วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กรมสรรพสามิต เผย บริษัทรถยนต์แห่ขึ้นราคารับภาษีใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.ปีหน้า

กรมสรรพสามิต เผย บริษัทรถยนต์แห่ขึ้นราคารับภาษีใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.ปีหน้า
กรมสรรพสามิต เผย บริษัทรถยนต์แห่ขึ้นราคารับภาษีใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.ปีหน้า

นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2559 
โดยขณะนี้บริษัทรถยนต์ได้ทยอยส่งราคารถยนต์ให้แก่กรมสรรพสามิตพิจารณาปรับอัตราภาษีใหม่แล้วประมาณ 90%
ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นรถยนต์หรูราคาแพง ซึ่งมีทั้งที่ผลิตภายในประเทศและที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้
บริษัทรถยนต์ที่ได้เปิดสายการผลิตรถยนต์ภายในประเทศและที่นำเข้าทุกยี่ห้อและทุกรุ่นจะส่งราคารถยนต์
ให้แก่กรมสรรพสามิตเพื่อพิจารณาจัดเก็บภาษีรถยนต์ใหม่ได้อย่างแน่นอน

สำหรับอัตราภาษีใหม่ที่บรรดาค่ายรถยนต์ได้เริ่มทยอยส่งราคาใหม่ให้แก่กรมสรรพสามิตนั้น
พิจารณาแล้วพบว่า ราคารถยนต์ที่เสนอมาใหม่มีราคาขายสูงกว่าราคารถยนต์ที่ผลิตและจำหน่ายในปัจจุบัน
โดยมีสาเหตุหลักๆ 2 ประการคือ

1. บริษัทรถยนต์ได้พัฒนาคุณภาพของเครื่องยนต์ดีขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น และ
2. ผู้ผลิตได้ออกรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้ราคาขาย ณ ราคาปัจจุบันกับราคา ในอนาคตมีความแตกต่างกัน
ซึ่งทำให้ราคารถยนต์ในปีหน้าแพงขึ้น

ขณะที่รถกระบะหรือปิกอัพจะเสียภาษีแพงขึ้นคันละ 10,000-30,000 บาท รถยนต์ราคาหลักล้านบาท
แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะเสียภาษีแพงขึ้นประมาณคันละ 40,000-100,000 บาท แต่หากเป็นรถยนต์หรูราคาหลายล้านบาท
อาจจะเสียภาษีแพงขึ้นตั้งแต่ 100,000 บาทจนถึง 400,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพลังงานที่ใช้และปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

อย่างไรก็ตามมีการยกตัวอย่างยี่ห้อรถยนต์ที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม โดยยี่ห้อโตโยต้าเสียภาษีแพงขึ้น 12,000-450,000 บาท
ฮอนด้าเสียภาษีแพงขึ้น 5,000-120,000 บาท มาสด้า 85,000-140,000 บาท มิตซูบิชิ 8,000-140,000 บาท
เชฟโรเลต 20,000-120,00 บาท บีเอ็มดับเบิลยู 100,000-500,000 บาท และรถเบนซ์ 289,000-1 ล้านบาท เป็นต้น

ทั้งนี้ โครงสร้างภาษีใหม่ของกรมสรรพสามิตนั้นนอกจากการเก็บภาษีจะพิจารณาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้วยังพิจารณาจากพลังงานที่ใช้ด้วย
เช่น รถยนต์นั่งและรถโดยสารไม่เกิน 10 คน กรณีปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร
หากใช้พลังงานอี 10-20 เสียภาษี 30% แต่หากใช้พลังงานอี 85-เอ็นจีวี เสียภาษี 25% แต่หากเป็นเครื่องยนต์ไฮบริดเสียภาษี 10% เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูล  กรมสรรพสามิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น