วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รถเก่าเกียร์พัง ซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์มือสองเซียงกง อย่างไหนดีกว่ากัน #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

รถเก่าเกียร์พัง ซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์มือสองเซียงกง อย่างไหนดีกว่ากัน #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
รถเก่าเกียร์พัง ซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์มือสองเซียงกง อย่างไหนดีกว่ากัน #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
การโอเวอร์ฮอล หรือซ่อมเปลี่ยนชิ้นส่วนเกียร์ออโต ที่เสียหายสึกหรอจากการใช้งาน ต้องใช้ช่างที่รู้จริงเท่านั้น การเปลี่ยนเกียร์มือสองทำได้ง่ายและไม่ต้องรับผิดชอบงานซ่อมมากนัก เพราะภาระการรับผิดชอบไปอยู่ที่ผู้ขายเกียร์และเจ้าของรถ (ถ้าเกินเจ็ดวันรับประกัน) หากได้เกียร์ที่ยังคงมีสภาพที่ดีมีอายุการใช้งานไม่มากนักก็ถือว่าโชคดีไป แต่หากได้เกียร์มือสองที่อยู่ในสภาพจวนเจียนจะพังมิพังแหล่ยกเปลี่ยนได้ไม่นาน เกียร์ก็มีปัญหาขึ้นมาอีก จนก่อให้เกิดความทุกข์ระทมของผู้ใช้รถยนต์เป็นจำนวนมาก ส่วนการซ่อมแซมโอเวอร์ฮอล์เกียร์อัตโนมัติ ถ้าพบกับอู่ซ่อมเกียร์ที่มีความรู้ความชำนาญ มีช่างที่ไม่คอยแต่จะจ้องฟันลูกค้าอย่างเดียว และมีการใช้อะไหล่แท้ทั้งหมด แถมยังประกอบได้ถูกต้องตามสเปกโรงงาน การโอเวอร์ฮอลเกียร์อัตโนมัติที่เสียหายให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิมเหมือนได้เกียร์ใหม่ลูกนึง ซึ่งถึงจะแพงแต่ก็คุ้มหากคุณมีความจำเป็นที่จะต้องใช้รถและไม่มีเงินออกรถใหม่ในช่วงนี้
สรุป ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งบางท่านอาจเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละท่านที่ไม่เหมือนกัน ถ้าคุณมั่นใจแน่ใจ ชัวร์ว่าช่างหรืออู่นั้นเก่งจริง ก็ควรซ่อมโอเวอร์ฮอลเกียร์ออโต ถ้าไม่แน่ใจ ให้เปลี่ยนทั้งลูกเป็นเกียร์มือสอง โดยให้ทางอู่ซ่อมเกียร์เลือกเกียร์มือสองจากเซียงกงญี่ปุ่นที่มีสภาพดีมาให้ ช่างเล็ก บุญมา นาวาทอง บอกมาว่า การเลือกซื้อเกียร์เก่าจากเซียงกง ควรจะระวังของเก่าจากห้าง หรือเกียร์เก่าใช้งานแล้ว เกิดเสียหายจากศูนย์บริการที่มีการแอบลักลอบออกมาขายกันอยู่บ้าง แต่ไม่มาก เกียร์เก่าติดรถจากญี่ปุ่นแท้ๆ นั้นมีสภาพดีเกือบจะทุกลูก ญี่ปุ่นมีสภาพอากาศไม่ร้อน หรือร้อนแค่เดือนเดียวเท่านั้น อีกสิบเดือนจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีฝุ่นละอองไม่เยอะ กฎหมายจราจรที่เข้มงวดกวดขันของประเทศนี้ ทำให้การขับรถที่นั่น แทบจะไม่มีใครขับแบบซิ่งหรือกระตุกกระชาก คนญี่ปุ่นขับรถตามๆ กันไปตลอด ที่ความเร็ว 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แทบจะตลอดอายุการใช้งานของรถ สภาพเครื่องยนต์และเกียร์จึงอยู่ในขั้นที่ดีมากกว่าเกียร์ที่ถูกใช้งานในเมืองร้อนอย่างประเทศไทย

เกียร์อัตโนมัติแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ (Torque Convertor)
ตัวเกียร์ ( Transmission Body หรือ Planetary gears ) คือส่วนของชิ้นส่วนเกียร์ Hard Parts wear part คลัทช์ ลูกสูบเพลา เกียร์ เสื้อ Housing เบรกแบน ฯลฯ ทั้งหมดจะอยู่ภายในห้องเกียร์
วาล์วบอดี้ ( Valve Body หรือ Hydraulic Control ) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สมองของเกียร์อัตโนมัติ
เมื่อเกียร์ออโตเกิดเสียหาย คุณควรหาช่างที่มีความรู้ความชำนาญด้านระบบส่งกำลังอัตโนมัติ ที่จะสามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างถูกต้องเสียก่อน ไม่มั่วจนกลายเป็นตาบอดคลำช้าง หาอาการเสียชำรุดที่แท้จริงไม่พบ ช่างหรืออู่ซ่อมเกียร์ ต้องตวรจเช็ก และเข้าใจว่าชิ้นส่วนอะไรที่เสียหาย เสียหายที่ตรงไหนบ้าง และอะไรเป็นสาเหตุของความเสียหายของเกียร์ก่อนลงมือซ่อม ช่างต้องประเมินความเสียหาย กำหนดระยะเวลาในการซ่อมและค่าใช้จ่าย แล้วแจ้งให้เจ้าของรถรับทราบถึงอาการเสียของเกียร์ก่อนลงมือซ่อม
ตัวอย่างการลักษณะของความเสียหายของเกียร์อัตโนมัติ เช่น ความเสียหายเฉพาะทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ( Torque convertor) แผ่นล็อกอัพคลัทช์ สึกหรอจนหมดให้เห็นเนื้อโลหะ แบริ่งแตก เพลาสึกเป็นรอย น้ำมันรั่ว impeller ฉีก หลุด เพลาสึก ร่องสไปร์สึกหรอมาก สปริง lockup สึก ระยะความเผื่อมากกว่าที่กำหนด
ความเสียหายเฉพาะตัวเกียร์ (Transmission Body ) เช่น สึกหรอเฉพาะ แผ่นคลัทช์ ( Friction clutch) แผ่นเหล็ก ( Steel Clutch ) เบรกแบน ( Brake Band) ปลอก แหวน ( Bushing ,Washer) ซีล ( Seal ,Oring , Piston seal) ประเก็น (Gasket set) ซึ่งอาจจะตามอายุการใช้งานปกติ หรือเรียกอีกอย่างว่า Normal Wear แบบนี้ซ่อมแซมได้ง่ายครับ แต่หากมีชิ้นส่วนทางกลเสียหายตามไปด้วยเช่น หม้อคลัทช์ฉีก แตก เสียดสีจนเสียหาย เพลาสึกเป็นรอย เพลาคด ซึ่งปัญหาที่ลุกลามต่อไป เป็นเพราะ เมื่อแผ่นคลัทช์ หรือ wear parts หมดอายุ หากไม่ได้เปลี่ยน หรือทำการซ่อมแซม หรือซ่อมแซมเฉพาะบางจุด เปลี่ยนแผ่นคลัทช์เฉพาะบางแผ่นเป็นต้น ปัญหาก็ลุกลามต่อไป จนถึงเนื้อโลหะ ทำให้เกิดความร้อนมากกว่าปกติ สภาพน้ำมันเสียหาย มีเศษโลหะเล็ดลอดเข้าไปในระบบ ทำให้วาล์วบอดี้สึกหรอมากกว่าปกติตามเข้าไปอีก ความเสียหายเฉพาะ วาล์วบอดี้ ( Valvebody ) หากเป็นการเสียหายชำรุดแบบอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โซลินอยด์ เซ็นเซอร์ หรือตัว TCM ( Transmission control Module) ก็ต้องวิเคราะห์จากเครื่องมือพิเศษ Scan Tools เฉพาะรุ่น เฉพาะทาง แต่หากเป็นการสึกหรอทางกล ทำให้การรับและจ่ายแรงดันไฮโดรลิกในระบบผิดปกติไปจากที่กำหนด
สำหรับค่าซ่อมเปลี่ยนชิ้นส่วนเกียร์อัตโนมัติ เมื่อหมดอายุรับประกันการใช้งาน เมื่อนำไปซ่อมตามอู่นอกที่รับซ่อม อาจมีราคาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับราคาของระบบเกียร์ที่ใช้ในรถคันนั้น ซึ่งมีความแตกต่างกัน ทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรป ส่วนใหญ่เกียร์มือสองหรืออะไหล่ชิ้นส่วนของเกียร์จากรถยุโรป จะมีราคาสูงกว่าเกียร์ญี่ปุ่น แต่ก็ไม่แน่เสมอไป ราคาของการซ่อมเกียร์ในศูนย์บริการนั้น แพงกว่าอู่แน่นอน ราคาอาจลดหลั่นกันลงไป หากเป็นเกียร์ออโตรุ่นเก่าของรถญี่ปุ่น เมื่อนำไปซ่อมที่อู่นอกไม่ใช่ซ่อมในศูนย์บริการ หรือตัวแทนจำหน่าย จะมีราคาที่ถูกกว่าประมาณ 30-40% หรือบางทีก็มากกว่า 50% เลยทีเดียว.
ข้อมูลบางส่วนจาก
วิสรัส เอี่ยมประชา
วุฒิวิศวกรเครื่องกล วก.829
FORCE Transmission
www.gmcworkshop.com
ที่มา https://www.asnbroker.co.th

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความคิดเดิมๆที่ผู้ซื้อรถป้ายแดงเชื่อกันต่างต่างนานา #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์


ความคิดเดิมๆที่ผู้ซื้อรถป้ายแดงเชื่อกันต่างต่างนานา #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ความคิดเดิมๆที่ผู้ซื้อรถป้ายแดงเชื่อกันต่างต่างนานา #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ความคิดเดิมๆที่ผู้ซื้อรถป้ายแดงเชื่อกันต่างต่างนานา เช่น รถยุโรปดีกว่ารถญี่ปุ่น, ราคาขายต่อดีก็ต้องมีคุณภาพดี, ซื้อรถตกรุ่นไม่เห็นเป็นอะไร, อะไหล่ยี่ห้อนี้แพงกว่ายี่ห้อนั้น ความเชื่อที่ล้วนเป็นปัจจัยในการตัดสินใจซื้อรถค่อนข้างสูง ทั้งหมดที่ผมยกตัวอย่างมานี้ เป็นจริงหรือเปล่าในปัจจุบัน วันนี้ ASN Broker จะมาวิเคราะห์กันครับ 
รถยุโรปสมรรถนะเหนือกว่าญี่ปุ่น

ประโยคนี้เป็นจริงเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว แต่ระยะหลังมานี้ ไม่ใช่เสมอไป เพราะผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นล้วนมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ อย่างจริงจัง และต่อเนื่องมาตลอด รถญี่ปุ่นหลายยี่ห้อผลิตรถหรูราคาแพง จนได้รับการยอมรับไปทั่วโลกถึงคุณภาพ และสมรรถนะ หลายยี่ห้อผลิตรถสปอร์ตสมรรถนะสูงเทียบเคียงสปอร์ตยุโรปชื่อดังหน้าเก่าได้สบาย ขณะที่อีกหลายรายยึดตลาดรถยนต์ระดับกลางไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

การที่จะส่งรถยนต์เข้าไปเจาะตลาดแต่ละภูมิภาคได้ ต้องมีการพัฒนาที่ดีพอสมควร เช่น ทดสอบการชนเพื่อพิสูจน์ถึงความปลอดภัยในห้องโดยสาร ผ่านมาตรฐานที่เข้มงวดของตลาดแต่ละกลุ่ม เครื่องยนต์ต้องมีแรงม้า ไม่ใช่แรงโม้ หรือตัวเลขโอเวอร์แบบแต่ก่อน สมรรถนะด้านช่วงล่างและเบรก ถ้าไม่ประทับใจคนทั่วโลก ก็ยากที่จะไปตีรถยนต์ต้นตำรับในประเทศนั้น ๆ ได้ เช่น ถ้าเข้าไปขายในเยอรมนี ไม่มีจุดเด่นจนคุ้มค่าน่าสนใจ ก็คงสู้รถยนต์เยอรมนีพันธุ์แท้ไม่ได้ น่าแปลกที่ในช่วงเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นมีการพัฒนาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีได้ดี และรวดเร็ว จนคนไทยยอมรับในคุณภาพอย่างสนิทใจ แต่ในการผลิตรถยนต์ หลายคนกับตั้งแง่ไว้ว่า ยังไงญี่ปุ่นก็ไม่มีทางชนะยุโรปได้
        บทความนี้ไม่ได้ชื่นชมหรือบ้าญี่ปุ่น แต่อยากให้มองกว้าง ๆ ว่า สินค้าอื่นเขายังทำได้ แล้วรถยนต์จะให้เขาย้ำอยู่กับที่อย่างนั้นหรือ

ถ้าเป็นรถยนต์ที่มีราคาใกล้เคียงกัน เช่น ซีดานระดับ 6-8 แสนบาท ที่เคยมีทั้งรถยนต์ยุโรป และญี่ปุ่นทำตลาดควบคู่กันในไทย และมีหลายรุ่นถูกนำไปทำแท็กซี่ขับทั้งวันทั้งคืน ท้ายที่สุด บนท้องถนนก็เหลือแต่แท็กซี่ญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ จริงอยู่ อาจเกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมที่ถูกกว่าก็เลยทำให้เป็นเช่นนั้น แต่หลัก ๆ ก็คงเกี่ยวข้องกับความทนทานอยู่ไม่น้อย อาจจริงบ้างที่รถยนต์ญี่ปุ่นหลายรุ่นด้อยกว่ารถยนต์ยุโรปในบางด้าน แต่มักเป็นเพราะราคาที่แตกต่างกัน เช่น ฮอนด้า ซีวิค คันละ 8 แสนกว่าบาท จะไปเทียบกับโฟล์กสวาเกน พัสสาท ก็คงไม่ได้ แต่ถ้าราคาพอ ๆ กัน เช่น รถยนต์ญี่ปุ่นราคา 2 ล้านบาท ก็ไม่น้อยหน้ารถยนต์ยุโรปที่มีราคาพอ ๆ กัน


ซื้อรถยนต์ตกรุ่นไม่เสียหาย

มีส่วนจริงบ้าง สำหรับคนที่ซื้อรถยนต์ไว้ใช้งานแบบกลาง ๆ เป็นพาหนะพาไปถึงจุดหมาย แต่ถ้าเป็นคนสนใจในรายละเอียดอื่นคงไม่คุ้มค่าเท่ากับการซื้อรุ่นใหม่ เพราะรถยนต์เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่รถยนต์กำลังจะเปลี่ยนโฉม ผู้ซื้อจำเป็นต้องหาข้อมูลที่ชัดเจนจากแหล่งต่าง ๆ ว่า กำหนดในไทยจะมีขึ้นเมื่อไร แต่ไม่ต้องไปถามพนักงานขาย เพราะจะไม่ได้รับคำตอบแน่ ๆ แม้แต่อีกสัปดาห์เดียวรุ่นใหม่จะเปิดตัวก็ยังไม่บอก เพราะมีหน้าที่ต้องระบายสต็อกรุ่นเก่าให้หมด

       ถ้าพบว่ารถยนต์รุ่นนั้นกำลังจะมีการเปลี่ยนโฉมในอีกไม่นาน ก็ควรอดใจรอ เพราะรุ่นใหม่แม้มีราคาแพงขึ้น แต่ก็มีจุดเด่นหลายอย่าง เช่น สวยใหม่ ภาพพจน์ดี เทคโนโลยีดีขึ้น สมรรถนะรุ่นใหม่มักจะดีกว่า และราคาขายต่อก็ยังดีกว่า แต่ควรระวังในบางยี่ห้อที่รีบร้อนเปิดตัวรถใหม่จนทำให้รถมีปัญหาในล็อตแรกๆ จนต้องเรียกกลับไปแก้ใข ทำให้เสียเวลาและเสียความรู้สึก แม้แต่รถญี่ปุ่นยี่ห้อหนึ่งที่ขายดี ยอดนิยม ก็เคยเรียกรถกลับไปแก้ไขมาแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ซื้อรถตกรุ่นยังจะดีกว่า
ราคาขายต่อดี เพราะรถยนต์คุณภาพดี
       มีส่วนจริงบ้างเท่านั้น แต่ไม่ทั้งหมด เพราะรถยนต์ที่มีราคาหล่นวูบหลายรุ่นมีสมรรถนะดี แต่เพียงเพราะกระแสร่ำลือว่าซ่อมแพง ทั้งแบบแพงจริง ๆ หรือแพงเพราะช่างฟัน (แต่ความจริงไม่แพง) เพียงแค่กระแสความนิยมที่ไม่มีหลักการใด ๆ มายืนยัน เพียงเพราะขายต่อแล้วหาคนซื้อยาก จอดในเต้นท์ก็นานหลายเดือนกว่าจะขายออก ก็มีผลทำให้รถยนต์คุณภาพดี กลายเป็นมีจุดด้อยได้

       ราคารถยนต์มือสองในไทย ไม่มีมาตรฐานใด ๆ มารองรับ และไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมรรถนะ แต่ขึ้นอยู่กับกระแสความนิยมที่คิดกันไปเอง ความยากง่ายในการขายต่อว่ามีคนรอซื้อหรือไม่ ไม่ใช่ประกาศไปหลายเดือน จึงจะมีคนมาถามสักคน และก็มีเรื่องอะไหล่กับค่าซ่อมมาเกี่ยวข้องด้วย สรุปรถยนต์สมรรถนะดี อาจมีราคาขายต่อหล่นวูบก็เป็นได้ รถยนต์ที่มีราคาขายต่อดี อาจไม่มีสมรรถนะที่โดดเด่น แต่เป็นเพราะรูปลักษณ์สวย Brand Imageดี ซ่อมง่าย อะไหล่ไม่แพง และมีคนรอซื้อต่อก็เป็นได้

รถยนต์รุ่นใหญ่ที่เก่าแล้ว ภาพพจน์ดีกว่ารถใหม่รุ่นเล็ก


       ภาพพจน์ในสังคมไทย คนส่วนใหญ่มักมีความรู้สึกหรูกับการใช้รถยนต์รุ่นใหญ่ ๆ ราคาแพง ขอเพียงไม่ได้เก่ามากกว่า 10 ปี และถ้าเป็นรถยนต์ยุโรป รุ่นใหญ่ ก็ทำให้ดูดียิ่งขึ้น เพราะผู้ที่มองมักจะสนใจรุ่น และระดับของรถยนต์ โดยไม่มีเวลาคิดถึงมูลค่าของรถยนต์คันนั้น ณ ปัจจุบัน รถยนต์รุ่นใหญ่อายุ 4-5 ปี ย่อมมีภาพลักษณ์ทางสังคม ดีกว่ารถยนต์รุ่นเล็กกว่า แม้จะใหม่เอี่ยมก็ตาม เปรียบเทียบง่าย ๆ รถยนต์ใหม่เอี่ยม เช่น ฮอนด้า ซีวิค ราคา 8 แสนกว่าบาท กับเมอร์เซเดส เบนซ์ W124 300อี อายุ 10 ปี สภาพดี ๆ ใครมองผ่าน ๆ ก็ย่อมเทความหรูให้กับเบนซ์ หรือ 4 แสนกว่าบาทระหว่างโตโยต้า โซลูน่า กับวอลโว่ 940 อายุเกือบ 10 ปี สภาพดี ๆ ขับวอลโว่ย่อมได้ความหรูมากกว่า

       อย่างไรก็ตาม เรื่องความหรูหรือภาพพจน์ เป็นสิ่งที่ไม่มีการสรุปเป็นมาตรฐานใด ๆ แต่รวบรวมมากจากความคิดเห็นของหลายบุคคล ซึ่งสรุปแล้วนี้ไม่พ้นว่า คนไทยจะใช้รถยนต์เป็นส่วนหนึ่งของหน้าตาในสังคม ต่างจากอีกหลายประเทศที่ใช้เป็นเพียงแค่พาหนะเท่านั้น

รถยนต์ยี่ห้อนั้น อะไหล่ราคาถูกกว่าอีกยี่ห้อ
       แม้ประโยคนี้อาจเป็นจริงเมื่อ 10 กว่าปีก่อน และอาจเปลี่ยนแปลงไปแล้วในปัจจุบัน แต่ความเชื่อเช่นนี้ก็ยังฝังรากลึกมาตลอด โดยที่ไม่ยอมศึกษาข้อเท็จจริงว่า มีความเปลี่ยนแปลงจากอดีตหรือไม่ ระยะเวลา 10 ปี สร้างความเปลี่ยนแปลงได้หลายอย่าง โดยเฉพาะถ้าความเปลี่ยนแปลงนั้นเกี่ยวข้องกับนโยบายที่คนกำหนดขึ้นมา บริษัทรถยนต์บางรายทราบถึงจุดด้อยว่าอะไหล่ของตนราคาแพงกว่าคู่แข่ง ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ อนาคตแย่แน่ ๆ ก็เลยตรึงหรือลดราคาอะไหล่ลงหรือถ้าจะเพิ่มก็เท่าที่จำเป็น ในขณะที่บางรายชะล่าใจว่า อะไหล่ถูกกว่า และลูกค้ามีความเชื่อมั่นว่าอะไหล่ราคาถูก ก็เลยขึ้นราคาอะไหล่มาเรื่อย ๆ ปัจจุบันนี้พบว่า รถยนต์ยี่ห้อที่เคยเชื่อมั่นกันว่า อะไหล่มีราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ถ้าเปรียบเทียบอะไหล่แท้ในศูนย์บริการด้วยกันแล้ว อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น อีกทั้งยังสลับขั้วกลับมาแพงกว่ากันมากก็ยังมี

       สาเหตุที่ความเชื่อดั้งเดิมยังคงอยู่ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้ไปตรวจสอบราคาอะไหล่ของอีกยี่ห้อหนึ่ง ที่ไม่ใช่รถยนต์ของตนเอง หรือบางคนนำราคาอะไหล่ของเทียมหรือทดแทน ไปเปรียบเทียบกับราคาอะไหล่แท้ ก็เลยมีความแตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบราคาอะไหล่กัน ควรจับคู่ให้เหมาะสมด้วย แท้กับแท้ เทียมกับเทียม และต้องเทียบในระดับคุณภาพที่พอ ๆ กันด้วยครับ ปล.สี่เท้ายังรู้พลาดครับ

ที่มา https://www.asnbroker.co.th 

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แรงบิดและแรงม้า ประโยชน์ต่อการใช้งานรถเรา #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

แรงบิดและแรงม้า ประโยชน์ต่อการใช้งานรถเรา #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
แรงบิดและแรงม้า ประโยชน์ต่อการใช้งานรถเรา #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

บทความนี้ ASN Broker จะกล่าวถึง แรงบิด (Torque) และแรงม้า (Horse Power) ซึ่งเมื่อท่านได้อ่านบทความนี้แล้ว ท่านจะได้เข้าใจ ถึงความหมายของศัพท์ดังกล่าวและสามารถนำไปใช้ ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบเครื่องยนต์แต่ละรุ่นได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการพิจารณาเลือกรถ ที่เหมาะสมกับการใช้งานของท่านครับ

      แรงบิด (Torque) คือ แรงหมุนของเพลาเครื่องยนต์ เป็นแรงที่ใช้เพื่อส่งกำลังของเครื่องยนต์ไปหมุนเกียร์ เพลา และ ล้อรถ เพื่อให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แรงบิดจะมีค่า แตกต่างกันไปที่ความเร็วรอบเครื่องยนตต่างๆ ซึ่ง ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ผลิตว่าต้องการให้มีแรงบิด สูงสุดอยู่ที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่ำ ปานกลาง หรือ สูง รถที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงก็จะมีอัตราเร่ง ดีกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดต่ำกว่าพูดง่ายๆก็คือ แรงบิดจะเป็นตัวบ่งชี้ว่ารถคันใดวิ่งเร็วกว่าอีกคันครับ ยกตัวอย่าง รถคันแรกมี 115 แรงม้าที่6500รอบ แรงบิด 14 ก.ก./เมตรที่4500รอบ คันที่สองมี100แรงม้า แรงบิด 14 ก.ก./เมตรที่ 2750 รอบ ถามว่ารถคันแรกหรือคันที่สองวิ่งกว่ากันคำตอบก็คือ รถคันที่สองจะวิ่งเร็วกว่าคันแรกครับ เพราะแรงบิดสูงสุดมาที่รอบต่ำกว่า 2750 รอบแม้ว่าจะ14กก/เมตรเท่ากันทั้งสองคันก็ตาม แรงม้าเกินกันอีก15แรงก็ตาม รถคันแรกไม่มีทางไล่รถคันที่สองทันทุกกรณี อัตตราเร่ง0-100 คันที่สองก็ใช้เวลาน้อยกว่า จับมาอัดกัน0-400เมตร คันที่สองก็อยู่หน้าคันแรกอยู่ดี ทำไมรถแข่งในสนามจึงเอามาวิ่งใช้งานปรกติไม่ได้ ก็เพราะเหตุนี้ล่ะครับแรงบิดสูงสุดมันมาที่เป็นหมื่นๆรอบ แค่ออกตัวก็ต้องออกที่รอบ4000-6000รอบ ไม่มีทางทุกกรณีที่จะเอามาวิ่งในถนนปรกติได้เลย วิธีสังเกตุหรือดูง่ายๆก็คือว่ารถคันไหนแรงบิดมันมาที่รอบต่ำกว่าคันนั้นล่ะวิ่งกว่าครับ

           รถที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงสุดในรอบเครื่องต่ำ หรือปานกลาง จะออกตัวได้ดีกว่าและให้อัตราเร่งที่ดีกว่า ในช่วงความเร็วต่ำหรือความเร็วปานกลาง ในขณะที่ รถที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงสุดในรอบเครื่องสูง จะให้อัตราเร่งที่ดีกว่าในช่วงความเร็วสูง และมีแนวโน้ม ที่จะให้ความเร็วสูงสุดที่สูงกว่า (ดูในเรื่องแรงม้า) แต่ใน
การออกตัวหรือในช่วงที่ใช้ความเร็วต่ำสมรรถนะ จะด้อยกว่า หรือ ที่มักเรียกกันว่า "ต้องรอรอบ" เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงสุดที่รอบเครื่องต่ำมักเหมาะกับรถเก๋งที่ใช้งานในเมือง รถบรรทุก รถขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ใช้งานในป่าหรือที่ทุรกันดาร ส่วนเครื่องยนต์ที่มีแรงบิด สูงสุดที่ความเร็วรอบสูงจะเหมาะกับรถที่ใช้เดินทางไกล บ่อยๆ ต้องการอัตราเร่งที่ดีที่ความเร็วสูง หน่วยของแรงบิดที่นิยมใช้กัน คือ Kg-m, Nm และ Ft-lbs      แรงม้า (Horse Power) คือ หน่วยอันหนึ่งสำหรับ ใช้วัดกำลังของเครื่องยนต์ หน่วยวัดกำลังที่นิยมใช้กัน คือ แรงม้า (HP),แรงม้า (PS) และ กิโลวัตต์ (KW)นอกจากนี้ ในบางครั้งเราจะเห็นตัวย่อ BHP ซึ่งย่อมาจาก Brake Horse Power หมายถึง กำลังของเครื่องยนต์ที่ได้รับจากเพลาเครื่อง ซึ่งเท่ากับกำลังที่เครื่องยนต์ผลิตได้หักออก ด้วยแรงเสียดทานภายเครื่องยนต์ ดัง สูตร BHP = IHP - FHP โดยที่ IHP คือ Indicated Horse Power หมายถึงกำลัง ที่เครื่องยนต์ผลิตได้ และ FHP คือ Friction Horse Power ซึ่งหมายถึงแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ กำลังของเครื่องยนต์สามารถคำนวณได้จากสูตร HP = K x Torque x RPM โดยที่ K คือ ค่าคงที่ T คือแรงบิด และ RPM คือความเร็วรอบของเครื่องยนต์ แรงม้าสูงสุดของเครื่องยนต์แต่ละรุ่นแต่ละแบบจะอยู่ที่ ความเร็วรอบเครื่องยนต์แตกต่างกันไปแล้วแต่การ ออกแบบของผู้ผลิต แล้วแรงม้าเห็นกันในหนังสือ หรือใน specification ต่างๆ นั้นเป็น BHP หรือ IHP คำตอบน่าจะเป็นBHP เพราะเป็นแรงม้าที่ได้มาจากการทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ แรงม้าสูงสุดจะอยู่ที่ความเร็วรอบสูงกว่าความเร็วรอบที่มี แรงบิดสูงสุดเสมอจากที่แรงบิดของเครื่องยนต์จะแสดงถึงอัตราเร่ง แรงม้าของเครื่องยนต์ก็จะแสดงถึงความเร็วสูงสุดของรถ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเอาชนะแรงเสียดทาน และ แรงต้านของอากาศ ที่จะมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ (อัตราความเร็วยกกำลังสอง)เมื่อความเร็วสูงขึ้น จากสูตรคำนวณแรงม้าจะเห็นได้ว่า สำหรับเครื่องยนต์ที่มี ขนาดเท่าๆ กัน เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงสุดที่รอบต่ำจะมี
แนวโน้มที่จะมีแรงม้าสูงสุด ต่ำกว่า เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงสุดที่รอบสูงกว่า แต่ถ้าต้องการให้มีทั้งแรงบิดและ แรงม้ามากขึ้น ก็จะต้องเป็นเครื่องยนต์ที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า
หรือ เป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่า หรือ มีการติดตั้ง อุปกรณ์อื่นเพิ่ม เช่น turbocharger supercharger ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าราคาของเครื่องยนต์จะสูงขึ้น ค่าใช้จ่าย ในการซ่อมบำรุงก็จะสูงขึ้น และ มักจะต้องจ่ายค่าน้ำมัน
เชื้อเพลิงมากขึ้นอีกด้วย

      อันความรู้เรื่องแรงบิดและแรงม้านั้น ผมว่าไม่ใช่รู้เพื่อความเท่ห์เฉยๆ แต่มันมีประโยชน์ต่อการใช้งานรถเราด้วยครับ อย่างเช่น เรารู้แรงบิดสูงสุดว่าอยู่ที่กี่รอบ ก็ควรเปลี่ยนเกียร์(ให้สูงขึ้น)ที่ความเร็วรอบไม่เกินนั้น(อย่างเช่นอยู่ที่ 3000 รอบ เราก็ควรเปลี่ยนเกียร์ที่ 2500-3000 รอบ เพราะไปเปลี่ยนเกียร์ที่รอบสูงกว่านี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ทำร้ายเครื่องเราปล่าวๆ) เรารู้แรงม้าสูงสุดว่าอยู่ที่กี่รอบ ก็ควรใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกินที่เขากำหนดรอบมา (มาตรวัดรอบเขาก็ทำมาให้ดูแล้ว - คงไม่ใช่เพื่อความเท่ห์อย่างเดียว) รถจะได้อยู่คู่เราไปตราบนานเท่านานครับ... ปล.สี่เท้ายังรู้พลาดครับ

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ส่วนลดประวัติดีกับการต่อประกัน จริงหรือ!? #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ส่วนลดประวัติดีกับการต่อประกัน จริงหรือ!? #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ส่วนลดประวัติดีกับการต่อประกัน จริงหรือ!? #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

 
คงจะเคยเห็นหรือเคยทราบกันมาบ้างแล้วว่าการทำประกันนั้นถ้าไม่มีการเคลมเกิดขึ้น จะมีการจูงใจเพื่อให้ต่ออายุประกันในปีต่อไปด้วยการลดราคาหรือมีส่วนลดให้ เช่น
20%สำหรับปีที่สองหรือไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายในปีแรก
30%สำหรับปีที่สามหรือไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายในสองปีที่ผ่านมา 
40%สำหรับปีที่สี่หรือไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายในสามปีที่ผ่านมา
50%สำหรับปีที่ห้าหรือไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายในสี่ปีที่ผ่านมาหรือนานกว่านั้นเป็นต้นไป
แล้วที่บอกว่าลดราคาหรือเบี้ยให้นั้นเป็นความจริงหรือ?
วันนี้ ASN Broker จะมาเล่าแจ้งแถลงไขแบบหมดเปลือก เพื่อเราๆท่านๆโดยเฉพาะ ไม่มีกั๊กข้อมูลและเป็นกลางสุดๆ ถ้ามองผิวเผินหรือไม่คิดอะไรจะเห็นว่ามีการลดเบี้ยประกันให้จริงๆ แต่ถ้ามองลึกลงไปในรายละเอียดหรือสังเกตดีๆแล้วจะพบว่า มีการแอบแฝงข้อความหนึ่งไว้ว่า..

“..ส่วนลดเบี้ยประกันนั้นเป็นส่วนลดที่คิดจากเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ..”

อธิบายขยายความได้ว่า การลดเบี้ยประกันไม่ว่า 20-30-40-50%นั้น ไม่ใช่การลดจากเบี้ยประกันเดิมหรือไม่ใช่การลดจากกรมธรรม์ในปีที่ทำอยู่แล้วเอามาคิดเพื่อเป็นส่วนลดในปีถัดไป เช่น

ในปีแรกจ่ายเบี้ยไป 30000บาทและไม่เคยเรียกค่าทดแทนเลย ปีถัดมาถ้าลด 20%ก็จะเหลือ 24000บาท แต่ทำไมเรียกเก็บจริงไม่เป็นไปตามนั้นเช่นเรียกเก็บ 26000บาทเป็นต้น ซึ่งก็คือ 13.33% ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

เคยมีบางท่านบอกว่ามันมีแว็ต 7%รวมอยู่ด้วย เอ้ามาลงลึกไปอีกหาเบี้ยที่แท้จริง

จาก 30000 หักแว็ต 7% หรือ 1962.62บาท ก็จะเหลือเบี้ยจริง 28037.38 บาท(รวมอากรราว 50บาท)
ถ้าคิดส่วนลด 20% จาก 28037.38 บาทหรือ 5607.48 บาท ก็จะเหลือ 22429.90 บาท

ดังนั้นเบี้ยปีต่อไปเมื่อรวมแว็ตอีก 7%หรือ 1570บาทก็ควรจะแค่ 24000 บาท

(รวมค่าอากรแล้วก็อีกไม่กี่บาทยังไงก็ไม่เกินร้อยหรอก)

แล้วทำไมจึงเรียกเก็บเกินจากนี้หละ เป็นไปได้ยังไง
 
มีอะไรแอบแฝงอยู่?

ก็อย่างที่เรียนข้างต้นว่าการคิดเบี้ยนั้นเขาคิดจากเบี้ยในปีนั้นๆที่จะทำประกัน ไม่ได้คิดจากเบี้ยในปีที่ผ่านมา แต่เบี้ยในปีนั้นๆหรือเบี้ยในปีที่จะต่อประกัน จะมีใครทราบบ้างว่ามันเท่าไหร่หรือเพิ่มลดยังไงเพราะไม่เคยมีใครหรือบริษัทประกันที่ไหนบอก จะบอกเฉพาะในปีแรกที่จะทำเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่ในปีแรกจะไม่แพงเท่าไหร่ดูสมน้ำสมเนื้อดี แต่พอเข้าปีที่สองหรือปีถัดไปกลับมาการปรับเพิ่มเบี้ย(ยังไม่เคยเห็นว่ามีการปรับลด)แต่ไม่เคยแจ้งให้ผู้ทำประกันได้ทราบ ถ้าผู้ทำประกันหรือต่อประกันไม่คิดอะไรเพราะเห็นเพียงแค่ว่ามันถูกลงแล้วก็จะจ่ายตามที่ถูกเรียกเก็บ แต่พอมีคนโวยวายออกมาว่าทำไมไม่ลดตามที่ระบุก็จะได้รับคำตอบว่าเป็นนโยบายของบริษัทที่มีการปรับอัตราเบี้ยประกันใหม่ตามประกาศเลขที่....(อยู่ไหนหรือประกาศตั้งกะเมื่อไหร่ไม่ให้ดูหรอก)หรือมันไม่ได้คิดเฉพาะเบี้ยประกันมันยังมีค่าอากรค่าแว็ตเข้ามาคิดด้วย(ก็แล้วแต่จะกล่าวอ้างไปต่างๆนาๆ) เช่นในกรณีที่ยกมาว่าจาก 30000 บาทหลังลดแล้วต้องจ่าย 26000 บาท ก็แสดงว่ามีการปรับเบี้ยก่อนได้รับส่วนลดจาก 30000 บาท เป็น 32500บาทเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะนำมาคิดส่วนลด แต่ที่น่าเจ็บกระดองใจคือจากการสอบถามของผู้ที่ใช้รถรุ่นเดียวกันที่ออกใหม่ป้ายแดงนำไปทำประกันก็ยังเสียเบี้ยปีแรก 30000 บาทอยู่ แสดงว่ามีการปรับเพิ่มเฉพาะผู้ที่ต่อ
การต่อประกัน!

ลองสละเวลาซักนิดนะครับเช็คดูซักหน่อยว่าเป็นอย่างที่ผมพูดไปหรือเปล่าเพราะที่พูดถึงนี่เป็นเพียงบางบริษัทเท่านั้นเพราะบางที่ก็ยังซื่อตรงอยู่ก็ยังมี แต่ถ้าท่านเจอเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำยังไง

 1.ก่อนหมดอายุประกันราว 2เดือน(อย่างน้อยที่สุดก็ 1เดือน)หรือถ้ามีหนังสือแจ้งยอดที่ต้องไปชำระค่าเบี้ยประกันในปีถัดไป ให้ลองโทรฯไปสอบถามบริษัทประกันว่าเบี้ยประกันเท่าไหร่และยอดความคุ้มครองเป็นอย่างไร เอาหลักๆเลยเช่นรถหายจ่ายเท่าไหร่หรือผู้ขับขี่เสียชิวิตจ่ายเท่าไหร่

2.นำข้อมูลที่ได้มาคำนวนตามตัวอย่างที่ยกมาข้างบนว่าส่วนลดตรงตามเปอร์เซ็นต์ที่แจ้งหรือเปล่ามีส่วนต่างอยู่เท่าไหร่ ถ้าใกล้เคียงกันหรือห่างกันไม่เกิน 2-300บาทก็ถือว่าพอยอมรับได้แต่ถ้ามากกว่านั้น

3.โทรฯสอบถามบริษัทประกันอื่นว่ารถเรายี่ห้อนี้/ปีนี้ ถ้าต้องการการคุ้มครองแบบเดียวกัน(กับที่บริษัทเดิมเสนอความคุ้มครองให้)ต้องจ่ายเบี้ยประกันเท่าไหร่

4.ถ้าพบว่าความคุ้มครองเท่ากันแต่ราคาถูกกว่าหรือให้ความคุ้มครองมากกว่าในราคาเท่ากัน แนะนำให้เปลี่ยนบริษัทประกันครับ แสดงว่าบริษัทที่ทำอยู่เริ่มมีอะไรที่หมกเม็ดแล้วและในปีต่อๆไปเราก็จะเจอเช่นเดิมอีก

5.ถ้าเกิดมีการเคลมเกิดขึ้นอาจจะต้องจ่ายเบี้ยเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นเช่น ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายเกิน 200%ของเบี้ยในปีนั้น ในปีต่อไปต้องจ่ายเบี้ยเพิ่มขึ้น 20%(จากเบี้ยที่กำหนดโดยไม่ทราบที่มา)เป็นต้น อันนี้แนะนำให้เปลี่ยนบริษัทประกันทันทีไม่ต้องลังเล ปล่อยให้บริษัทประกันเดิมภาคภูมิใจกับตัวเลขที่หวังว่าจะเก็บเพิ่มจากเราไปเรื่อยๆแต่ไม่ต้องต่อเปลี่ยนทันทีเพราะราคาเบี้ยประกันจะถูกลงทันที หาที่ถูกกว่าที่จะต่อกับบริษัทเดิมได้ไม่ยากหรอกครับ
*****คงฝากไว้เป็นข้อคิดเล็กๆน้อยๆนะครับบางท่านอาจจะเคยสังเกตหรือเคยทราบมาแล้วแต่บางท่านอาจจะยังไม่เคยทราบหรือเคยสังเกตเรื่องเหล่านี้เลย เพราะมันเป็นการเอารัดเอาเปรียบกันซึ่งหน้าทีเดียว ลองดูนะครับไม่เสียหลายหรอกสละเวลาซักนิดยกหูโทรศัพท์เสียไม่กี่บาทแต่ท่านอาจจะประหยัดเงินได้หลายร้อยหรือหลายพันบามเลยทีเดียว(ผมเคยได้สูงสุดกว่า 2000บาทครับ)*****

*****เราเป็นผู้จ่ายเงินจงเลือกในสิ่งที่เห็นว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากที่สุด เราเป็นลูกค้ามีสิทธิ์เลือก อย่าตกเป็นเหยื่อของความไม่ชอบธรรม บริษัทประกันต้องเป็นฝ่ายง้อเราถึงจะถูก ไม่ใช่ให้เราเป็นฝ่ายไปง้อ*****

*****ยังมีบริษัทประกันอีกมากมายให้เราเลือกใช้บริการ ใช่ว่าบริษัทใหญ่จะดีเสมอไป(อย่าให้เอ่ยชื่อเลย)บางที่ก็ใหญ่แต่ชื่อแต่บริการไม่เป็นสัปะรดแมวแถมเล่นแง่สุดๆก็มีถมไป ปล่อยให้เขาตายไปพร้อมกับชื่อเสียงและความภาคภูมิใจนั้นเหอะครับ*****

*****เลือกที่ซื่อสัตย์จริงใจกับเรามากที่สุด ใหญ่เล็กไม่สำคัญ ขอให้บริการดีเป็นใช้ได้ ไม่ใช่ว่าเวลาเก็บตังค์นะพูดดี แต่เวลาจะเรียกร้องค่าเสียหายยังจะเราเป็นชู้จะลูกเมียท่านยังไงยังงั้นแหละ อันนี้พูดดีก็น่าต่อประกันด้วยแม้จะแพงบ้างนิดหน่อยก็ถือว่าซื้อบริการ แต่ถ้ามีการเรียกร้องค่าเสียหายแล้วเจอประเภทนี้เปลี่ยนเหอะครับไม่นานเดี๋ยวก็เจ๊งไปเอง*****

*****การเปลี่ยนบริษัทประกันเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถติดต่อกันนานๆหรืออาจจะไม่คิดจะขายเท่านั้น ส่วนผู้ที่วางแผนขายล่วงหน้าไว้แล้วการเปลี่ยนบริษัทประกันอาจจะถูกมองว่าเป็นการหมกเม็ดหรือลบประวัติไม่ดีทิ้งก็อาจจะเป็นได้ แต่ถ้าการวางแผนขายนั้นอยู่ในรูปของการตีเทิร์นหรือขายเข้าเต็นท์ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด มันก็เป็นดาบสองคมเสมอ แต่สิ่งที่ได้รับจากการเปลี่ยนบริษัทประกันคือเราจะรู้ว่าบริษัทถูกกว่า-บริการดีกว่า-ไม่เล่นแง่ตอนเคลม และเมื่อนั้นเราก็สามารถผูกขาดการทำประกันกับบริษัทที่เราเห็นว่าดีที่สุดได้เลย เป็นสิ่งที่น่าค้นหาคำตอบนะครับ*****

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รู้ทันลูกเล่น อู่-ช่าง-เซลส์ ก่อนเสียเปรียบ #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

รู้ทันลูกเล่น อู่-ช่าง-เซลส์ ก่อนเสียเปรียบ #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
รู้ทันลูกเล่น อู่-ช่าง-เซลส์ ก่อนเสียเปรียบ #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

            สวัสดีครับ ASN Broker กลับมาอีกครั้ง วันนี้นำความรู้ดีๆ มาฝากอีกเช่นเคยกับเรื่อง รู้ทันลูกเล่น อู่-ช่าง-เซลล์ นอกจากเสียเงินซื้อรถแล้ว ยังต้องเสียทั้งการเติมน้ำมัน และซ่อมต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เรียนรู้ให้เท่าทันลูกเล่น เล่ห์เหลี่ยม กลโกง ของเซลส์ อู่ และช่าง ที่จ้องจะดึงเงินออกจากกระเป๋าเจ้าของรถ ธุรกิจ และการค้าขาย เกี่ยวข้องโดยตรงกับความซื่อสัตย์หรือคุณธรรม หลายอาชีพต้องมีลูกล่อลูกชนในการค้าขาย เช่น เซลส์หรือพนักงานขายรถ หรือบางอาชีพง่ายต่อการโกงด้วยสารพัดเล่ห์เหลี่ยม เช่น อู่ หรือช่าง

 เซลส์-พนักงานขายรถ
แม้ไม่ถือว่าเป็นกลโกง แต่ก็เป็นลูกเล่นหรือลูกล่อลูกชนที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เช่นใกล้ขึ้นราคาแล้วให้รีบซื้อ – ขู่ว่าสัปดาห์หน้าเดือนหน้าจะขึ้นราคาแล้ว กรณีนี้มีทั้งจริงและไม่จริง ยากที่จะพิสูจน์ได้ เพราะกำหนดการขึ้นราคาขึ้นอยู่กับบริษัทหลัก ไม่ใช่ดีลเลอร์ทั่วไป การติดตามข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ พอช่วยได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทราบลึก ควรซื้อเมื่อการเงินของตัวเองพร้อม หรือมีความจำเป็นในการใช้รถโดยไม่ต้องสนใจการขู่ว่าจะขึ้นราคา

รถใกล้ตกรุ่น แต่บอกว่ารุ่นใหม่อีกนาน – ไม่ว่าเซลส์คนนั้นจะไม่ทราบจริง ๆ หรือทราบแต่โกหก ก็นับเป็นเรื่องปกติที่จะต้องบอกแบบนี้ ไม่เช่นนั้นก็ระบายสต็อกรุ่นเก่าได้ยาก เราสามารถรู้เท่าทันได้ โดยติดตามข่าวสารจากต่างประเทศ และในประเทศตามสื่อต่าง ๆ เพราะไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ อย่างไรก็ต้องเปิดตัวรถรุ่นใหม่ตามตลาดโลก ไม่ได้มีรถรุ่นที่ผลิตให้เฉพาะไทยแน่ ๆ

ของแถมมีราคาแพง – เป็นปกติไปแล้วที่จะต้องมีส่วนลดเป็นยอดเงินหรือมีของแถมให้เป็นแรงจูงใจ มักจะมีการบอกราคาของแถมเกินจริงหรือเกินคุณภาพไปมาก ตรวจสอบได้ไม่ยาก โทรศัพท์สอบถามจากเบอร์โทรศัพท์ตามหน้าโฆษณาในนิตยสารต่าง ๆ ที่มีสินค้าเดียวกันจำหน่ายอยู่ เพราะของแถมก็มักจะมาจากร้านประดับยนต์ต่าง ๆ เหมือน ๆ กัน

อยากได้เร็ว ต้องเสียเงินเพิ่มนอกระบบ – ตรวจสอบจากโชว์รูมหรือดีลเลอร์อื่นว่า ต้องรอนานจริงหรือไม่ บางแห่งอาจมีสต็อกอยู่พร้อมส่งมอบเลยก็ได้

อู่
ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์กลไกมากนัก และไม่มีโอกาสประกบดูการทำงานของช่าง ไม่มีเวลา จึงต้องเชื่อช่าง อู่หรือศูนย์บริการ ซึ่งสามารถโกงลูกค้าได้ง่ายมาก ถ้าขาดคุณธรรมในการทำธุรกิจ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะอู่ทั่วไปที่โกงเท่านั้น บางศูนย์บริการก็โกง เพราะศูนย์บริการส่วนใหญ่ก็มีเจ้าของเป็นรายย่อย ไม่ใช่สาขาจากบริษัทรถทำเอง คุณธรรมจึงเกี่ยวข้องกับกรณีนี้อย่างมาก

 

เสียน้อย บอกเสียมาก – ในเมื่อไม่มีความรู้เพียงพอ ย่อมจับไม่ได้ จะป้องกันโดยการให้เอาอะไหล่ชิ้นที่เสียมาให้ดู ก็ไม่ได้ผล ถ้าอู่จะโกงจริง ๆ ก็หาอะไหล่เก่าจากคันอื่นมาให้ดูก็ได้ อะไหล่เสีย ๆ เหล่านั้นก็มักจะเลอะ ๆ ลูกค้าดูผ่าน ๆ แล้วก็ทิ้ง

บวกราคาอะไหล่ – ศูนย์บริการไม่ทำ เพราะขายอะไหล่แท้มีราคาตายตัว แต่หลายอู่มักจะทำกันจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ก่อนมีการบวกราคาอะไหล่ที่อู่จัดซื้อให้เป็นยอดเงินไม่มาก คิดเพิ่มเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือเป็นค่าเสียเวลาในการซื้ออะไหล่ เพียงไม่กี่สิบไม่กี่ร้อยบาท
แต่ระยะหลังมานี้ หลายอู่โลภมาก เห็นว่าได้เงินเพิ่มมาง่าย ๆ เพราะแค่บอกให้ร้านอะไหล่เขียนยอดเงินเพิ่มลงในใบเสร็จเพื่อให้ลูกค้าดูก็สามารถเรียกเก็บเงินได้สบาย ๆ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มีเวลาตรวจสอบหรือคิดว่ามีการบวกราคาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงทำใจได้ ทั้งที่อู่อาจบวกราคาไว้หลายสิบเปอร์เซ็นต์ หรือหนักข้อถึงขั้นบวกเพิ่มกว่าเท่าตัวก็ยังมี เรื่องนี้แก้ไขได้ยาก เพราะถ้าจะซื้ออะไหล่ไปเอง ก็ไม่สะดวก เพราะไม่มีความรู้หรือไม่มีเวลาเพียงพอ และอู่ก็ไม่ค่อยอยากบริการ

ศูนย์บริการอิสระ
ไม่ใช่ศูนย์บริการยี่ห้อเดียวกับรถ แต่เป็นศูนย์ซ่อมอิสระที่มีหลายสาขา โดยรับซ่อมงานด่วน งานเล็ก-ปานกลาง
ปัญหาที่พบบ่อย คือ คุณภาพของช่างที่ขาดความชำนาญ (ในศูนย์บริการหลายแห่ง) การคิดราคาค่าแรงแพง หรือการบวกค่าอะไหล่ที่จัดหามาให้ มีเหมือนกับอู่ทั่วไป
นอกจากนั้น ยังน่าแปลก ที่ระยะหลังพบปัญหาการโกงน้ำมันเครื่อง ทั้งโกงจากในใบเสร็จหรือแอบเทออกจากกระป๋องที่เหลือของลูกค้า นำมารวม ๆ กันรายละครึ่งลิตรหรือหนึ่งลิตร อย่าคิดว่าเล็กน้อย เพราะน้ำมันเครื่องในปัจจุบัน อย่างต่ำ ๆ ก็ลิตรละ 80-100 บาท วันหนึ่งแอบโกง 3-4 ลิตร คิดเป็นเงินก็หลายร้อยบาท เดือนหนึ่งก็เป็นหมื่นบาท

ร้านยาง
จำเป็นต้องขายยางเก่าเก็บ เพราะบริหารสต็อกไม่ได้ หรือขายไม่ดี แม้บริษัทยางจะบอกว่า ยางเก่าเก็บไม่เป็นอะไรถ้าเก็บถูกวิธี สามารถเก็บสต็อกได้หลายปี แค่ 2-3 ปี ถือว่ายังนำมาใช้ได้ตามปกติ แต่ในทางปฏิบัติจริงก็ไม่ควรซื้อยางที่เก็บไว้นาน ๆ ถ้าผลิตมาไม่เกิน 1 ปี ก็ยิ่งดี
สามารถดูสัปดาห์และปีที่ผลิตยางเส้นนั้นได้จากตัวเลข 4 หลักในวงรีบนแก้มยาง หลังตัวย่อ DOT ออกไปไม่ไกล ไม่สามารถลบออกได้ โดยตัวเลข 2 ตัวแรกคือ สัปดาห์ที่เท่าไรของปี ตัวเลข 2 ตัวหลังคือ เลข 2 ตัวท้ายของปี ค.ศ. เช่น 2401 ยางเส้นนั้นผลิตสัปดาห์ที่ 24 ปี 2001
ยางบางยี่ห้อ ใช้หมึกสีอ่อนปั๊มลงบนแก้มยาง เป็นรูปวงกลมขนาดเล็ก โดยระบุเอนและปีพ.ศ. ที่ผลิต อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย แต่สามารถลบออกได้


อู่-ร้านแต่งรถ
ทั้งแต่งสวยแต่งแรง ก็อาจมีลูกเล่นหรือกลโกงได้ แต่งสวย เอาของราคาถูกหรือคุณภาพต่ำมาขายในราคาแพง ไต้หวันเป็นประเทศที่มีการผลิตของตกแต่งรถในราคาถูก และมีให้เลือกมากมาย ซึ่งมีสารพัดคุณภาพ แต่ส่วนใหญ่แล้วเน้นราคาถูก แต่คุณภาพต่ำหรือพอใช้ได้เท่านั้น
ร้านขายหรือตกแต่งรถในไทย หลายร้านปั่นเพิ่มราคาจนสูงลิ่ว เช่นไฟหรี่ข้างบังโคลนสีขาว ต้นทุนมาคู่ละประมาณ 100 บาท แต่ตั้งราคาขาย 500-800 บาท
แม้ไม่โอกาสไปซื้อที่ไต้หวันเอง แต่ก็พอจะหาของแต่งที่มีราคาเหมาะสมกับคุณภาพได้ โดยการตรวจสอบราคาจากหลาย ๆ แหล่ง พบว่าปัจจุบันนี้ แถววรจักร คลองถม สะพานเหล็ก ก็มีของแต่งเหมือน ๆ กับตามร้านชื่อดังในราคาถูกว่ามาก

อู่สี
ทั้งกรณีซ่อมสีหรือทำสีทั้งคัน มีทั้งตกลงว่าจะใช้สียี่ห้อหนึ่ง แล้วกลับไปใช้สีอีกยี่ห้อหนึ่ง หรือตกลงกันว่าจะใช้สีแห้งช้า กลับไปใช้สีแห้งเร็ว หรือใช้แค่แลกเกอร์แห้งเร็วเคลือบ
ในกรณีที่ทำสีทั้งคัน มีการตัดผุไม่หมดจริง ๆ โป๊วสีทับไปเลยในบางจุด กว่าจะปูดขึ้นมาก็เกินระยะเวลารับประกันไปแล้ว หรือตกลงว่าจะลอกสีทุกจุด พอทำจริง ก็ลอกเพียงบางส่วน 

ที่มา : http://www.asnbroker.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

ซื้อรถมือสองมาแล้ว ทำอย่างไรต่อไป #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ซื้อรถมือสองมาแล้ว ทำอย่างไรต่อไป #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ซื้อรถมือสองมาแล้ว ทำอย่างไรต่อไป #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

สวัสดีครับ ASN Broker กลับมาคราวนี้หลังจากแนะนำวีธีขายไปแล้ว วันนี้เรามาแนะนำสำหรับผู้ซื้อรถมือสอง ต้องทำอย่างไรต่อไป เมื่อคุณเก็บหอมรอมริบได้เงินครบจะไปดาวน์รึซื้อสดรถคันโปรดมาแล้ว  บางทีอาจเป็นรถคันแรกของบ้านคุณ  แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป  บทความนี้จะบอกให้ทราบว่ามือใหม่(แต่)รถไม่ใหม่นั้น ควรจะทำอย่างไรบ้างเมื่อคุณขับคันนี้กลับมาที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

1.ทำความรู้จัก
 อย่าตกใจว่าทำความรู้จักกับใคร ไม่ใช่ช่างซ่อมหรือคนขายคนสวยแน่นอน  แต่ที่ต้องรู้จักก็คือรถของคุณนั่นเอง  สิ่งที่คุณต้องรู้จักดังต่อไปนี้
- รุ่นของรถ/ปี  บ่อยครั้งที่เราไปซื้ออะไหล่รถเองแล้วถ้าเราไม่รู้ชื่อรุ่นที่แม่นยำเกิดปัญหาแน่นอนอย่างเช่น เพราะรถชื่อรุ่นเดียวกันแต่อาจใช้เครื่องยนต์ต่างกันก็มีไม่น้อย  เรื่องอย่างนี้ถือเป็นเรื่องหญ้าปากคอกที่ทำให้เจ้าของรถที่เรียกตัวเองว่าเซียนเหงื่อแตกมาหลายคนแล้ว  เวลาไปซื้ออะไหล่รถที่ตัวเองขับอยู่ทุกวัน
- เครื่องยนต์  คุณควรรู้ขนาดซีซีของเครื่องยนต์และจำนวนวาวล์  ชื่อบล็อกของเครื่องยนต์ของรถคุณ  เช่นใช้มิตซู-แลนเซอร์  บล็อก 4G63 ตัวเลขเพียงไม่กี่ตัวกลับบอกความแตกต่างของรุ่นได้มากมาย  ถ้าไม่รู้เปิดฝากระโปรงรถดูส่วนใหญ่จะมีเขียนรายละเอียดเอาไว้  บางคนเถียงว่าดุจากคู่มือรถก็รู้  แต่ก็ทราบกันดีว่าคู่มือการใช้รถนั้นน้อยนักที่จะตกมาถึงมือของเจ้าของรถมือสองมือสามอย่างเราๆ
- จุดวัดระดับน้ำมัน-น้ำยาต่างๆ คุณต้องรู้ว่าอันไหนเป็นจุดวัดระดับน้ำมันเครื่อง  น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์  น้ำมันเบรก น้ำยาแอร์  หม้อน้ำรถ  หม้อพักน้ำ  น้ำฉีดกระจก  น้ำกลั่นแบตเตอรี่  ฯลฯ  อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าจะวัดระดับตรงไหนอย่างไร   มีรุ่นน้องที่ทำงานชอบถกเถียงเรื่องรถกับผมบ่อยๆ  เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ซื้อรถมือสองมาใหม่คุยเรื่องระบบต่างๆของรถราวกับท่องมาซะยืดยาว  แต่เปิดฝากระโปรงรถให้ผมดู  ก่อนจะถามว่าที่ดูระดับน้ำมันเครื่องมันอันไหนกันแน่อันนี้อาการหนักจริงๆ  ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ 
-  ดูระดับน้ำมันเครื่องตรงไหน Max – Min
-  เติมน้ำหม้อน้ำตรงไหน  ควรเติมในหม้อพักและไม่ให้มากไปนักที่สำคัญควรเปิดน้ำที่หม้อน้ำดูด้วยว่าเต็มรึเปล่าที่สำคัญต้องไม่ทำตอนเครื่องร้อนอันตราย
-  ดูระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่  ต้องเปิดดูทุกช่องเติมไม่ต้องล้นเพียงแต่เติมให้พอดีกับพลาสติคที่เป็นลิ้นลงไปในช่องก็เพียงพอแล้ว  ห้ามอย่าเติมจนล้น
- ดูระดับน้ำฉีดกระจกด้วย  ถ้าแห้งจะทำให้ปั้มฉีดน้ำเสียหายได้  อันนี้บอกให้ลูกๆมาช่วยเติมได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
- ดูระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์เป็น  บางรุ่นไม่ต้องเปิดฝาก็รู้สามารถดูได้จากข้างกระปุกมีขีดบอกระดับ  มีคำเตือนเล็กน้อยอยู่บริเวณฝาอ่านบ้างก็ดี
- ดูระดับน้ำมันเบรก  บางครั้งไม่ต้องถึงกับเปิดฝามาดูเพราะมีขีดบอกสามารถมองเห็นจากภายนอกเช่นกัน
- ดูระดับน้ำยาแอร์  ดูจากกระปุกพักน้ำยาแอร์สังเกตกระปุกที่มีท่ออะลูมีเนียมรึทองแดงต่อเข้านั้นแหละมีเลนซ์  สังเกตถ้าน้ำยาแอร์เต็มเราจะไม่เห็นว่ามีอะไรในเลนซ์นั้นเลยแต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นในเลนซ์นั้นมีน้ำวิ่งๆเมื่อไหร่ อย่าคิดว่าน้ำยาแอร์เต็มนะครับนั้นคือน้ำยาแอร์หมดแล้วละครับ  ไปร้านแอร์ให้ตรวจเช็คเลย

2.เปลี่ยนซะให้เรียบ

 - น้ำมันเครื่องและใส้กรองน้ำมันเครื่อง  บ่อยครั้งรถจากเต็นท์นั้นเค้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้  บางครั้งพึ่งเปลี่ยนมาถือว่าเป็นโชคดีไป  แต่ถ้าให้ดีถ้าเราดึงสายวัดออกมาแล้วน้ำมันเครื่องเหนียวๆ ไม่หยดติ๋งๆ เปลี่ยนไปเถอะครับเพื่อความสบายใจ ถ้าเปลี่ยนแล้วขับรถกลับบ้านมาดึงเข็มวัดออกมาเห็นน้ำมันเครื่องทำไมขุ่นซะแล้วให้คุณดีใจไว้เลยว่าน้ำมันเครื่องนั้นดีเพราะสามารถดึงเขม่าที่จับกับชิ้นส่วนในเครื่องออกมาได้เป็นอย่างดี รวมถึงเปลี่ยนใส้กรองน้ำมันเครื่องด้วยไม่แนะนำไปใช้ใส้กรองจากปั้มเพราะสมัยนี้ใส้กรองของเทียมมีเยอะอายุการใช้งานสั้นกว่า (ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้) ใครรักรถมาแนะให้ใช้ของแท้แต่ผมชอบใช้ของเทียบเพราะมีคุณภาพพอๆกันและอาจดีกว่าด้วยซ้ำไป  ว่างๆผ่านไปแถววรจักรก็ไปซื้อซะ  ถือว่าเป็นการหัดทำความรู้จักกับร้านอะไหล่ไว้  ดูด้วยว่าต้องแถมแหวนยางโอริงมาด้วยแต่อย่าไปคิดว่าเอามาใช้กับกรองน้ำมันเครื่องล่ะ โอริงนี้ไว้ใช้กับน็อตที่เป็นก๊อกปิด-เปิดอ่างน้ำมันเครื่องของเราต่างหาก  เวลาให้ช่างใส่ดูกับเค้าด้วย ก่อนใส่แนะว่าให้เอาน้ำมันเครื่องเรานี่แหละทาขอบยางของกระปุกกรองด้วยกันยางเบี้ยวออกมาเวลาขันเข้า
- ใส้กรองอากาศ  ส่วนใส้กรองอากาศก็เป่าซะ  แนะให้เป่าเองตามปั้มเจ็ทที่มีที่เป่าอากาศตรงที่เราเติมลม  มีหลายคนขับรถมาจนแก่เป่าอากาศยังไม่เป็น  การเป่ากรองอากาศต้องเป่าจากในออกนอก  ห้ามเป่าจากข้างนอกเข้าในเด็ดขาด  ถึงแม้เป่าแล้วฝุ่นกระจายดีแต่นั้นคือการทำให้กรองอากาศของเราตันไปเลย  แต่ถ้าเก่าแล้วเปลี่ยนไปเลยซักอันได้เลยไม่ได้แพงอะไรนัก สำหรับมือใหม่ระวังจะถอดไม่เป็นให้สังเกตสลักยึดให้ดี  ดึงออกให้ครบไม่ต้องออกแรงมากนักพอประมาณเดี๋ยวพวกสายอากาศจะหลุดแล้วใส่กลับไม่ถูก
- ใส้กรองเบนซิน  สุดท้ายใส้กรองเบนซินอันนี้แนะนำให้เปลี่ยนเลยไม่กี่ตังค์  จะได้ไม่ต้องมาโอดครวญภายหลังว่ารถเร่งไม่ขึ้น  กระตุกเป็นช่วงๆ แต่อันนี้แนะนำไปให้ช่างเปลี่ยนให้  อย่าลืมถามความรู้เล็กๆน้อยๆจากช่างด้วยตามที่ผมว่ามาหากยังสงสัย  เห็นมั้ยว่านอกจากจะได้เปลี่ยนกรองเบนซินแล้วยังได้ความรู้อีกต่างหาก

 


3.ตรวจอะไรที่มันยุ่งๆที่ห้องเครื่องอีกที


 ลองตรวจดูที่สายพานไดฯ สายพานแอร์  สายหัวเทียน  หัวเทียน  ให้ช่างคนที่เปลี่ยนกรองเบนซินเราเมื่อสักครู่นั้นแหละดูให้  คิดดูว่าเปลี่ยนกรองเบนซินอันเดียวได้ประโยชน์มากมาย  หากสายพานอันไหนเก่าหมดสภาพแล้วเปลี่ยนซะมีราคาไม่ถึงร้อยถึงร้อยกว่าบาท  แต่แพงกว่านั้นไปร้านอื่นเหอะ  สายหัวเทียนเก่ารึเปล่า  หากเก่ามากๆขาดแล้วพันๆเทปมาละก็เปลี่ยนไปเลย  ให้เค้าเช็คหัวเทียนด้วยเพียงแต่เอามาล้างปรับเขี้ยวก็พอใช้ได้อีกนาน  หัวเทียนไม่ใช่ของเสียง่าย หมดอายุง่ายอายุการใช้งานราว 20,000 กม. ( 2000 กม.) หากเจอช่างที่ดี  แต่ถ้าเยินจริงๆเปลี่ยนก็ได้เพราะราคาถูกมากๆ  ตัวเราเองก่อนกลับบ้านแวะไปตามห้างซื้อน้ำอเนกประสงค์มาติดรถไว้ก็ดีไว้ฉีดพวกขั้วแบตฯ ขั้วหัวเทียน  จานจ่าย(ถ้าไม่รู้จักว่าอันไหนไปถามช่างคนเดิมอีกนั่นแหละ) เวลาเก็บอย่าเอาไปไว้ที่ร้อน เกิดตูมตามขึ้นมาไม่รู้ด้วย

4.คราวนี้มาดูที่ช่วงล่างกันบ้าง

- ถ่วงล้อ  อันนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้ามเพราะเมื่อเราใช้ความเร็วสูงขึ้นหน่อยรถกลับสั่นๆ อาจนึกไปถึงช่วงล่างอื่นๆ แต่ความจริงปัญหามันแค่เพียงถ่วงล้อเท่านั้นเอง  ผมแนะให้ไปถ่วงล้อที่เรียกว่า “ถ่วงจี้”  เพราะเท่าที่ทำมาได้ผลดีพอสมควร  ดีกว่าการถอดล้อไปถ่วงข้างนอก  สังเกตด้วยว่าบางครั้งน็อตล้อเราอาจเป็นคนละแบบทำให้การถอดล้อไปถ่วงไม่แม่นยำแต่ถ้าให้ดีก็เปลี่ยนน็อตให้มันเหมือนกันให้หมดเลยจะดีกว่า  ก่อนถ่วงบอกให้ช่างแกะหินที่ติดล้อออกให้ด้วยนี่ก็เป็นผลให้การถ่วงล้อไม่แม่นยำ  แนะให้ไปถ่วงหลังไปล้างรถจากปั้มใหม่ เพราะโคลนที่ติดล้อก็เป็นอีกปัจจัยนึงเช่นกัน  เคยแนะให้รุ่นน้องที่มีปัญหาที่ว่าไปถ่วงจี้มาหลายคนส่วนใหญ่จะบอกว่ายังกับได้รถใหม่มาแน่ะ
- ยางรถ  ดูว่าดอกยางยังเต็มๆดีหรือไม่  ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเปลี่ยนถามจากร้านยางดูก็ดีถ้าร้านที่ดีบ่อยครั้งเค้าจะบอกว่าใช้ได้อีกนานแต่ถ้าเค้าบอกว่าเปลี่ยนเถอะให้สังเกตว่าดอกยางเรายังเต็ม ยางยังไม่เสียรูป แก้มยางยังสวย  เนื้อยางยังสดอยู่หรือไม่  ไม่แนะนำให้ไปทำตามปั้มแต่ก็ตามใจหากใครอยากลองดู  การเติมลม  ควรเติมซัก 27-28 หากอยากได้ความนิ่มนวลและ 30 หากต้องการประหยัดน้ำมันได้อีกนิดหน่อยในการวิ่งแบบรถไม่ติด อย่าลืมเติมลมยางอะไหล่ด้วยแนะให้เติมเกินปกติไว้ 2 ปอนด์ (ประมาณ 32 ปอนด์) เพราะไม่ได้เติมบ่อยๆ  แนะอีกนั้นแหละให้ไปเติมที่ปั้มเจ็ทเพราะเครื่องวัดแบบดิจิตัลค่อนข้างแม่นยำกว่าร้านยางซะอีกและอย่าลืมอุดหนุนเค้าบ้างก็ดี
- เช็คช่วงล่าง  ไปอู่ที่รับทำช่วงล่างให้เค้ายกรถตรวจพวก  ยางหุ้มแร็คช่วงล่างอื่นๆ  เพราะบางครั้งเปื่อยๆแล้วเปลี่ยนไปเลยราคาไม่ถึง 300-400 บาท  ถ้าขาดขึ้นมาแต่เราไม่รู้จะลำบาก  ทั้งทรายทั้งโคลนหลุดเข้าไปละก็เสียมากกว่านี้อีกมาก ให้ช่างตรวจลูกหมาก-คันชัก-คันส่ง-ปีกนก โยกๆแล้วหลวมๆหรือไม่แต่พวกนี้ถ้าไม่หลวมมากเอาไว้ตอนได้โบนัสออกหรือกู้สหกรณ์ได้ก่อนค่อยมาเปลี่ยนก็ได้  หากยังพอใช้ได้


5.มาดูภายในรถกันบ้าง 

- หากรถมีกลิ่น  แนะนำว่าให้เราจอดรถตากแดดหมุนกระจกลงมาเล็กน้อยทำซ้ำๆหลายวันช่วยได้บ้าง  หาน้ำหอมมาใส่รถบ้างบางทีไม่เหม็นโดนเหงื่อเราไปซักพักจนกลิ่นติดเบาะ สงสารคนมานั่งรถเราบ้าง  แนะนำอย่าสูบบุหรี่ในรถเพราะเขม่าจากบุหรี่กับกำมะหยี่ทั้งหลายในรถเรารักกันมากทั้งสีทั้งกลิ่น
- ยางรองพื้น  บางทีเต็นท์ให้มาเฉพาะยางแผ่นเล็กทำให้ทรายกระจายฝังในพรม  แนะให้ใช้ยางที่เป็นรูปแอ่งๆ ไม่สวยนักแต่สะอาดอย่าบอกใครไม่มีทรายกระเด็นออกด้วยหรือถ้ากำลังทรัพย์มีก็เอาแบบที่มีขายตามห้างที่มีเฉพาะรุ่นก็ได้
- น้ำยาต่างๆ  หาซื้อน้ำยาต่างๆเช่นแชมพูล้างรถ  ยาขัดเบาะ  ยาขัดสีรถ  หัดทำเองบ้างจะได้รู้จุดอ่อนของตัวถัง-สีรถเราเอง
- เสียงดังหน้าคอนโซล  อันนี้สืบเนื่องาจากรถใช้มาหลายปีเกิดจากการเคยถูกถอดคอนโซลเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง  แต่การหาจุดนี่ยากที่สุดพวกนี้ต้องค่อยๆหาแล้วหาซื้อตัวยึดพลาสติคตามวรจักรมาใส่แทนได้หากของเก่าแตกหรือหลวมรึไม่มีเลย


6.สังเกตกันบ้าง

- ซื้อรถมาวันแรกผมแนะนำให้ล้างเลยไปให้โดนน้ำฉีดแรงๆ ตามคาร์แคร์ ถึงแม้เต็นท์จะขัดสีรถมาสวยงามสักปานใด  เพราะรถหลายคันพึ่งไปสาดสีมาทั้งคัน  การประกอบขอบยางกันน้ำซีลซิลิโคนประตูและกระจกหน้า-หลังต่างๆ  อาจทำมาไม่ดีพอเพราะทำเองในอู่สีไม่ได้ทำที่ร้านกระจกที่ชำนาญกว่าบ่อยครั้งที่น้ำไหลเข้ารถเป็นถังๆ เวลาฝนตกจะได้รีบซ่อมเองหรือให้เต็นท์ทำให้หากตกลงกันไว้แล้ว
- แอร์  หากได้ยินเสียงแต็กๆ ดังติดๆกันขณะเปิดแอร์ทำให้รอบเครื่องเราขึ้นๆลงๆ ให้ช่างเช็คดูช่างที่เก่งๆ จะยังไม่วิ่งไปดูที่คอมแอร์  แต่จะตรวจที่ตัวปรับระดับความเย็นที่ภาษาช่างแอร์เรียกรางเลื่อน (Slice volume) เพราะรถเก่าแล้วพวกนี้จะสึกรึหมดอายุเปลี่ยนซะราคา 300-400 บางทีไม่ถึงกับต้องไปยุ่งกับคลัชแอร์หรอกครับ  ร้านทำแอร์ผมชอบร้านที่แท็กซี่เค้าชอบไปทำกันเพราะราคาไม่แพงคุยกันได้ แต่ไม่ใช่ร้านที่แท็กซี่ไม่เข้าไม่ดีนะครับ  อย่างผมใช้ทั้งสองร้านเพราะที่เจอความชำนาญร้านอาแปะของผมเนี่ยเก่งเข้าขั้นเลยทีเดียวแต่ราคาเอาเรื่องเหมือนกันเวลาเข้าซ่อมถามไว้เลยว่าเท่าไหร่  ต่อไปเถอะลดได้นิดหน่อยดีกว่าไม่ลดเลย  ซ่อมบ่อยๆ ชำนาญขึ้นเดี๋ยวก็รู้ราคาไปเอง
- ตรวจดูหลอดไฟรถ ไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟหรี่  ไฟท้าย-ไฟเบรก ไฟกระพริบซ้ายขวา ไฟถอย  ไฟทะเบียน ติดครบหรือไม่จัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์หากมีอะไรนอกเหนือจากนี้ต้องเช็คต้องเปลี่ยนคงต้องอาศัยการเอาใจใส่  และความช่างสังเกตจากตัวคุณเอง  ย้ำต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่แค่เพียงช่วงแรกๆเท่านั้น  หมั่นหาความรู้เสมอๆควรให้คนในครอบครัวมีส่วนร่วมด้วย  สร้างความสัมพันธ์กันโดยมีรถเป็นสื่อนี่ก็ถือว่ารถไม่ใช่แค่เพียงเป็นพาหนะอย่างเดียวใช่มั้ยละครับ

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

การขายรถเองด้วยวิธีที่ถูกต้อง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

การขายรถเองด้วยวิธีที่ถูกต้อง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
การขายรถเองด้วยวิธีที่ถูกต้อง #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

        สวัสดีครับวันนี้ ASNBroker นำเคสและวิธีตัวอย่างในการขายรถเองให้ได้ชัวร์ๆและไม่ขาดทุนมาฝากกันครับ เมื่อผมตั้งใจจะขายรถคันเดิม  ผมได้บอกขายกับคนแถวบ้าน  ( ทั้งชายและหญิง )  และเพื่อน ๆ หลายคน  แต่ความผิดพลาดที่ไม่น่าปล่อยให้เกิดขึ้นคือ  ในที่สุดผมกลับเลือกขายรถให้เต็นท์รถแทนที่จะขายให้กับผู้ซื้อโดยตรง  และเนื่องจากทางเต็นท์ต้องขายรถต่อให้คนอื่นอีก  ดังนั้นผมจึงถูกกดราคาต่ำมากจึงเป็นเรื่องที่ผมต้องเน้นกับคุณว่า  ถ้าคุณไม่ต้องการขาดทุนจากการขายรถ  ควรตัดคนกลางออกและใส่เงินจำนวนมากเข้ากระเป๋าตัวเอง  ตามคู่มือในบทนี้

เงินที่มากขึ้นจากการขายรถด้วยตัวเอง
ถ้ารถของคุณมีราคาขายอยู่ที่  225,000 บาท  โอกาสที่คุณจะช่วยให้พ่อค้าคนกลางได้คือ  170,000  บาท  แต่ถ้าคุณใช้ความอดทนและความพยายามมากขึ้น  คุณจะสามารรถขายรถได้ในราคา  225,000  บาท  หรือมากกว่านั้น  หากขายให้ผู้ซื้อโดยตรง

การขายรถตัวเองเริ่มจาก
 ความประทับใจแรก ! ก่อนลงโฆษณา  คุณควรดูแลรถให้อย่ในสภาพดีสูงสุด  ทำความสะอาดและขัดเงาให้ดีจัดซื้อส่วนที่ขาดหายหรือแตกหักมาเปลี่ยน  วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถโชว์รถในสภาพดีที่สุด  ถ้าคุณไม่รู้ว่าควรแก้ไขอย่างไร ?  ควรสอบถามผู้รู้หรือขอคำแนะนำจากร้านค้าที่ไว้ใจได้เพื่อซ่อมหรือเปลี่ยนส่วนต่าง ๆ ที่ชำรุด  ก่อนที่จะมีคนมาขอดูรถ

การดูแลส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์
1.หากพบว่ามีน้ำมันหล่อลื่นรั่วให้ซ่อมแซมเสีย
2.นำรถไปยังอู่เครื่องยนต์

ทำความสะอาดภายนอก
1.แก้ไขรอยบุบและรอยแตก
2.ตั้งศูนย์ล้อให้ได้ระดับ
3.ทำความสะอาดภายใน
4.ตรวจดูกระโปร่งหลัง
5.การตกแต่งยางจะทำให้รถเกิดความแตกต่างอย่างมาก
6.การแก้ไขเพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อยขึ้นทั้งหมดนี้จะใช้เวลาเพียงแค่  2-3  ชั่วโมง

ตกแต่งรอยขูดขีด
1.ทำความสะอาดก่อนแว็กซ์
2.ร้านขายอุปกรณ์เครื่องยนต์จะสามารถทาสีใหม่
3.ใช้การตกแต่งสีที่ประหยัดที่สุด
4.หารอยขูดขีด  รอยบุบสลายทั้งหมดเพื่อแก้ไข

แว็กซ์ภายนอก
1.พยายามแว็กซ์ให้ดีที่สุด
2.ขัดจนเป็นเงา

ทำความสะอาดภายใน
1.ใช้เครื่องดูดฝุ่นใต้ที่นั่ง
2.ล้างพรม  ทำความสะอาดบริเวณพื้น
3.ใช้แปรงสีฟันขจัดสิ่งสกปรกจากรอยกระเทาะและรอยแตกบนแผงปัด  ประตู
4.ทำความสะอาดที่เขี่ยบุหรี่  และช่องเก็บของ
5.ใช้ผ้าชาร์มัวร์และยาขัดเงาขัดภายใน
6.ทำความสะอาดกระจกด้วยหนังสือพิมพ์  ระวังอย่าให้เป็นรอย
7.ถูเพดาน
8.ทำความสะอาดตัวถัง
9.หาข้อตำหนิ  รอยฉีกขาด  รอยขูด  หรือแตก  และแก้ไขให้เรียบร้อย

แก้ไขส่วนที่ต้องใช้งาน
1.เครื่องปรับอากาศ
2.สายอากาศ
3.ไฟเบรก
4.นาฬิกา
5.ไฟแผงหน้าปัด/เกจ
6.ประตู/ที่จับประตู
7.ไฟฉุกเฉิน
8.ไฟหน้า
9.แตร
10.ไฟ  (  รวมทั้งช่องเก็บของและป้ายทะเบียน )
11.ล็อก
11.กระจก
12.วิทยุ
13.ยางสำรอง
14.พวงมาลัย
15.ไฟท้าย
16.สัญญาณเลี้ยว
17.ที่ปัดกระจก
18.ของไหลทำความสะอาดกระจก

ตรวจสอบส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์
1.แก้ไขส่วนที่สึกหรอ
2.เช็กท่อน้ำ
3.เช็กสายพาน
4.เช็กของไหลในอ่างเก็บของไหล
5.เปลี่ยนไส้กรองอากาศ

ตรวจและเปลี่ยนของไหล
1.ตรวจน้ำมันหล่อลื่นและไส้กรอง
2.ตรวจของไหลเกียร์อัตโนมัติ
3.เปลี่ยนคูแล็นท์

อย่าลืม
1.แก้ไขหากมีเสียงผิดปกติเกิดขึ้น
2.เติมน้ำมันหล่อลื่น  ประตู  ฝากระโปรงรถ  และบานพับตัวถัง

คุณมีเอกสารเรียบร้อยหรือไม่ ?
1.คู่มือรถ
2.บันทึกการบริการ
3.เอกสารประกัน

การซ่อม
ถ้าคุณไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมใหญ่  ควรตอบคำถามผู้ซื้อตามตรงในส่วนที่สึกหรอ  เพราะส่วนใหญ่ผู้ซื้อมักมีช่างเครื่องมาตรวจสอบด้วย

การโฆษณา
ขั้นแรก   ราคาที่ถูก
1.ราคาที่คุณต้องการควรเป็นราคาที่ยังไม่ได้บวกดอกเบี้ยจากการกู้ยืม
2.ควรเผื่อราคา  10-15  เปอเซ็นต์สำหรับการต่อรองได้
3.ผู้ซื้อรถใช้แล้วมักคาดหวังว่า  จะสามารถเจรจาต่อรองได้
4.ผู้ซื้อรถใช้แล้วจำนวนมากคุ้นเคยกับราคาตามหนังสือรถ

แหล่งโฆษณา
1.หนังสือพิมพ์
2.หนังสือรถ
3.นิตยสารซื้อขาย
4.เขียนป้ายชื่อ  และเบอร์โทรศัพท์ติดไว้ที่รถ
 

สิ่งที่คุณควรบอกในโฆษณา
1.แบบ /  รุ่น
2.ปี
3.กิโลเมตรทที่ใช้  (  ถ้าไม่มากนัก )
4.ลักษณะสำคัญ – ความแข็งแรง  สี  และรายละเอียด  ที่น่าสนใจ
5.ราคา  (  บวกเพิ่ม  10-15  เปอร์เซ็นท์ของราคาที่คุณต้องการ )
6.เบอร์โทรศัพท์  และเวลาที่สามารถติดต่อคุณได้

แนวทาง
1.ดูหนังสือเพื่อเป็นตัวอย่าง
2.ศึกษาหาข้อแตกต่างของรถ  เพื่อดึงดูดความสนใจคนซื้อ
3.คนที่น่าสนใจย่อมติดต่อหาคุณตามเบอร์โทรศัพท์ที่ลงไว้ในโฆษณาเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
4.ตอบทั้งหมดด้วยความซื่อสัตย์
5.แนะนำผู้ซื้อถึงทางที่จะมายังบ้านคุณ  หรือสถานที่นัดโดยละเอียด  และนัดเวลาที่แน่นอน

โชว์รถของคุณ
1.อย่าร้อนใจถ้าไม่มีคนมาขอดูรถคุณทันที  ให้อดทนรอ
2.หาสถานที่นัด  ซึ่งคุณจะพบผู้ซื้อได้สะดวก
3.พาเพื่อนไปด้วย
4.คุณทั้งคู่ย่อมจำเป็นต้องขับรถทดสอบก่อนแน่นอน
5.บอกถึงลักษณะพิเศษ
6.สร้างความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับรถของคุณ  เช่น  “ เป็นรถที่ดีคันหนึ่งเลยนะค่ะ  สะดวกสบาย  ฉันรักและวางใจมันมาก “
7.พวกเขาย่อมมีช่างเครื่องมาตรวจเช็กด้วย

การเจรจาต่อรองอย่างง่าย ๆ

หลังจากได้ทดลองขับแล้ว  ถ้าผู้ซื้อสนใจพวกเขาจะเริ่มยอมรับ  หรือต่อรองราคาที่คุณสามารถลดให้ได้   ถ้าผู้ซื้อชอบ  คุณสามารถลดราคาลงได้เล็กน้อย โดยไม่ต้องเป็นราคาขาดตัวที่คุณกำหนดไว้    ถ้าผู้ซื้อถามคุณถึงราคาต่ำที่สุดที่คุณสามารถลดได้บอกราคากลับไป  ถ้าได้ราคาที่พอใจก็ไม่มีเหตุผลที่คุณต้องขับรถกลับบ้านเสียเที่ยว

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

ป้องกันตัวเอง
1.ถ้าพวกเขาไม่มีเงินสดจ่าย  ให้ขอเงินมัดจำ  10-30  เปอร์เซ็นต์  โดยคุณต้องการมีสัญญาหรือใบเสร็จให้เขาซึ่งเมื่อถึงเวลาชำระเงินหากเขาผิดนัดคุณสามารถยึดเงินก้อนนั้นได้
2.ระวังอย่าให้เกิดอุบัติเหตุจนกระทั่งส่งมอบรถ
3.เขียนใบรับเงิน  ลงชื่อทั้งคุณและผู้ซื้อ
4.อย่าให้ใบเสร็จแก่ผู้ซื้อจนกระทั่งได้เงินครบ

ใบเสร็จ /  ใบสัญญาประกอบด้วย
1.ชื่อ  ที่อยู่ของผู้ขายและผู้ซื้อ
2.ประวัติรถ  แบบ  รุ่น  ปี  และอื่น ๆ
3.ทะเบียนรถ
4.ราคาซื้อขาย
5.วันที่
6.สภาพในขณะที่ขาย
7.ลายเซ็นทั้งคู่
8.ก๊อบปี้ให้ผู้ซื้อ  และคุณเก็บต้นฉบับไว้

ทั้งหมดนี้คงเป็นแนวทางเพียงพอที่จะทำให้คุณเป็นคนที่ฉลาดกับรถได้ไม่ยาก  และหวังใจอย่างยิ่งว่านอกจากคุณจะเป็นคนหนึ่งที่ฉลาดกับรถแล้ว  คุณยังเป็นคนที่ฉลาดกับการรักษามลภาวะรอบตัวคุณด้วยขอบคุณครับ

ที่มา : http://www.asnbroker.co.th