับจะนำใบเสร็จค่าปรับไปแสดง เพื่อนำรถไปจดทะเบียน เช่น รถจดประกอบคันหนึ่งต้องเสียภาษี 30% กรมสรรพสามิตตีราคาประเมิน 10 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 30% เป็นเงิน 3,000,000 บาท แต่กรณีนี้เสียค่าปรับ100,000 บาท ทั้งที่ต้องจ่ายจริง 3 เท่าหรือ 300,000 บาท)
หลังจากจ่ายค่าปรับ 100,000 บาท จะนำใบค่าปรับไปยื่นต่อกรมขนส่งเพื่อขอจดเป็นรถจดประกอบอย่างถูกต้อง หากตรวจพบภายหลัง ผู้เป็นเจ้าของรถจะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังได้ หมายความว่า จะต้องควักเงิน 3 เท่าของราคาภาษีที่ประเมินจริง (เทียบจากตัวอย่างที่ยกมา เจ้าของรถต้องเสียภาษีถึง 9,000,000  บาท)
การจดเป็นรถติดแก๊สนั้น รถทุกคันต้องเสียภาษีสรรพสามิตเป็นปกติ เพียงแต่รถจดประกอบทุกคันต้องส่งตรวจ (สมอ.) หรือ สำนักมาตรฐานอุตสาหกรรม ถ้าเป็นรถทั่วไปที่เปิดตัวใหม่ๆ ผู้ผลิตจะส่งแค่รุ่นละ 1 คันให้ตรวจ แต่กรณีรถมือสองหรือรถจดประกอบต้องตรวจทุกคัน ถ้าตรวจไม่ผ่านต้องเสียค่าตรวจฟรีนับ 10,000 บาท โดยที่ผ่านมามีนายหน้ารับเป็นธุระเดินเอกสารให้ผ่าน แต่คิดค่าบริการแพง 200,000-300,000  บาทต่อคัน
อย่างไรก็ตาม มีคนที่เห็นช่องว่างกฏหมาย โดยนำรถไปติดแก๊สแล้วนำไปจดทะเบียน ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายการเดินเรื่อง เนื่องจาก (สมอ.) ไม่มีเครื่องตรวจรถที่ใช้แก๊ส  จึงอนุโลมให้รถติดแก๊สไม่ต้องตรวจ (สมอ.) สามารถนำรถเข้าจดทะเบียนได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายคนเลี่ยงมาใช้วิธีดังกล่าว บางรายนำรถหรูไปติดแก๊ส พอติดได้ไม่นานก็ไปแจ้งยกเลิกกลับไปใช้น้ำมันตามเดิม บางคนอ้างว่าเล่มทะเบียนหาย ไปขอทำใหม่ จะให้เล่มทะเบียนไม่มีหลักฐานว่า รถคันดังกล่าวเคยจดติดตั้งแก๊สมาแล้ว (แต่ต้นขั้วที่กรมขนส่งยังมีระบุไว้) บางรายไม่ได้นำรถไปติดแก๊สจริง แต่ใช้วิธีการซิกแซกแล้วให้พนักงานบันทึกว่า เป็นรถติดแก๊ส
ด้านกรมสืบสวนคดีพิเศษที่รับดำเนินคดีรถหรูจดประกอบ เปิดเผยว่า จะตรวจเอกสารรถหรูต้องสงสัย ทั้ง 488 คันว่า เอกสารรถเหล่านี้แสดงข้อเท็จจริงว่า เป็นรถที่จดประกอบภายในประเทศหรือไม่ หากตรวจพบว่า ไม่ได้ประกอบโดยผู้ประกอบอุตสาหกรรมในประเทศไทยจริง  จะดำเนินคดีกับผู้ประกอบการเป็นหลัก ส่วนผู้ครอบครองนั้นจะพิจารณาตามข้อกฎหมายในเรื่องของหลักเจตนารู้เห็นหรือไม่
สำหรับการเลือกใช้วิธีการตรวจสอบนี้ จะทำให้เจ้าหน้าที่แยกแยะรถจดประกอบอย่างถูกต้อง กับรถที่หลีกเลี่ยงการเสียภาษีตามกฎหมายออกจากกัน โดยปลายเดือนมิถุนายนนี้จะตรวจสอบรถหรูที่มีชื่ออยู่ทั้งหมด 488 คัน และเปิดโอกาสให้เจ้าของรถเหล่านี้ที่สมัครใจ นำรถและเอกสารมายืนยันความถูกได้ เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาที่ให้มายืนหลักฐาน จะมีหมายเรียกเจ้ารถหรูมาสอบสวน
จากการสอบสวนเบื้องต้นของ (DSI) ยืนยันว่า มีเต็นรถจำนวนมากขายรถจดประกอบถูกต้อง แต่ยังตกค้างไม่ได้รับการจดทะเบียนหรือเสียภาษีตามกฎหมาย แต่ได้รับความเดือดร้อน เพราะเข้าข่ายรอจดทะเบียน โดยกรมสรรพสามิตยืนยันว่า รถหรูที่เข้าข่ายนี้สามารถไปยืนขอเสียภาษีตามที่กรมฯ กำหนดไว้ได้
ผู้ประกอบการโอดกระทบธุรกิจ
ผู้ประกอบการรถจดประกอบรายใหญ่ย่านศาลายา กล่าวว่า ได้ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รถหรูจดประกอบทุกคันที่มีจำหน่ายได้ผ่านการเสียภาษีจากกรมศุลกากรอย่างถูก ต้องตามขั้นตอนทุกคัน
“บอกมาเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น เวลานี้รถของเต็นที่ถูกยึดไปยังอยู่ในขั้นการตรวจสอบ จึงบอกไม่ได้ว่า ผิดหรือถูก อย่างไรก็ตามพอมีเรื่องแบบนี้แน่นอนต้องส่งผลกระทบต่อการจำหน่าย ลูกค้าสอบถามเข้ามาเหมือนกัน”
คุณชนาสิน บำรุงชน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ  บริษัท ทีแอสแอล คอร์เปเรชั่น จำกัด กล่าวว่า มุมมองของประกอบการรถใหม่จริงๆ ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ที่ผ่านมามีลูกค้าสอบถามว่า รถที่ซื้อไปจะมีปัญหาหรือเปล่า แต่เมื่ออธิบายให้ทราบลูกค้าก็สบายใจ
คุณนายพสิษฐ์ วราห์บัณฑูรวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาร์ลอฟท์ ออโต้ อิมพอร์ต จำกัด ผู้นำเข้าอิสระกล่าวว่า รถหรูที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างถูกต้องปัจจุบันยังตกค้างในที่พักรถ ไม่สามารถจดทะเบียนได้กว่า 1,000 คัน แต่ไม่เกี่ยวกับกรณีที่เป็นข่าว จึงส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบรถนำเข้าในเรื่องเงินทุน ซึ่งเรื่องนี้สมาคมผู้นำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศฯ กำลังกระตื้นรือร้นติดตามอย่างต่อเนื่อง
กรมขนทางทางบกยืนยันว่า กฎกระทรวงคมนาคมที่ห้ามรับจดทะเบียนรถจดประกอบทุกกรณี ผ่านการลงนามจากรัฐมนตรีว่ากรกระทรวงคมนาคมแล้ว และเตรียมประกาศใช้ในราชกิจจารุเบกษา แต่ยกเว้นให้ 2 กรณีคือ รถที่ตรวจ (สมอ.) ไว้แล้ว แต่เมื่อกฎกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ ยังอนุโลมให้ยืนหลักฐานการจดได้ภายใน 1 เดือน อีกกรณีคือ รถที่มีเอกสารพร้อม “รถที่ผ่านกระบวนการ (สมอ.)” สามารถจดทะเบียนได้ภายใน 1 ปี
car-part7
ขอบคุณที่มา:http://www.insurancethai.net
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์