วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

ซื้อรถมือสองมาแล้ว ทำอย่างไรต่อไป #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ซื้อรถมือสองมาแล้ว ทำอย่างไรต่อไป #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ซื้อรถมือสองมาแล้ว ทำอย่างไรต่อไป #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

สวัสดีครับ ASN Broker กลับมาคราวนี้หลังจากแนะนำวีธีขายไปแล้ว วันนี้เรามาแนะนำสำหรับผู้ซื้อรถมือสอง ต้องทำอย่างไรต่อไป เมื่อคุณเก็บหอมรอมริบได้เงินครบจะไปดาวน์รึซื้อสดรถคันโปรดมาแล้ว  บางทีอาจเป็นรถคันแรกของบ้านคุณ  แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป  บทความนี้จะบอกให้ทราบว่ามือใหม่(แต่)รถไม่ใหม่นั้น ควรจะทำอย่างไรบ้างเมื่อคุณขับคันนี้กลับมาที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

1.ทำความรู้จัก
 อย่าตกใจว่าทำความรู้จักกับใคร ไม่ใช่ช่างซ่อมหรือคนขายคนสวยแน่นอน  แต่ที่ต้องรู้จักก็คือรถของคุณนั่นเอง  สิ่งที่คุณต้องรู้จักดังต่อไปนี้
- รุ่นของรถ/ปี  บ่อยครั้งที่เราไปซื้ออะไหล่รถเองแล้วถ้าเราไม่รู้ชื่อรุ่นที่แม่นยำเกิดปัญหาแน่นอนอย่างเช่น เพราะรถชื่อรุ่นเดียวกันแต่อาจใช้เครื่องยนต์ต่างกันก็มีไม่น้อย  เรื่องอย่างนี้ถือเป็นเรื่องหญ้าปากคอกที่ทำให้เจ้าของรถที่เรียกตัวเองว่าเซียนเหงื่อแตกมาหลายคนแล้ว  เวลาไปซื้ออะไหล่รถที่ตัวเองขับอยู่ทุกวัน
- เครื่องยนต์  คุณควรรู้ขนาดซีซีของเครื่องยนต์และจำนวนวาวล์  ชื่อบล็อกของเครื่องยนต์ของรถคุณ  เช่นใช้มิตซู-แลนเซอร์  บล็อก 4G63 ตัวเลขเพียงไม่กี่ตัวกลับบอกความแตกต่างของรุ่นได้มากมาย  ถ้าไม่รู้เปิดฝากระโปรงรถดูส่วนใหญ่จะมีเขียนรายละเอียดเอาไว้  บางคนเถียงว่าดุจากคู่มือรถก็รู้  แต่ก็ทราบกันดีว่าคู่มือการใช้รถนั้นน้อยนักที่จะตกมาถึงมือของเจ้าของรถมือสองมือสามอย่างเราๆ
- จุดวัดระดับน้ำมัน-น้ำยาต่างๆ คุณต้องรู้ว่าอันไหนเป็นจุดวัดระดับน้ำมันเครื่อง  น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์  น้ำมันเบรก น้ำยาแอร์  หม้อน้ำรถ  หม้อพักน้ำ  น้ำฉีดกระจก  น้ำกลั่นแบตเตอรี่  ฯลฯ  อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าจะวัดระดับตรงไหนอย่างไร   มีรุ่นน้องที่ทำงานชอบถกเถียงเรื่องรถกับผมบ่อยๆ  เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ซื้อรถมือสองมาใหม่คุยเรื่องระบบต่างๆของรถราวกับท่องมาซะยืดยาว  แต่เปิดฝากระโปรงรถให้ผมดู  ก่อนจะถามว่าที่ดูระดับน้ำมันเครื่องมันอันไหนกันแน่อันนี้อาการหนักจริงๆ  ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ 
-  ดูระดับน้ำมันเครื่องตรงไหน Max – Min
-  เติมน้ำหม้อน้ำตรงไหน  ควรเติมในหม้อพักและไม่ให้มากไปนักที่สำคัญควรเปิดน้ำที่หม้อน้ำดูด้วยว่าเต็มรึเปล่าที่สำคัญต้องไม่ทำตอนเครื่องร้อนอันตราย
-  ดูระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่  ต้องเปิดดูทุกช่องเติมไม่ต้องล้นเพียงแต่เติมให้พอดีกับพลาสติคที่เป็นลิ้นลงไปในช่องก็เพียงพอแล้ว  ห้ามอย่าเติมจนล้น
- ดูระดับน้ำฉีดกระจกด้วย  ถ้าแห้งจะทำให้ปั้มฉีดน้ำเสียหายได้  อันนี้บอกให้ลูกๆมาช่วยเติมได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
- ดูระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์เป็น  บางรุ่นไม่ต้องเปิดฝาก็รู้สามารถดูได้จากข้างกระปุกมีขีดบอกระดับ  มีคำเตือนเล็กน้อยอยู่บริเวณฝาอ่านบ้างก็ดี
- ดูระดับน้ำมันเบรก  บางครั้งไม่ต้องถึงกับเปิดฝามาดูเพราะมีขีดบอกสามารถมองเห็นจากภายนอกเช่นกัน
- ดูระดับน้ำยาแอร์  ดูจากกระปุกพักน้ำยาแอร์สังเกตกระปุกที่มีท่ออะลูมีเนียมรึทองแดงต่อเข้านั้นแหละมีเลนซ์  สังเกตถ้าน้ำยาแอร์เต็มเราจะไม่เห็นว่ามีอะไรในเลนซ์นั้นเลยแต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นในเลนซ์นั้นมีน้ำวิ่งๆเมื่อไหร่ อย่าคิดว่าน้ำยาแอร์เต็มนะครับนั้นคือน้ำยาแอร์หมดแล้วละครับ  ไปร้านแอร์ให้ตรวจเช็คเลย

2.เปลี่ยนซะให้เรียบ

 - น้ำมันเครื่องและใส้กรองน้ำมันเครื่อง  บ่อยครั้งรถจากเต็นท์นั้นเค้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้  บางครั้งพึ่งเปลี่ยนมาถือว่าเป็นโชคดีไป  แต่ถ้าให้ดีถ้าเราดึงสายวัดออกมาแล้วน้ำมันเครื่องเหนียวๆ ไม่หยดติ๋งๆ เปลี่ยนไปเถอะครับเพื่อความสบายใจ ถ้าเปลี่ยนแล้วขับรถกลับบ้านมาดึงเข็มวัดออกมาเห็นน้ำมันเครื่องทำไมขุ่นซะแล้วให้คุณดีใจไว้เลยว่าน้ำมันเครื่องนั้นดีเพราะสามารถดึงเขม่าที่จับกับชิ้นส่วนในเครื่องออกมาได้เป็นอย่างดี รวมถึงเปลี่ยนใส้กรองน้ำมันเครื่องด้วยไม่แนะนำไปใช้ใส้กรองจากปั้มเพราะสมัยนี้ใส้กรองของเทียมมีเยอะอายุการใช้งานสั้นกว่า (ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้) ใครรักรถมาแนะให้ใช้ของแท้แต่ผมชอบใช้ของเทียบเพราะมีคุณภาพพอๆกันและอาจดีกว่าด้วยซ้ำไป  ว่างๆผ่านไปแถววรจักรก็ไปซื้อซะ  ถือว่าเป็นการหัดทำความรู้จักกับร้านอะไหล่ไว้  ดูด้วยว่าต้องแถมแหวนยางโอริงมาด้วยแต่อย่าไปคิดว่าเอามาใช้กับกรองน้ำมันเครื่องล่ะ โอริงนี้ไว้ใช้กับน็อตที่เป็นก๊อกปิด-เปิดอ่างน้ำมันเครื่องของเราต่างหาก  เวลาให้ช่างใส่ดูกับเค้าด้วย ก่อนใส่แนะว่าให้เอาน้ำมันเครื่องเรานี่แหละทาขอบยางของกระปุกกรองด้วยกันยางเบี้ยวออกมาเวลาขันเข้า
- ใส้กรองอากาศ  ส่วนใส้กรองอากาศก็เป่าซะ  แนะให้เป่าเองตามปั้มเจ็ทที่มีที่เป่าอากาศตรงที่เราเติมลม  มีหลายคนขับรถมาจนแก่เป่าอากาศยังไม่เป็น  การเป่ากรองอากาศต้องเป่าจากในออกนอก  ห้ามเป่าจากข้างนอกเข้าในเด็ดขาด  ถึงแม้เป่าแล้วฝุ่นกระจายดีแต่นั้นคือการทำให้กรองอากาศของเราตันไปเลย  แต่ถ้าเก่าแล้วเปลี่ยนไปเลยซักอันได้เลยไม่ได้แพงอะไรนัก สำหรับมือใหม่ระวังจะถอดไม่เป็นให้สังเกตสลักยึดให้ดี  ดึงออกให้ครบไม่ต้องออกแรงมากนักพอประมาณเดี๋ยวพวกสายอากาศจะหลุดแล้วใส่กลับไม่ถูก
- ใส้กรองเบนซิน  สุดท้ายใส้กรองเบนซินอันนี้แนะนำให้เปลี่ยนเลยไม่กี่ตังค์  จะได้ไม่ต้องมาโอดครวญภายหลังว่ารถเร่งไม่ขึ้น  กระตุกเป็นช่วงๆ แต่อันนี้แนะนำไปให้ช่างเปลี่ยนให้  อย่าลืมถามความรู้เล็กๆน้อยๆจากช่างด้วยตามที่ผมว่ามาหากยังสงสัย  เห็นมั้ยว่านอกจากจะได้เปลี่ยนกรองเบนซินแล้วยังได้ความรู้อีกต่างหาก

 


3.ตรวจอะไรที่มันยุ่งๆที่ห้องเครื่องอีกที


 ลองตรวจดูที่สายพานไดฯ สายพานแอร์  สายหัวเทียน  หัวเทียน  ให้ช่างคนที่เปลี่ยนกรองเบนซินเราเมื่อสักครู่นั้นแหละดูให้  คิดดูว่าเปลี่ยนกรองเบนซินอันเดียวได้ประโยชน์มากมาย  หากสายพานอันไหนเก่าหมดสภาพแล้วเปลี่ยนซะมีราคาไม่ถึงร้อยถึงร้อยกว่าบาท  แต่แพงกว่านั้นไปร้านอื่นเหอะ  สายหัวเทียนเก่ารึเปล่า  หากเก่ามากๆขาดแล้วพันๆเทปมาละก็เปลี่ยนไปเลย  ให้เค้าเช็คหัวเทียนด้วยเพียงแต่เอามาล้างปรับเขี้ยวก็พอใช้ได้อีกนาน  หัวเทียนไม่ใช่ของเสียง่าย หมดอายุง่ายอายุการใช้งานราว 20,000 กม. ( 2000 กม.) หากเจอช่างที่ดี  แต่ถ้าเยินจริงๆเปลี่ยนก็ได้เพราะราคาถูกมากๆ  ตัวเราเองก่อนกลับบ้านแวะไปตามห้างซื้อน้ำอเนกประสงค์มาติดรถไว้ก็ดีไว้ฉีดพวกขั้วแบตฯ ขั้วหัวเทียน  จานจ่าย(ถ้าไม่รู้จักว่าอันไหนไปถามช่างคนเดิมอีกนั่นแหละ) เวลาเก็บอย่าเอาไปไว้ที่ร้อน เกิดตูมตามขึ้นมาไม่รู้ด้วย

4.คราวนี้มาดูที่ช่วงล่างกันบ้าง

- ถ่วงล้อ  อันนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้ามเพราะเมื่อเราใช้ความเร็วสูงขึ้นหน่อยรถกลับสั่นๆ อาจนึกไปถึงช่วงล่างอื่นๆ แต่ความจริงปัญหามันแค่เพียงถ่วงล้อเท่านั้นเอง  ผมแนะให้ไปถ่วงล้อที่เรียกว่า “ถ่วงจี้”  เพราะเท่าที่ทำมาได้ผลดีพอสมควร  ดีกว่าการถอดล้อไปถ่วงข้างนอก  สังเกตด้วยว่าบางครั้งน็อตล้อเราอาจเป็นคนละแบบทำให้การถอดล้อไปถ่วงไม่แม่นยำแต่ถ้าให้ดีก็เปลี่ยนน็อตให้มันเหมือนกันให้หมดเลยจะดีกว่า  ก่อนถ่วงบอกให้ช่างแกะหินที่ติดล้อออกให้ด้วยนี่ก็เป็นผลให้การถ่วงล้อไม่แม่นยำ  แนะให้ไปถ่วงหลังไปล้างรถจากปั้มใหม่ เพราะโคลนที่ติดล้อก็เป็นอีกปัจจัยนึงเช่นกัน  เคยแนะให้รุ่นน้องที่มีปัญหาที่ว่าไปถ่วงจี้มาหลายคนส่วนใหญ่จะบอกว่ายังกับได้รถใหม่มาแน่ะ
- ยางรถ  ดูว่าดอกยางยังเต็มๆดีหรือไม่  ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเปลี่ยนถามจากร้านยางดูก็ดีถ้าร้านที่ดีบ่อยครั้งเค้าจะบอกว่าใช้ได้อีกนานแต่ถ้าเค้าบอกว่าเปลี่ยนเถอะให้สังเกตว่าดอกยางเรายังเต็ม ยางยังไม่เสียรูป แก้มยางยังสวย  เนื้อยางยังสดอยู่หรือไม่  ไม่แนะนำให้ไปทำตามปั้มแต่ก็ตามใจหากใครอยากลองดู  การเติมลม  ควรเติมซัก 27-28 หากอยากได้ความนิ่มนวลและ 30 หากต้องการประหยัดน้ำมันได้อีกนิดหน่อยในการวิ่งแบบรถไม่ติด อย่าลืมเติมลมยางอะไหล่ด้วยแนะให้เติมเกินปกติไว้ 2 ปอนด์ (ประมาณ 32 ปอนด์) เพราะไม่ได้เติมบ่อยๆ  แนะอีกนั้นแหละให้ไปเติมที่ปั้มเจ็ทเพราะเครื่องวัดแบบดิจิตัลค่อนข้างแม่นยำกว่าร้านยางซะอีกและอย่าลืมอุดหนุนเค้าบ้างก็ดี
- เช็คช่วงล่าง  ไปอู่ที่รับทำช่วงล่างให้เค้ายกรถตรวจพวก  ยางหุ้มแร็คช่วงล่างอื่นๆ  เพราะบางครั้งเปื่อยๆแล้วเปลี่ยนไปเลยราคาไม่ถึง 300-400 บาท  ถ้าขาดขึ้นมาแต่เราไม่รู้จะลำบาก  ทั้งทรายทั้งโคลนหลุดเข้าไปละก็เสียมากกว่านี้อีกมาก ให้ช่างตรวจลูกหมาก-คันชัก-คันส่ง-ปีกนก โยกๆแล้วหลวมๆหรือไม่แต่พวกนี้ถ้าไม่หลวมมากเอาไว้ตอนได้โบนัสออกหรือกู้สหกรณ์ได้ก่อนค่อยมาเปลี่ยนก็ได้  หากยังพอใช้ได้


5.มาดูภายในรถกันบ้าง 

- หากรถมีกลิ่น  แนะนำว่าให้เราจอดรถตากแดดหมุนกระจกลงมาเล็กน้อยทำซ้ำๆหลายวันช่วยได้บ้าง  หาน้ำหอมมาใส่รถบ้างบางทีไม่เหม็นโดนเหงื่อเราไปซักพักจนกลิ่นติดเบาะ สงสารคนมานั่งรถเราบ้าง  แนะนำอย่าสูบบุหรี่ในรถเพราะเขม่าจากบุหรี่กับกำมะหยี่ทั้งหลายในรถเรารักกันมากทั้งสีทั้งกลิ่น
- ยางรองพื้น  บางทีเต็นท์ให้มาเฉพาะยางแผ่นเล็กทำให้ทรายกระจายฝังในพรม  แนะให้ใช้ยางที่เป็นรูปแอ่งๆ ไม่สวยนักแต่สะอาดอย่าบอกใครไม่มีทรายกระเด็นออกด้วยหรือถ้ากำลังทรัพย์มีก็เอาแบบที่มีขายตามห้างที่มีเฉพาะรุ่นก็ได้
- น้ำยาต่างๆ  หาซื้อน้ำยาต่างๆเช่นแชมพูล้างรถ  ยาขัดเบาะ  ยาขัดสีรถ  หัดทำเองบ้างจะได้รู้จุดอ่อนของตัวถัง-สีรถเราเอง
- เสียงดังหน้าคอนโซล  อันนี้สืบเนื่องาจากรถใช้มาหลายปีเกิดจากการเคยถูกถอดคอนโซลเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง  แต่การหาจุดนี่ยากที่สุดพวกนี้ต้องค่อยๆหาแล้วหาซื้อตัวยึดพลาสติคตามวรจักรมาใส่แทนได้หากของเก่าแตกหรือหลวมรึไม่มีเลย


6.สังเกตกันบ้าง

- ซื้อรถมาวันแรกผมแนะนำให้ล้างเลยไปให้โดนน้ำฉีดแรงๆ ตามคาร์แคร์ ถึงแม้เต็นท์จะขัดสีรถมาสวยงามสักปานใด  เพราะรถหลายคันพึ่งไปสาดสีมาทั้งคัน  การประกอบขอบยางกันน้ำซีลซิลิโคนประตูและกระจกหน้า-หลังต่างๆ  อาจทำมาไม่ดีพอเพราะทำเองในอู่สีไม่ได้ทำที่ร้านกระจกที่ชำนาญกว่าบ่อยครั้งที่น้ำไหลเข้ารถเป็นถังๆ เวลาฝนตกจะได้รีบซ่อมเองหรือให้เต็นท์ทำให้หากตกลงกันไว้แล้ว
- แอร์  หากได้ยินเสียงแต็กๆ ดังติดๆกันขณะเปิดแอร์ทำให้รอบเครื่องเราขึ้นๆลงๆ ให้ช่างเช็คดูช่างที่เก่งๆ จะยังไม่วิ่งไปดูที่คอมแอร์  แต่จะตรวจที่ตัวปรับระดับความเย็นที่ภาษาช่างแอร์เรียกรางเลื่อน (Slice volume) เพราะรถเก่าแล้วพวกนี้จะสึกรึหมดอายุเปลี่ยนซะราคา 300-400 บางทีไม่ถึงกับต้องไปยุ่งกับคลัชแอร์หรอกครับ  ร้านทำแอร์ผมชอบร้านที่แท็กซี่เค้าชอบไปทำกันเพราะราคาไม่แพงคุยกันได้ แต่ไม่ใช่ร้านที่แท็กซี่ไม่เข้าไม่ดีนะครับ  อย่างผมใช้ทั้งสองร้านเพราะที่เจอความชำนาญร้านอาแปะของผมเนี่ยเก่งเข้าขั้นเลยทีเดียวแต่ราคาเอาเรื่องเหมือนกันเวลาเข้าซ่อมถามไว้เลยว่าเท่าไหร่  ต่อไปเถอะลดได้นิดหน่อยดีกว่าไม่ลดเลย  ซ่อมบ่อยๆ ชำนาญขึ้นเดี๋ยวก็รู้ราคาไปเอง
- ตรวจดูหลอดไฟรถ ไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟหรี่  ไฟท้าย-ไฟเบรก ไฟกระพริบซ้ายขวา ไฟถอย  ไฟทะเบียน ติดครบหรือไม่จัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์หากมีอะไรนอกเหนือจากนี้ต้องเช็คต้องเปลี่ยนคงต้องอาศัยการเอาใจใส่  และความช่างสังเกตจากตัวคุณเอง  ย้ำต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่แค่เพียงช่วงแรกๆเท่านั้น  หมั่นหาความรู้เสมอๆควรให้คนในครอบครัวมีส่วนร่วมด้วย  สร้างความสัมพันธ์กันโดยมีรถเป็นสื่อนี่ก็ถือว่ารถไม่ใช่แค่เพียงเป็นพาหนะอย่างเดียวใช่มั้ยละครับ

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น