วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เทียบกันชัดๆ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ อัตราเก่า กับ ใหม่ ดีเดย์ 1 มค 59

 เทียบกันชัดๆ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ อัตราเก่า กับ ใหม่ ดีเดย์ 1 มค 59
เทียบกันชัดๆ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ อัตราเก่า กับ ใหม่ ดีเดย์ 1 มค 59
เรื่อง: นิตยสารฟอร์มูลา
ในปี 2559 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการยานยนต์ไทย นั่นคือ การเริ่มใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ซึ่งจะคิดตามอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แทนการคิดตามความจุกระบอกสูบแบบเดิม โดยมีหลักการว่า รถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อย จะเสียภาษีต่ำกว่ารถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มาก สอดคล้องกับการบังคับใช้ระบบป้ายข้อมูลรถยนต์ "ECO STICKER" ซึ่งแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลือง และระดับการปล่อยไอเสีย

ส่วนรายละเอียดอัตราภาษีรถแต่ละประเภท เมื่อเทียบกับการคิดแบบเก่าจะแตกต่างกันอย่างไร ตามไปดูกันได้เลย!
ที่มา: นิตยสารฟอร์มูลา, กระทรวงการคลัง
"อีโคคาร์ เฟส 2" ภาษีถูกลง
โครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ สนับสนุนรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ อีโคคาร์ เฟส 2 อย่างชัดเจน เพราะเป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน ประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นรถที่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยรถยนต์โครงการ อีโคคาร์ เฟส 2 ที่ปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษีเพียง 14 % เท่านั้น แต่ถ้าเกิน จะเสีย 17 % เท่ากับ อีโคคาร์ เฟส 1
ภาพตัวอย่าง อีโคคาร์

เก๋ง/เอสยูวี ไม่เกิน 2,000 ซีซี ภาษีขึ้น 3-10 %
รถยนต์นั่งในพิกัดนี้ ถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาด มีตั้งแต่ รถยนต์ระดับซับคอมแพคท์ จนถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมหลายรุ่น ที่หันมาใช้เครื่องยนต์ความจุน้อยลง รวมทั้งเอสยูวีบางรุ่นด้วย
ในอัตราภาษีเดิม รถยนต์ซับคอมแพคท์ ที่รองรับน้ำมัน E20 เช่น โตโยตา วีออส, เชฟโรเลต์ โซนิค, ฟอร์ด ฟิเอสตา จะเสีย 25 % แต่อัตราใหม่ รถเหล่านี้ถ้าปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะต้องเสียภาษีเพิ่มเป็น 30 % ส่วนรถบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85 เช่น ฮอนด้า แจ๊ซ จะเสีย 25% เท่าเดิม
รถยนต์คอมแพคท์ ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1,780-2,000 ซีซี และรองรับน้ำมัน E85 เช่น โตโยตา อัลทิส (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี), ฮอนดา ซีวิค, เชฟโรเลต์ ครูซ (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี), มาซดา 3 อัตราเดิมเสีย 22 % ส่วนอัตราใหม่ รุ่นที่ปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียเพิ่มเป็น 25 % ส่วนรุ่นที่ปล่อยในพิกัด 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียเพิ่มเป็น 30 % ส่วนรถที่รองรับน้ำมัน E20 จากเดิมเสีย 25 % ก็จะต้องเพิ่มเป็น 30 % หรือ 35 % ตามปริมาณการปล่อยไอเสีย
รถยนต์นั่งขนาดกลางและเอสยูวีหลายรุ่น ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เช่น โตโยตา แคมรี, ฮอนดา แอคคอร์ด, ฮอนดา ซีอาร์วี, นิสสัน เทอานา, มาซดา ซีเอกซ์-5 ฯลฯ มีทั้งรุ่นที่รองรับน้ำมัน E20 และ E85 ซึ่งถูกคิดภาษีอยู่ที่ 25 % และ 22 % ตามลำดับ รถระดับนี้ ส่วนใหญ่ยังคงปล่อยไอเสียในพิกัด 151-200 กรัมต่อกิโลเมตรอยู่ ดังนั้น จะเสียภาษี 35 % หรือ 30 % ขึ้นกับน้ำมันที่รองรับ
นอกจากนี้ รถยนต์ระดับพรีเมียม ตั้งแต่ขนาดซับคอมแพคท์ จนถึงขนาดกลางหลายรุ่น ก็จะถูกคิดภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการปล่อยไอเสีย
ภาพตัวอย่าง รถยนต์นั่ง เครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี

เก๋ง/เอสยูวี 2,001-2,500 ซีซี ภาษีแพงขึ้น
ในพิกัดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์นั่งและเอสยูวีขนาดกลาง รวมถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมบางรุ่น  ซึ่งเดิมเสียภาษี 30 % และ 27 % ขึ้นอยู่กับว่ารองรับน้ำมัน E20 หรือ E85 ซึ่งเท่าที่สำรวจรถในตลาด พบว่า รถที่ใช้เครื่องยนต์ระดับนี้ จะปล่อยไอเสีย 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร ดังนั้นจะถูกเพิ่มภาษีเป็น 35 % สำหรับรถที่รองรับน้ำมัน E20 และ 30 % สำหรับบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85 
ภาพตัวอย่าง รถยนต์นั่ง เครื่องยนต์ 2,000-2,500 ซีซี

พิคอัพ ปล่อยไอเสียเกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ต้องจ่ายเพิ่ม
พิคอัพที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 3 % สำหรับรุ่นไม่มีแคบ 5 % สำหรับรุ่นมีแคบ และ 12 % สำหรับรุ่น 4 ประตู แต่ถ้าปล่อยเกินจากนี้ จะเสียเพิ่มขึ้นเป็น 5 % 7% และ 15 % ตามลำดับ จากข้อมูลปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่มีค่าไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะส่งผลให้โดนขึ้นภาษีเกือบทุกรุ่น
ภาพตัวอย่าง พิคอัพ

พีพีวี จ่ายภาษีเพิ่ม
รถพิคอัพดัดแปลง หรือพีพีวี ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 3,250 ซีซี จากเดิมเสียภาษี 20 % ทุกรุ่น ในอัตราใหม่จะเพิ่มเป็น 25 % สำหรับรถที่ปล่อยไอเสีย ไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร และ 30 % สำหรับรถที่ปล่อยไอเสียเกิน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ส่วนใหญ๋นั้นยังมีค่าไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร หมายความว่า ในปี 2559 รถพีพีวี จะเสียภาษีแพงขึ้นอีก 10 % แทบทุกรุ่น
ภาพตัวอย่าง พีพีวี

ไฮบริด เสียเท่าเดิม ภายใต้เงื่อนไขใหม่
ในโครงสร้างภาษีเดิม รถยนต์ไฮบริดทุกรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 ซีซี จะเสียภาษี 10 % เท่ากัน
แต่ภาษีใหม่ จะต้องเป็นรถยนต์ไฮบริดที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น จึงจะเสียอัตราเดิมที่ 10 % ถ้ามากกว่านั้น ภาษีจะเพิ่มเป็น 20 % จากข้อมูลช่วงต้นปี 2015 พบว่า รถยนต์ไฮบริดหลายรุ่นปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร เช่น โตโยต้า ปรีอุส, ฮอนดา แอคคอร์ด ไฮบริด, เมร์เซเดส-เบนซ์ ตระกูลบลูเทคไฮบริดเกือบทุกรุ่น, โพร์เช กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด แต่ก็ยังมีบางรุ่น ที่ปล่อยไอเสียมากกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะต้องเสียภาษีเพิ่ม เช่น เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 300 บลูเทค ไฮบริด และบีเอมดับเบิลยู ตระกูลแอคทีฟไฮบริดทั้งหมด 
ภาพตัวอย่าง รถยนต์ไฮบริด

สรุป ภาษีใหม่ = มาตรฐานใหม่
อัตราภาษีใหม่นี้ คาดว่าจะทำให้รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ขายอยู่ในตลาด มีราคาสูงขึ้น เพราะต้นทุนค่าภาษีจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-10 %
อย่างไรก็ตาม ภาษีใหม่นี้ จะสร้าง “มาตรฐานใหม่” ให้แก่วงการยานยนต์ไทย โดยจะกระตุ้นให้ผู้ผลิต พัฒนา และสร้างสรรค์รถยนต์ที่ประหยัดพลังงาน และปล่อยไอเสียต่ำ เพื่อให้อยู่ในพิกัดภาษีที่เหมาะสม ดังนั้น ในระยะยาว คนไทยจะได้ใช้รถยนต์ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน

ที่มา http://www.asnbroker.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น