วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กลยุทธพิชิตเซลล์...ทำอย่างไรจะไม่เสียรู้ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



กลยุทธพิชิตเซลล์...ทำอย่างไรจะไม่เสียรู้  : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์   

ลูกค้าคือพระเจ้า” เป็นประโยคที่พ่อค้าแม่ขายทั้งหลายที่ต้องวนเวียนอยู่ในวงการค้าขายนั้น
ท่องไว้ในการทำงานทุกครั้งที่ต้องเสแสร้งเพื่อให้ได้มาซึ่งงาน ที่จำเป็นต้องตอบสนองลูกค้าและบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่
ความจริงแล้วจะว่าไปอาชีพเซลล์เป็นอาชีพที่น่าสงสารและตรากตรำ เพราะการที่ต้องทำเงินเข้าบริษัททำให้ชาย-หญิงเหล่านี้
ถูกกดันในฐานะลูกจ้างที่ต้องขายสินค้าให้ได้ที่สุดและถ้าจะให้ดีต้องทะลุเป้าที่ทางบริษัทกำหนดเอาไว้ใช้
เช่นเดียวกับยอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่องตลอดทุกเดือน จนกว่าจะเลืกทำอาชีพนี้
แน่นอนสภาวะที่กดดันของเซลล์เหล่านี้ส่งผลถึงการทำงานที่นั่นจะกระทบต่อพวกเรากลุ่มผู้บริโภคที่อยากจะมีโอกาสบอกความต้องการ มากกว่าจะรับสิ่งที่บริษัทผู้ผลิตต้องการยัดใส่มือเสียเงินกลับบ้าน รอรับรถ รอเสียเงินเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากวันนี้ใครกำลังมองหารถยนต์คันใหม่ป้ายแดงเรามีวิธีพิชิตเซลล์มาฝากกัน
1.ต้องทำการบ้าน การบ้านที่เราพูดถึงนี้ไม่ใช่เรื่องอย่างว่า..แต่หมายถึงข้อมูล ข่าวสาร ราคา ทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้ในการเปรียบเทียบ เพื่อจะต้องซื้อถยนต์ที่คุณชอบ ซึ่งด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันของโลกไซเบอร์ ทำให้คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเปลืองเงิน ซื้อนิตยสารรถยนต์ เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสก็รับรู้ข้อมูลข่าวสารได้
สาเหตุสำคัญที่เราจำเป็นต้องรู้ข้อมูลก่อนเข้าไปเลือกซื้อรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งนั้น ก็มาจากคำพูดของเซลล์นั่นแหละที่
หากคุณไม่รู้ก็จะถูกเชียร์จนเริ่มรู้สึกอยากได้ในทันทีทันใด แบบว่า มันเจ๋งมากๆ แต่ถ้าคุณได้รู้มาก่อนหน้าและรับรู้ถึงสิ่งที่คุณจะได้เมื่อซื้อรถรุ่นดังกล่าว
เมื่อเซลล์กล่าวอะไรมาก็มักจะไม่ค่อยรู้สึกอะไร..มากมายนัก
2.อย่าไปเดินดูรถคนเดียว อันนี้เป็นคำแนะนำที่สำคัญมากๆ...ข้อย้ำ ว่าหากจะไปดูรถอย่าไปคนเดียว
มีคนจำนวนที่มักชอบไปดูรถคนเดียวโดยเพียงแค่คิดว่าไม่เป็นไรหรอก แต่หลังจากเข้าโชว์รูมไปแล้วดูไปๆมาๆ
เจอคำเชียร์ของเซลล์ เผลออีกทีก็เคลิ้มจ่ายตังค์รับใบจองกลับบ้าน กว่าจะมารู้สึกตัวอีกทีหลังจากคลายมนต์สะกดก็หลงผิดไปไกลแล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เราอยากจะขอเตือนไว้ให้ทราบโดยทั่วกัน เพราะแม้จะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เรื่องนี้ก็เป็นจริงมากกว่าร้อยละ 80
โดยเฉพาะคุณผุ้ชายที่หวังจะแอบไปดูรถเล่นๆตามภาษาคนชอบรถไปๆมาๆ กลายเป็นหลงรูปร่างหน้าตา เซลล์กลายเป็นจะซื้อรถเพราะเซลล์สวยก็มีถมไป
จงจำไว้ว่ารถยนต์นั้นเป็นของชิ้นใหญ่ เป็นสินค้าที่จะอยู่คู่กายเราไปอีกหลายปี มันไม่ใช่สิ่งของอะไรราคาบาทสองบาทที่เราจะทำเป็นเล่น
การฟังความคิดเห็นจากเพื่อน คนรัก หรือพ่อ-แม่ น่าจะเป็นเรื่องที่ดี และการพาเขาไปช่วยดู แม้เขาอาจจะไม่ชอบรถรุ่นที่เรากำลังจะเลือก
แต่อย่างน้อย บางครั้ง ก็ทำให้เราคิดถึงข้อแตกต่างที่เราอาจจะไม่คิดมาก่อนหน้านี้ก็ได้
3.อย่าด่วนตัดสินใจ..เข้าหลายๆโชว์รูม เซลล์มักเรียกลูกค้าแบบที่เรากำลังอยากให้คุณทำนี้ว่า “นักช๊อป” ซึ่งความจริงแล้วสิ่งที่เซลล์มักไม่ชอบก็มีเหตุผลง่ายๆเพียงว่าไม่สามารถควบคุมลูกค้าได้และต้องแข่งขันกับรายอื่นๆ ซึ่งมันทำให้งานง่ายๆกลายเป็นเรื่องยากในทันใด
การที่เราเกินเข้าออกหลายๆโชว์รูมนั้น ทำให้เราจะได้เห็นมาตรฐานทางด้านราคา และของสมนาคุณที่จะได้รับเมื่อถอยรถออกมา
ซึ่งบางครั้งจะมีบางอย่างไม่เหมือนกัน พยายามดูแล้วเลือกโชว์รูมที่ดีให้ของที่คุ้มค่าและเหมาะสมตามสภาพใช้งานของคุณมากที่สุด
ที่สำคัญพยายามตรวจสอบถึงเงื่อนไขให้ดี โดยเฉพาะของแถมที่แม้เพียงต่างยี่ห้อก็หมายถึงคุณภาพที่ด้วยลงไป
4.อย่าให้เซลล์จับคุณเซ็นใบจองได้ จำไว้เสมอว่า...เกมจบทันที ที่คุณเซ็นใบจอง แม้ปัจจุบันจะมีข้อตกลงสามารถยกเลิกใบจองได้
โดยเป็นเหตุของลูกค้า แต่ความจริงแล้วการที่เราจองสินค้านั้นเป็นเหมือนการทำข้อสัญญาผูกมัดตัวเองไปแล้วครึ่งหนึ่งว่าเราคงจะซื้อรถยนต์รุ่นนั้น
พร้อมข้อตกลงในการเสนอขายตามที่ได้ตกลงกันเบื้องต้นกันก่อนหน้า ทำให้เราไม่มีโอกาสสำรวจที่อื่นหรือตัดสินใจต่อไป เหมือนกับสร้างกรอบให้ตัวเอง
แม้บางครั้งสำหรับบางยี่ห้อรถยนต์ที่ใบจองคือออเดอร์สั่งผลิตของให้กับโรงงานแต่จำไว้ว่า ยิ่งเซลล์จับคุณจองได้เมื่อไร คุณก็จะถูกตีกรอบมากขึ้น
ไม่ว่าจะเรื่องวันออกรถ หรือสี เหมือนกับเราก้าวขาไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น จงจำไว้ว่า ไม่ว่าเซลล์จะพูดมากมายเพียงใด หากยังไม่โอเคตกลงปลงใจ
อย่าเสียเงินเซ็นใบจองโดยเด็ดขาด
5.ก็บรายละเอียดข้อตกลงและเปรียบเทียบหลังออกรถ เมื่อเป็นอันว่าคุณตกลงปลงใจจะออกรถกับเซลล์คนที่คุยแล้ว
เมื่อจะออกรถในวันแรกให้ตรวจสอบรายละเอียดการออกรถยนต์ให้เป็นไปตามข้อตกลง โดยเฉพาะเรื่องของแถม หากมีอะไรไม่ถูกต้อง
ให้รีบแจ้งกับเซลล์หรือผู้จัดการที่จะยืนยิ้มส่งรถกับลูกค้าเป็นประจำทันที และต้องทำก่อนเซ็นใบรับรองการส่งมอบออกจากโชว์รูม
อย่าไปกังวลเรื่องฤกษ์ยาม เพราะวันหน้ายังมีหากเซลล์แก้ไขไม่ได้ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง อย่ารับของมาก่อน
เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของคุณที่เซลล์จะบริการให้เต็มที่ และหทันทีที่คุณรับรถออกมา เซลล์ก็จะบริการธรรมดาไม่ได้พิเศษอะไรไปกว่าคนที่เคยทำธุรกิจด้วยกัน
ด้วยกฏ 5 ข้อ ที่เราแนะนำให้ท่านปฏิบัตินี้ แม้จะไม่ได้ช่วยให้ซื้อรถคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น แต่ก็ช่วยให้ท่านไม่ตกเป็นทาสของลมปากคำสัญญา
ของเหล่าเซลล์ขายรถที่ต้องการเพียงยอดขาย โดยเฉพาะกลุ่มแบรนด์รถตลาด ที่แค่บอกของแถมแล้ว เอาใจ ก่อนจับเซ็นใบจอง ปิดจ๊อบในฉับพลัน
การที่คุณเตรียมตัวไปเจอกับเซลล์นั้น ถือว่าเป็นเรื่องดีกว่าที่เดินไปเป็นเหยื่ออันโอชะของเสือหิวที่ต้องการเพียงตัวเลขยอดจำหน่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชอบแอบเซอร์ไพรส์ ไม่อยากบอกเลยว่า เสร็จเซลล์ถือใบจองออกมาจากโชว์รูมแทบจะทุกราย
 
 
ภาพจาก Getty image
 
Sanook auto comment
 
เซลล์ขายรถยนต์นับว่าเป็นบุคคลในวงการรถยนต์ที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคอย่างมากและเขาเหล่านี้มีหน้าที่ในการให้คำแนะนำรวม
ถึงช่วยคุณออกรถยนต์ที่คุณกำลังสนใจอยากจับจองมากเป็นเจ้าของอยู่
ทั้งนี้ด้วยความที่เซลล์ขายรถยนต์เป็นอาชีพที่ต้องการอิงความต้องการของลูกค้าเช่นเดียวกับการทำยอดขายให้ถึงเป้าตามที่บริษัทกำหนด และด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันเซลล์ขายรถยนต์หลายๆค่าย เป็นอาชีพที่ไม่มีเงินเดือนประจำเป็นฐาน หากแต่อาศัยเอาจากการทำยอดขายในเดือนนั้นๆ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม เซลล์ถึงอยากจับเราเซ็นใบจองรถยนต์แล้วปิดเคสเร็วๆ

ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์






 

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ท่านั่งขับรถ..นั่งผิดแบบ อาจเกิดอันตราย : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



ท่านั่งขับรถ..นั่งผิดแบบ อาจเกิดอันตราย  : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์ 


ท่านั่งที่ถูกในการขับรถ เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเราไม่สามารถที่จะคาดเดาไว้ถึงความอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้

 
ท่านั่งขับรถ..นั่งผิดแบบ อาจเกิดอันตราย
1. เอนนอนขับแบบนักแข่งสบายที่สุด
จริงๆ แล้ว นั่งขับแบบไม่ต้องชะเง้อ ไม่เมื่อยและไม่อันตราย ท่าขับแบบนักแข่งตัวจริงต่างกับการปรับเบาะเอนนอนขับมาก 
การนั่งท่านี้จะรู้สึกว่าจะหลุดจากเบาะนั่งทุกครั้งที่ เบรกแรงๆ แขนที่เหยียดตึงตลอดเวลา นอกจากจะทำให้เมื่อยล้า ยังต้องยกตัวขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลี้ยว 
เพราะไม่มีแรงหมุนพวงมาลัย และมองทางข้างหน้าไม่เห็น เช่นเดียวกับเวลาถอยหลังจอด สายเข็มขัดนิรภัยที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าการนั่งขับแบบปกติ
อาจจะรั้งคอแทนที่จะเป็นไหลเมื่อเกิดอุบัติเหตุท่านั่งที่ถูกต้อง ควรเอาหลังพิงพนักจนสนิท แล้วเหยียดแขนข้างใดข้างหนึ่ง ไปวางบนส่วนบนสุด 
ของพวงมาลัย แล้วตรงกับข้อมือ ขาต้องสามารถเหยียบแป้นคลัทช์จนจมโดยไม่ต้องเหยียดข้อเท้าแบบสุดแบบนักบัลเล่ต์ 
ส่วนใต้ของขาอ่อนดันกับเบาะนั่งส่วนหน้าจนรูสึกว่าน้ำหนักตัวที่ลงตรงสะโพกพอดี และยังสัมผัสกับพนักพิง


2. นั่งชิดพวงมาลัยเพื่อให้มองเห็นหน้ารถ
เป็นท่านั่ง ที่อันตราย เพราะตัวอาจกระแทกกับพวงมาลัยบาดเจ็บ ผู้ที่นั่งใกล้พวงมาลัยเกินไปมักเป็นผู้ที่ไม่คอยให้ความสนใจกับรถนัก 
และได้รับการสอนท่านั่งมาแบบผิดๆ ลำตัวที่อยู่ชิดกับพวงมาลัย นอกจากจะทำให้หมุนพวงมาลัยไม่ถนัดเพราะแขนงอมากเกินไป 
ยังเพิ่มความเสี่ยง ให้แก่ตัวผู้ขับที่อาจจะบาดเจ็บจากการที่ลำตัวกระแทกกับพวงมาลัย และแรงระเบิดจากถุงลมนิรภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ

ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์





 

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เตรียมรถ เที่ยวป่าไปกับรถ OFFROAD : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



เตรียมรถ เที่ยวป่าไปกับรถ OFFROAD  : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์  

   ไปให้ถึง กลับให้ได้ อาจจะแปลกไปจากเดิมสักหน่อย เพราะเรานำนักเดินทางที่ร่วมออกทริปในแต่ละครั้งมาเป็นผู้ดำเนินเรื่องแทน
เพิ่มอรรถรสในการอ่าน ใช้อารมณ์ ความรู้สึกในการเที่ยวป่าของเขามาบอกเล่าเป็นเรื่องราว ผสมกับ TRICK เล็กๆ น้อยๆ ที่ไปสอบถาม
จากผู้รู้ที่ช่ำชองเกี่ยวกับเรื่องการขับรถเข้าป่า เป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ แลกเปลี่ยนกัน เพราะในเรื่องเทคนิคการขับรถเข้าป่านั้น ไม่ตายตัว
แม้พื้นฐานจะเหมือนๆ กัน เรียกว่าเทคนิคใคร เทคนิคมัน...

ขอเริ่มที่เส้นทางภูพญาฝ่อ ซึ่งได้มีโอกาสเดินทางไปกับชมรมโคราชออฟโรดทีมมาสดๆ ร้อนๆ เราจึงจับ ธวัธชัย ธาราเย็น รองประธานที่ปรึกษาฯ
นักธุรกิจเมืองกรุงที่ไปหลงเสน่ห์ป่า ที่แต่งรถแบบเต็มๆ ส่วนอีกคันเป็นรถของ โสภณ ฤทธิ์สำอางค์ สมาชิกที่มี โอกาสเดินทางร่วมกับโคราชออฟโรด
ทีมเป็นครั้งแรก แต่งสไตล์คล้ายกัน แต่ออปชั่นน้อยกว่า เนื่องจากคันนี้นอกจาก เที่ยวป่าแล้วยังใช้ใน ชีวิตประจำวันอีกด้วย
การตกแต่งรถเพื่อเข้าป่า

     รถของ ธวัธชัย ธาราเย็น ใช้รถ TOYOTA SHEF เครื่องยนต์เป็น 1KZ-TE 3,000 ซี.ซี.เลาะช่วงล่างเดิมทิ้ง หันมาคบกับช่วงล่าง
ใหม่ของ TOYOTA LAND CRUISER PRADO โดยมี DIFF LOCKER หน้า-หลัง มาให้พร้อม เปลี่ยนโช้คอัพเป็นของ PROCOMP MX6
ใช้กันสะบัดของ PROCOMP และ ARB ในขณะที่กันชนหน้า-หลัง เป็นของ ARB ทั้งเซ็ต ส่วนไซด์เรล ของ ช่างดอน สูงเนิน
นอกจากนี้ด้านหน้ายังใช้วินช์เพลา หรือ PTO ส่วนด้านหลังใส่วินช์ WARN 9,500 ปอนด์ และใส่ยาง 35 นิ้ว ของ SIMEX JUNGLE TREKKER
ทดเฟืองท้ายเป็นขนาด 8:39 และใส่สนอร์เกิ้ลของ ZAFARI
 ส่วน รถของ โสภณ ฤทธ์สำอางค์ เป็น TOYOTA HILUX TIGER SPORT CRUISER เครื่อง D-4D ความจุ 3.0 ลิตร เกียร์ออโตเมติก
ช่วงล่างปีกนกใช้ชุดของ THE SUN ยกสูงขึ้น 4 นิ้ว เปลี่ยนโช้คอัพเป็น RANCHO RS 9000 ปรับได้ 9 ระดับ ส่วนแหนบด้านหลังใช้ WESTCOAST
ใส่ยาง SIMEX JUNGLE TREKKER ขนาด 35 นิ้ว กระทะล้อ 15 นิ้ว เฟืองท้าย 11.41 หากไม่เข้าป่าเจ้าของก็จะเปลี่ยนเป็นยาง MUD TERRAIN
ของ BFGoorich ขนาด 35 นิ้ว อุปกรณ์ช่วยต่างๆ ก็มี กันชน หน้า-หลัง สร้างเอง ด้านหน้ามีวินช์ไฟฟ้าของ COMP UP 9500i รวมทั้งต่อท่อหายใจหรือสนอร์เกิ้ลเพิ่ม
แล้วจะขับอย่างไร ไปถึงกลับได้ คนปลอดภัย รถไม่เสียหายล่ะ...

     ไฮไลต์ของภูพญาฝ่อเส้นนี้อยู่ที่การขับขึ้นเนิน-ลงเนิน ถ้าขับแบบประมาท โอกาสเกิดอุบัติเหตุมีสูง เพราะมีเหวอยู่ข้างๆ เกือบตลอดทาง
พื้นผิวทางก็ลื่น เนินมีความชื้นสัมพัทธ์สูง การควบคุมรถจะลำบาก จากการได้พูดคุยกับ ธวัธชัย ธาราเย็น และ โสภณ ฤทธิ์สำอางค์ แล้วนำ
มาประมวลกับบรรดากูรูหลายๆ ท่าน พอจะขมวดเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการขับในเส้นทางออฟโรดประเภทเนินนี้ได้ว่า

     "การขับรถเข้าป่านั้น นอกจากรถจะมีส่วนสำคัญแล้ว รถที่จะเข้าไปเที่ยวป่าควรมีการตกแต่งระดับหนึ่ง โดยเฉพาะระบบช่วงล่าง ถ้ามี อุปกรณ์เสริม
เช่น ยาง วินช์ หรือ AIR LOCKER DIFF LOCK เป็นต้น จะช่วยได้เยอะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากรถดี ผู้ขับขี่ขาดทักษะก็เปล่าประโยชน์ รถและคนต้องพร้อมควบคู่กันไป

     อย่างการขับขึ้น-ลงเนิน เราควรปรับเบาะให้ตั้งตรงกว่าปกติ เพิ่มทัศนวิสัยการมองให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นเนินนั้น เราจะเห็นก็
แต่ท้องฟ้าและก้อนเมฆ ตามพื้นฐานการขับขี่ที่ถูกต้อง ควรใช้ WALKING SPEED ของเกียร์ 4L ใช้แรงบิดในการไต่ขึ้น และจะ กลาย
เป็น ENGINE BRAKE ในทางขาลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นผิว (เปียก-แห้ง ) องศา (ชันมาก-น้อย) และระยะทาง (ยาว- สั้น) ของเนิน และ
เราต้องรู้ถึงกำลังเครื่องของรถว่าพอหรือไม่ ควบคุมคันเร่งให้พอที่จะไต่ขึ้นถึงยอดเนิน" โสภณ ฤทธิ์สำอางค์ กล่าว ธวัชชัย ธาราเย็น กล่าวเสริมว่า
"อย่างเนินชันยาวของทริปนี้ การใช้ WALKING SPEED อาจไม่พอที่จะทำให้รถขึ้นได้ ผมก็เลยควร เปลี่ยนมาใช้เป็น เกียร์ 2 ที่ 4L
และเร่งส่งตั้งแต่ตีนเนินไป การเลือกใช้เกียร์ 2-4 L ก็เพราะยังมีแรงบิด (TORQUE ) ที่สูงและมีความเร็วจัดกว่าเกียร์ 1-4L ทำให้ล้อสามารถหมุน
ได้จัดกว่าในรอบเครื่องเท่ากัน ในขณะที่เกียร์ 1-4L มีแรงบิดสูงกว่ามาก แต่ความเร็วเป็นรอง"

   "ส่วน ขาลงชาวออฟโรดเราส่วนใหญ่ใช้ WALKING SPEED กันอยู่แล้ว จะทำให้มีความปลอดภัยมากกว่าการใช้เบรกแต่เพียง อย่างเดียว
ผมเองก็ใช้เบรกช่วยเหมือนกัน แต่ใช้วิธีเหยียบปล่อยๆ ไม่ได้เหยียบอย่างรุนแรง เพราะล้อจะล็อกทำให้รถพุ่งลงจนควบคุมยาก
และขวางลำโดยอัตโนมัติ หรือไม่ก็พลิกคว่ำ ถ้าโชคดีก็สามารถหยุดรถได้ โดยขวางลำอยู่กลางเนิน ปรับทิศทางพวงมาลัยไปใน ทิศทาง
ลงเนินให้เข้าเส้นทางเสียก่อน แล้วจึงเคลื่อนที่ลงไป"
ธวัธชัย ธาราเย็น กล่าวต่อว่า "แต่บางกรณีของผม WALKING SPEED มันดึงรถได้ดีเกินไป จะมีอาการคล้ายกับการใช้เบรก
ในการขับลงไม่สัมพันธ์กับองศาของเนิน บางทีก็ทำท่าเหมือนขวางลำ ผมก็ใช้วิธีการแก้ไขก็คือ ควรเปลี่ยนจากการใช้เกียร์ 1-4L
เป็น 2-4L อาการล้อล็อกก็จะหายไป แต่ถ้าไม่หายรถยังลื่นไถลหรือขวางลำอยู่ มีอีก 2 วิธีปฎิบัติ คือ การเหยียบคลัตช์เพื่อลดการดึงของเกียร์
ก็จะทำให้รถไหลลงเล็กน้อย ทำให้ไม่เกิดอาการขวางลำอีก และเมื่อรถปรับเข้าเส้นทางดีแล้วให้ถอนคลัตช์ทันที เพื่อให้เกียร์ดึงรถต่อไป
หรืออีกวิธีหนึ่งที่ปลอดภัยกว่า นั่นคือ การกดคันเร่งเพื่อฉุดให้รถตั้งลำตรง การตบคันเร่งเพียงเล็กน้อยจะสามารถแก้อาการขวางลำได้แล้ว จึงปล่อยให้เกียร์ทำหน้าที่ดึงรถต่อไป

     สิ่งที่ต้องระมัดระวังในการขับลงเนินในเส้นทางธรรมชาติ ก็ไม่ต่างไปจากการขับขึ้นเนิน โดยเฉพาะอุปสรรคแบบเดียวกัน คือ
มีร่องล้อ ไม่ว่าจะเป็น 2 หรือ 3 ร่องก็ตาม ควรเลือกบังคับให้ทั้งล้อหน้าและล้อหลังอยู่ในร่องล้อคู่เดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดการขวางลำจนเสียการ
ควบ คุมรถ และไม่จำเป็นต้องปีนออกนอกร่อง เพราะโอกาสที่ใต้ท้องรถจะแขวนในช่วงขาลงนั้นเป็นไปแทบไม่ได้เลย"

     จากที่ได้สอบถามบรรดากูรูเขาเสริมเพิ่มมาให้อีกว่า "เมื่อรถเกิดดับคาเนิน ให้ค่อยๆ ถอยรถลงมาตีนเนิน แล้วทำการเร่งส่งใหม่ วิธีการ
นี้จะอันตรายในช่วงการถอย เพราะส่วนใหญ่จะปล่อยรถให้ไหลกลับหลังด้วยเกียร์ว่าง หรือเหยียบคลัตช์ แล้วหวังพึ่งเบรก บางคนปล่อย
ให้รถไหลลงมาทั้งๆ ที่เครื่องยนต์ยังดับอยู่ เบรกก็ไม่ทำงาน พวงมาลัยก็ล็อก และอีกวิธีหนึ่งคือ เร่งส่งขึ้นไปแล้วค้างอยู่กลางเนิน เจ้าของ
รถค่อยๆ ปล่อยรถลงมาด้วยวิธีการเหยียบคลัตช์ โดยยังคาอยู่ที่เกียร์ 1 ในตำแหน่ง 4L พร้อมกับเร่งส่งสวนทาง เพื่อชะลอความเร็ว หรือ
ช่วยเบรกไปในตัว เป็นวิธีการที่ผิดอย่างมาก เพราะเครื่องยนต์อาจจะตีกลับได้ กลายเป็นเรื่องใหญ่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
วิธี การที่ถูกคือ หยุดรถให้นิ่งสนิท จากนั้นปลดเกียร์ว่างพร้อมกับสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วเข้าเกียร์ถอยหลัง ปลดเบรกมือ เหลือแต่คลัตช์
กับเบรก แล้วค่อยๆ ถอนเท้าทั้งสองข้างออก จนรถเริ่มขยับถอยหลัง เกียร์จะทำหน้าที่ดึงไม่ให้รถไหล ถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัย ก็เหยียบเบรก
ประคองได้ แต่ห้ามกดจนล้อล็อก และห้ามเหยียบคลัตช์อีกในทุกกรณี จนกว่าจะลงถึงตีนเนิน อีกวิธีหนึ่งก็คือ การบิดกุญแจสตาร์ททั้งที่
เกียร์ยังคาอยู่ (START IN GEAR) แต่ควรเป็นเกียร์ 1-4L และตำแหน่งตัวรถต้องไม่ดับห่างจากยอดเนินมากนัก

     หากระหว่างทางของเนินอันตรายเหล่านั้น มีร่องล้ออยู่ พยายามบังคับให้ล้อทั้ง 4 ลงไปอยู่ในร่องเพื่อเกาะยึด และไม่ลื่นไถล จนเสียการ
ทรงตัว ผู้ที่ขาดประสบการณ์มักจะเลือกวิธีการขับคร่อมร่อง โดยคิดว่าหากล้อตกลงไปในท้องร่อง ใต้ท้องอาจจะแขวนได้ แต่ลืมไปว่า
ร่องล้อที่อยู่บนเนินชันนั้น ไม่ใช่ร่องตรงๆ จึงมีโอกาสที่ล้อรถจะลื่นไถลตกลงไป หากมีการกระแทกอย่างรุนแรงก็จะทำให้ลูกหมากคันชัก-
คันส่งขาดได้ หากร่องลึกจนเกิดการแขวนใต้ท้องได้ก็จริง แต่สามารถถอยหลังกลับลงมาได้ไม่ยากนัก เพราะแรงดึงดูดของโลก
 การ ขับคร่อมร่องล้อที่มีสามร่อง อาจทำให้ล้อคู่หน้าและคู่หลังตกลงไปในร่องคนละคู่ ทำให้เกิดขวางลำขณะกำลังขึ้นเนิน
ถ้าไม่มีการ สะดุดก็สามารถปีนออกจากร่องได้ หากว่าร่องล้อที่มีความลึกมาก จำเป็นต้องขับคร่อม ให้สังเกตพื้นผิวบริเวณนั้น แห้งเป็นดินแข็งหรือ
เปียกชื้น เพราะหากเป็นพื้นผิวแห้งๆ ก็คร่อมไปได้ แต่ถ้าลื่นอาจทำให้เกิดปัญหาตามมา ควรช่วยกันถมร่องด้วยหิน ท่อนไม้ และปรับแต่ง เส้นทาง
โดยการใช้จอบและเสียมขุดบริเวณที่ติดอกออก เท่านี้ก็เรียบร้อย ข้อระวังอีกอย่างหนึ่ง หากล้อของรถอยู่ในร่อง อย่าพยายาม หัก พวงมาลัยเพื่อปีนออก
เพราะเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะผิวดินที่เปียกลื่น ยิ่งฝืนก็ยิ่งทำให้รถเสียการควบคุมมากขึ้น เนื่องจากล้อหน้า จะ ขวางร่อง รถเคลื่อนที่ไปแบบขวางๆ
ควรควบคุมพวงมาลัยโดยกำหลวมๆ ล้อก็จะเกาะอยู่ในร่อง ทำให้สามารถบังคับล้อได้ดีกว่า

     เห็นไหมล่ะครับว่า หากเรามีการเตรียมเนื้อเตรียมตัวที่ดี มีทักษะการขับขี่ในระดับหนึ่ง สามารถพิชิตอุปสรรค และช่วยให้ท่องเที่ยว
ในป่าเขาลำเนาไพรของเรา เป็นไปอย่างราบรื่นอีกด้วย
ขอบคุณเนื้อหาและภาพจาก นิตยสารออฟโรด
ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
 
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
 
 
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
 
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 
 
 
 
 
 

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รันอินรถยนต์จำเป็นแค่ไหน? ต้องทำอย่างไร? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



รันอินรถยนต์จำเป็นแค่ไหน? ต้องทำอย่างไร? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

   การรันอินรถยนต์ คือสิ่งจำเป็นที่สุดหลังจากถอยออกจากโชว์รูม เพราะถือเป็นตัวชี้วัดเลยว่า รถคันนั้นจะมีอายุการใช้งานได้ยาวนานแค่ไหน
     วันนี้ Sanook!Auto จะนำท่านผู้อ่านทั้งมือใหม่และมือเก่าทั้งหลาย ไปรู้จักการรันอินอย่างถูกวิธีกันครับ
     การรันอินรถยนต์นั้น คือการปรับสภาพชิ้นส่วนต่างๆให้เข้าที่เข้าทาง เนื่องจากชิ้นส่วนทุกชิ้นแทบไม่เคยผ่านการใช้งาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรันอินที่เหมาะสมเพื่อให้ระยะห่างของชิ้นส่วนต่างๆ
อยู่ในระดับที่เหมาะสมก่อนการใช้งานอย่างเต็มกำลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสึกหรอก่อนเวลาอันควร
     วิธีปฏิบัติการรันอินอย่างถูกต้อง
     การรันอินที่ดี ควรกระทำในช่วง 1,500-2,000 กิโลเมตรแรกเป็นอย่างน้อย
     1. สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วต้องอุ่นเครื่องก่อนเสมอ เพื่อให้น้ำมันเครื่องสามารถเข้าไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆได้อย่างเต็มที่
ช่วยลดการสึกหรอจากการเสียดสีระหว่างโลหะ การอุ่นเครื่องนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่กับที่ ผู้อ่านอาจใช้ความเร็วต่ำในการเคลื่อนรถ
(ไม่เกิน 20 กม./ชม.) หลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง เป็นเวลาอย่างน้อยประมาณ 3 นาที
     2. หลีกเลี่ยงการออกตัวอย่างรุนแรง ถ้าให้ดีควรใช้รอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 รอบ ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานปกติแล้ว
และเป็นการประหยัดไปในตัวอีกด้วย รถยนต์รุ่นใหม่ๆนั้น ถูกออกแบบให้ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำลงสำหรับการเดินทางไกลๆ
โดยที่รอบเครื่องยนต์ 2,000 รอบต่อนาที รถยนต์ส่วนใหญ่สามารถทำความเร็วได้ราว 100 กม./ชม. อย่างสบายๆ
     3. หลีกเลี่ยงการเบรคอย่างรุนแรง เนื่องจากผ้าเบรคยังคงใหม่อยู่ ประสิทธิภาพการจับจานเบรคของผ้าเบรคยังทำได้ไม่เต็มที่
จึงทำให้ต้องใช้ระยะเบรคมากกว่าปกติ ดังนั้นทางผู้ผลิตรถยนต์จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเบรคอย่างรุนแรง เนื่องจากระบบเบรคยังทำงานได้ไม่เต็มที่นั่นเอง
     4. การเดินทางไกลด้วยรถใหม่ป้ายแดงนั้นสามารถทำได้ แถมยังดีกว่าการรันอินท่ามกลางจราจรติดขัดอีกด้วย
แต่ควรใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. หรือใช้ความเร็วเท่าที่รอบเครื่องยนต์ 2,000 รอบต่อนาทีทำได้ (โดยส่วนใหญ่มักไม่ต่ำกว่า 90 กม./ชม.)
ควรเปลี่ยนความเร็วที่ใช้บ้าง ไม่ขับแช่ที่ความเร็วใดๆเป็นระยะเวลานาน
     5. หลีกเลี่ยงการลากรถในช่วงรันอิน เพราะอาจทำให้เกิดความสึกหรอให้กับเครื่องยนต์, ช่วงล่าง, ระบบเกียร์ และระบบเบรคได้
หากจำเป็น ควรใช้บริการรถยกแบบยกทั้งคันจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงความสึกหรอที่อาจเกิดขึ้น

     การเข้ารับบริการตามระยะที่ผู้ผลิตกำหนดนั้น (โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณทุกๆ 10,000 กิโลเมตร) ถือว่ามีสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการเปลี่ยนถ่ายของเหลวใหม่แทนที่ของเหลวที่หมดอายุการใช้งาน รวมถึงอุปกรณ์บางชิ้นด้วย เนื่องจากในของเหลวต่างๆเหล่านี้
มีเศษโลหะที่เกิดจากการเสียดสีของชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ เฟืองท้าย และเฟืองเกียร์ ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดปัญหาในระยะยาว

     หากช่วงนี้ คุณผู้อ่านท่านใดกำลังจะได้รับรถใหม่แล้วล่ะก็ Sanook!Auto ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ
แล้วอย่าลืมนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ เพื่อให้รถของคุณสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานขึ้นนั่นเอง

ขอบคุณที่มา:http://www.insurancethai.net

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ (วิธีจัมพ์แบตเตอรี่) : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



วิธีพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ (วิธีจัมพ์แบตเตอรี่) : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

jump_cable_battery1
jump_cable_battery1
ขั้นตอนที่ 1 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ
วิธีการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จัมพ์แบตเตอรี่” เพื่อให้เกิดกำลังไฟเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน และสามารถเดินรถต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ขั้นตอนที่ 2 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงอีกด้านเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่รถที่มีไฟ
ปัญหาของแบตเตอรี่หมดระหว่างการขับรถบนท้องถนนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ
- สายต่อไดชาร์จหลวม
- น้ำกลั่นหมด
- แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
- กำลังไฟของแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอ
การจัมพ์แบตเตอรี่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยจะต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์เสริม และต่อสายพ่วงกับรถยนต์อีกคันหนึ่งในการชาร์จไฟ เพื่อให้ระบบได้ทำงาน หลังจากนั้นจึงนำรถยนต์ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ และเช็คสภาพความพร้อมของเครื่องยนต์จากช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง
ขั้นตอนที่ 3 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับขั้วลบแบตเตอรี่ที่มีไฟ
“การจัมพ์แบตเตอรี่สามารถทำได้เอง แต่ต้องระมัดระวัง เพราะแบตเตอรี่ มีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำกรดที่มีคุณสมบัติเป็นตัวการกัดกร่อนพื้นผิว ซึ่งขณะที่แบตเตอรี่กำลังทำงานจะเกิดก๊าซไฮโดรเจนสะสมในตัวแบตเตอรี่ จึงควรระวังในเรื่องประกายไฟ เพราะอาจเกิดอันตรายระหว่างจัมพ์แบตเตอรี่ได้”
วิธีการ ‘จัมพ์แบตเตอรี่’
เมื่อแบตเตอรี่หมดให้ปิดสวิตช์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถและขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
- นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีแดงซึ่งเป็นสายขั้วบวกมาต่อกับขั้วบวก (+) ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด
- นำหัวต่ออีกข้างต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน
- นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีเขียวหรือสีดำซึ่งเป็นสายขั้วลบมาต่อกับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน
จากนั้น … ต่อขั้นตอนที่4
ขั้นตอนที่ 4 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับเหล็กโครงรถ(ไม่ใช่ตัวถังรถ)ของรถคันที่แบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ
ต่อจากนั้นนำสายหัวต่อที่เหลือต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์หรือตัวถังรถยนต์ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด โดยควรต่อให้ห่างจากแบตเตอรี่มากที่สุด จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่มีไฟ ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อยเพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า หลังจากนั้น เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่หมด จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ประมาณ 1,500 – 2,000 รอบ/นาที เพื่อเช็คดูว่าประจุไฟเข้าหลังจากการชาร์จหรือไม่ ซึ่งถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับแสดงว่าการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่สำเร็จ
จากนั้นถอดสายพ่วงสีเขียว หรือสายขั้วลบ (-) ออกจากตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่หมด และตามด้วยหัวต่อขั้วลบของแบตเตอรี่ที่มีไฟ จากนั้นจึงถอดสายสีแดงหรือสายขั้วบวก (+) จากรถคันที่แบตเตอรี่หมด และถอดหัวสายพ่วงจากแบตเตอรี่ที่มีไฟ ปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นให้ครบทุกช่องและควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือขับรถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คเครื่องยนต์และเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
ขั้นตอนที่ 5 สตาร์ทเครื่องยนต์เริ่มจากรถที่แบตเตอรี่มีไฟก่อน

ปลอดภัยเวลา “จัมพ์แบตเตอรี่”

- ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ระหว่างต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
- เวลาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ อย่าสูบบุหรี่หรือทำสิ่งใดๆ และระวังอย่าให้สายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
- ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ โดยใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้ว เพื่อขจัดคราบเกลือที่เกาะติดอยู่
- ตรวจเช็คกำลังไฟของแบตเตอรี่ก่อน เพราะแบตเตอรี่ขนาด 6 โวลต์ หรือ 24 โวตล์ ไม่สามารถนำมาพ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ได้ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดการระเบิดขึ้นได้
- ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ก่อนทุกครั้ง โดยดูจากที่วัดของแบตเตอรี่ หรือใช้ที่วัดความถ่วงจำเพาะ(HYDROMETER) บริเวณด้านข้างของแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เช่น
สีเขียว = ประจุไฟฟ้าเต็ม

สีน้ำตาลหรือสีดำ = ประจุไฟหมด
สีเหลือง=แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน
jump_cable_battery
jump_cable_battery
สรุป วิธีพ่วงแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี
เวลาเอารถอีกคันมาจอดพ่วงแบตเตอรี่ ให้เอารถมาจอดใกล้กัน แต่อย่าให้รถสัมผัสกัน เพราะรถบางคันบางยี่ห้อต่อไฟลงกราวน์ไม่เหมือนกัน บางคันต่อกับขั้วบวก บางคันก็ต่อกับขั้วลบ ถ้าจอดรถให้สัมผัสกัน ไฟเกิดช็อตขึ้นมา ทำให้แบตเตอรี่ดีเสื่อมได้ จอดรถได้ที่ เวลาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ต้องทำเรียงตามลำดับ
(1) ต่อขั้วบวกแบตเตอรี่ไฟหมด…
(2) พ่วงต่อกับขั้วบวกแบตเตอรี่ดี
(3) สายพ่วงอีกเส้นต่อขั้วลบแบตเตอรี่ดี…
(4) ปลายสายอีกข้างต่อเข้ากับโครงรถ คันที่ไฟแบตเตอรี่หมด ต่อกับเหล็กโครงรถ…ไม่ใช่ตัวถังรถ
ต้องทำเรียงตามลำดับ (1)-(2)-(3)-(4) เพื่อป้องกันไฟช็อต
เหตุที่สายขั้วลบ (4) ต้องหนีบติดกับโครงรถแบตเตอรี่ไฟหมด ไม่หนีบกับขั้วลบของแบตเตอรี่ ไฟหมด เหมือนที่หลายคนนิยมทำ เพราะต่อพ่วงขั้วลบกับขั้วลบโดยตรง แบตเตอรี่ดีจะถูกแบตเตอรี่ไม่ดีดูดไฟไปเก็บไว้หมด
แบตเตอรี่ไม่ดี จะทำให้แบตเตอรี่ดีเสื่อมสมรรถภาพได้ พ่วงแบตเตอรี่เสร็จ รถสตาร์ตติด…เวลาถอดสายพ่วงก็ต้องทำเรียงตามลำดับแบบย้อนกลับ… ถอด (4)-(3)-(2)-(1) ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไฟช็อต ไม่ให้เกิดไฟสปาร์ก…ประกายไฟจะได้ไม่สร้างความเสียหาย แก่สีตัวถังรถ

สรุป
1. ขั้วบวก(+)ของ แบตเตอรี่ไม่ดี ไปต่อ ขั้วบวก(+)ของ แบตเตอรี่ดี
2. ขั้วลบ(-)ของ แบตเตอรี่ดี ไปต่อ โลหะ หรือ โครงเหล็ก ของ รถคนที่ แบตเตอรี่ไม่ดี
(ไม่ควรต่อกับขั้วลบของรถคันที่เเเตอรี่หมดเพราะ แบตเตอรี่เสื่อมจะดูดกระเเสไฟจากแบตดีไว้หมด)
เวลาถอดให้ย้อนกลับถอด

สิ่งที่ต้องจำ
บวก ต่อ บวก ลบ ต่อ ลบ
เมื่อจั๊มสายเส้นแรกแล้ว เส้นที่สอง ก่อนจะคีบ ให้เอาหัวแตะๆดูก่อน ถ้าประกายไฟพรึ่บออกมา แปลว่า ผิดขั้ว
ลบ ถอดก่อน ใส่ทีหลัง
ถอดแบตเตอรี่รถยนต์อย่างไรจึงจะปลอดภัย
ข้อพึงระวังสำหรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์เอง คือ
1. ต้องดับเครื่องก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ทุกครั้ง (OFF)
2. ในการถอดแบตเตอรี่รถยนต์ ต้องถอดขั้วลบ (-) ออกก่อนเสมอ เพื่อป้องกัน การลัดวงจร
3. และเมื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ลูกใหม่เข้าไป ต้องใส่ขั้วบวก (+) ก่อนเสมอ
จำหลักง่ายๆ “ถอดลบ (-) ใส่บวก (+)” เสมอ เพื่อป้องกันการลัดวงจรและเกิดประกายไฟกับรถยนต์

เราจะทราบได้อย่างไรว่าแบตเตอรี่รถยนต์เริ่มเสื่อม
เมื่อเราใช้แบตเตอรี่รถยนต์ไปได้สัก 1 ปีครึ่ง หรือ 2 ปี แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพ
หากสังเกตดีๆ เมื่อแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้เสื่อมสภาพจะมีสัญญาณเตือนดังนี้
1. เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ทติดยาก
2. ไฟหน้าไม่ค่อยสว่าง
3. ระบบกระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง
4. ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปรกติ
5. ระบบเสียงเวลากดรีโมท ไม่ดัง จากเมื่อก่อนที่มีเสียงดังเตือนเวลากดรีโมทล๊อครถ (เคยเข้าใจว่า ถ่านรีโมทอ่อน เเท้ที่จริงแบตอ่อนและเสื่อมเเล้ว)
ขอบคุณที่มา:http://www.insurancethai.net

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Ward s Auto ประกาศ 10 เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Ford EcoBoost 1.0 ลิตรติดโผอีกแล้ว : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



Ward s Auto ประกาศ 10 เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Ford EcoBoost 1.0 ลิตรติดโผอีกแล้ว : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

Honda-Brio-Prototype-Large
สำนักข่าว Ward s Auto ประกาศผล 10 เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีออกมาแล้ว เครื่องยนต์ 4 สูบและ V6 พาเหรดกันติดโผเพียบ
นับเป็นปีที่ 20 ติดต่อกันแล้วที่ทาง Ward’s Auto จัดอันดับ 10 Best Engines ยกย่องเครื่องยนต์ที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมประจำปี โดยทีมงานของ Ward s คัดเลือกจากเครื่องยนต์จำนวน 44 บล็อกที่ใช้อยู่ในรถยนต์ที่มีค่าตัวไม่เกิน 60,000 เหรียญสหรัฐฯ ในตลาดอเมริกา
สำหรับเครื่องยนต์ที่ได้รับรางวัล ประกอบด้วย
3.0 ลิตร TFSI ซูเปอร์ชาร์จ DOHC V6 (Audi S5)
3.0 ลิตร ดีเซล เทอร์โบ DOHC 6 สูบแถวเรียง (BMW 535d)
3.0 ลิตร ดีเซล เทอร์โบ DOHC V6 (Ram 1500 EcoDiesel)
มอเตอร์ไฟฟ้า 83 กิโลวัตต์ (Fiat 500e)
1.0 ลิตร EcoBoost DOHC 3 สูบ (Ford Fiesta)
2.0 ลิตร ดีเซล เทอร์โบ DOHC 4 สูบ (Chevrolet Cruze Diesel)
6.2 ลิตร OHV V8 (Chevrolet Corvette Stingray)
3.5 ลิตร SOHC V6 (Honda Accord)
2.7 ลิตร DOHC บ็อกเซอร์ 6 สูบ (Porsche Cayman)
1.8 ลิตร เทอร์โบชาร์จ DOHC 4 สูบ (Volkswagen Jetta)
เครื่องยนต์ที่โดดเด่นคือบล็อก V8 ของ 2014 Chevrolet Corvette Stingray ซึ่งให้พละกำลังสูงแถมยังประหยัดน้ำมัน ขณะที่ขุมพลังไฟฟ้าของ 2013 Fiat 500e ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม แถมยังมีระยะทางขับขี่กว่า 140 กม.
ขอบคุณที่มา:http://www.autospinn.com

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Knock for Knock ชนแล้วแยกแลกใบเคลม : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



Knock for Knock ชนแล้วแยกแลกใบเคลม : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

Knock for Knock เป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างบริษัทประกันวินาศภัย เพื่อตกลงสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายซึ่งกันและกัน
และให้ถือว่า สัญญานี้มีผลผูกพัน บริษัทที่ร่วมลงนามในสัญญานี้ ซึ่งเกิดจากการชนหรือพยายามหลีกเลี่ยงการชน หรือเกิดจากการใช้รถ
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัทร่วมสัญญา โดยบริษัทที่ร่วมสัญญาแต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบในความเสียหาย
ของรถยนต์ที่ตนรับประกันภัยไว้ ภายใต้จำนวนเงินเอาประกันภัยที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นความประมาทของฝ่ายใด
การสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายซึ่งกันและกันหมายความรวมถึง การสละสิทธิเรียกร้องต่อผู้เอาประกันภัยของบริษัทที่ร่วมสัญญา
และบุคคลซึ่งต้องรับผิดต่อเหตุละเมิดดังกล่าวด้วย
Knock for Knock เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2539 โดยใช้ชื่อโครงการว่า “น็อก ฟอร์ น็อก 1.10 : ตะลุมบอน” “ชนแล้วแยกแลกใบเหลือง”
“ชนแล้วแยกแลกใบเคลม” ตามลำดับ และปัจจุบันสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดตัวโครงการ Knock for Knock ภายใต้แนวคิด
”กรอก-แลก-แยกย้าย” โดยเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2556 พร้อมทั้งได้มีการลงนามในสัญญากำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติม
กล่าวคือ ใช้กับประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 รถยนต์ขนาด 4 ล้อ ยาง 4 เส้น น้ำหนักไม่เกินกว่า 4 ตัน ไม่เกิน 20 ที่นั่ง
ซึ่งบริษัทประกันภัยจะแนบเอกสาร “ชนแล้วแยก” (Knock for Knock Form) และจัดเตรียมสติ๊กเกอร์สีฟ้าตัว K
และเอกสารแนะนำการใช้แนบไว้พร้อมกับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่ส่งมอบให้กับผู้เอาประกันภัย
วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุรถเฉี่ยวชนกัน ให้ผู้ขับขี่รถทั้งสองฝ่ายตรวจสอบว่ารถที่เฉี่ยวกันนั้นมีสติ๊กเกอร์ kfk หรือ มี “เอกสารชนแล้วแยก”
หรือไม่ หากมีให้ดำเนินการดังนี้
1. ให้ผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้ว แยกรถเข้าข้างทางทันทีและนำเอกสาร “ชนแล้วแยก”
ของตนเองมากรอกรายละเอียดและลงชื่อในเอกสารดังกล่าว
2. จากนั้นให้ทั้งสองฝ่ายแลกเอกสาร “ชนแล้วแยก” ที่กรอกรายละเอียดครบแล้วมอบให้แก่กัน
แล้วแยกย้ายได้ทันที
3. โทรศัพท์แจ้งบริษัทประกันภัยของตนเองเพื่อให้มีการนำรถเข้าทำการซ่อมและออกเอกสาร “ชนแล้วแยก”
ฉบับใหม่ทดแทนฉบับเดิม
โครงการ Knock for Knock จะช่วยให้ผู้เอาประกันภัยประหยัดเวลาและสร้างความสะดวกรวดเร็วในการแยกย้ายรถ
เสริมสร้างความมั่นใจและสร้างความพึงพอใจให้กับผู้เอาประกัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อธุรกิจประกันภัยรถยนต์
ช่วยลดคดีจราจรและปัญหาการจราจรติดขัด ลดข้อพิพาทที่จะเข้าสู่อนุญาโตตุลาการของสำนักงาน คปภ. และคดีความในชั้นศาล
ขณะที่บริษัทประกันภัยจะหันมาแข่งขันด้านการให้บริการเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับมาตราฐานการประกันภัยรถยนต์ในกลุ่มประเทศอาเซียน
knock-for- knock

(Knock for Knock) ชนแล้วแยกแลกใบเคลม
เคลมสดกรณีพิเศษ กล่าวคือ ในบางครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน บางครั้งสภาวะแวดล้อมก็อาจไม่เอื้ออำนวยให้สามารถรอพนักงานเคลมมาเปิดเคลมได้
ซึ่งเป็นไปได้ว่าคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีธุระต้องรีบไปทำ หรือตอนเกิดเหตุนั้น เป็นเวลากลางคืนประกอบกับสถานที่เกิดเหตุค่อนข้างเปลี่ยว
ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นในเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้นในทางปฎิบัติการรอพนักงานเคลมเพื่อจะมาดำเนินการตามขั้นตอนนั้นอาจจะ ไม่สามารถทำได้
ถ้าอย่างนั้นจะมีวิธีการใดบ้างที่เรายังสามารถรักษาสิทธิ์ในการเคลมประกันภัยรถยนต์โดยที่ไม่ได้ทำตามขั้นตอนปกติ สามารถทำได้ครับ
แต่ต้องเป็นกรณีที่ไม่มีผู้บาดเจ็บเท่านั้นนะครับ โดยสามารถทำได้ดังต่อไปนี้
กรณีที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายมีประกันภัยรถยนต์ด้วยกันทั้งคู่ และสามารถตกลงกันได้ว่าใครเป็นฝ่ายถูก,ผิด
ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายมีเอกสารที่เรียกว่า Knock to knock ก็สามารถกรอกข้อความในเอกสาร แล้วแลกกันได้เลย
หลังจากนั้นต่างฝ่ายก็นำใบที่ได้จากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไปเปิดเคลมที่บริษัท ประกันซึ่งตนทำประกันอยู่ได้เลย
ถ้าในกรณีที่ไม่มีใบ Knock to knock กรณีแยกกันก่อนแล้วนัดมาเคลมทีหลังอีกครั้ง เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายสามารถตกลงกันได้ว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือผิด
และสามารถไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ นอกจากนั้นทั้งสองฝ่ายไม่ลำบากหรือยุ่งยากมากนักที่จะต้องมาพบกันอีกครั้ง โดยส่วนใหญ่ที่พบก็คือ
ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันอยู่แล้วหรือต่างรู้จักที่มาที่ไปซึ่งกันและกัน ตอนเกิดเหตุปรากฎว่าต่างฝ่ายต่างติดธุระไม่สะดวกที่จะรอพนักงานเคลม
จึงได้แยกกันไปก่อนและนัดหมายจะมาเจอกันอีกครั้งตอนที่สะดวกโดยแต่ละฝ่ายก็ แจ้งประกันของตัวเองมา นำรถที่เกิดเหตุและคนขับทั้ง 2 ฝ่ายมาเพื่อเปิดเคลม
ถ้าเป็นกรณีที่คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ห่างไกลกันและไม่สะดวกที่จะมานัดเคลมอีกครั้ง ก็สามารถทำได้โดยคู่กรณีฝ่ายที่ผิดติดต่อไปที่บริษัทประกันของตน
แล้วแจ้งว่าตนได้ชนกับรถยนต์ ยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร ผู้ขับขี่คือใคร วันที่เท่าไหร่ สถานที่คือที่ไหน และความเสียหายของรถคู่กรณีคือตำแหน่งใดบ้าง
บริษัทประกันฝ่ายผิดก็จะออกเลขที่รับแจ้งให้ ให้ท่านนำเลขที่รับแจ้งดังกล่าวมาบอกต่อคู่กรณีที่เป็นฝ่ายถูก เพื่อให้คู่กรณีที่เป็นฝ่ายถูกไปติดต่อ
กับบริษัทประกันของตน โดยใช้เลขรับแจ้งนี้ในการติดต่อกับบริษัทประกันของคู่กรณีฝ่ายผิด เพื่อทำการเรียกร้อง เมื่อมีการยืนยันข้อมูลความเสียหาย
ที่ตรงกันระหว่างบริษัทประกันทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมมีการออกเอกสารซึ่งกันและกันแล้ว ทางบริษัทประกันฝ่ายถูกก็จะออกใบเคลมให้แก่ท่าน
และท่านสามารถนำรถไปซ่อมได้ตามปกติ โดยบริษัทประกันฝ่ายถูกจะไปเรียกเก็บจากบริษัทประกันฝ่ายผิดเองโดยใช้เอกสาร หลักฐานที่มีการยืนยันซึ่งกันและกัน
โครงการนี้ เป็นโครงการที่ดี ซึ่งจะเห็นในแบบฟอร์มในกรมธรรม์ประเภท1 แต่เราไม่ค่อยได้สังเกตุกัน
แต่ปัญหาที่ทำให้ ระบบ Knock for Knock ไม่เป็นที่นิยม น่าจะเป็นเพราะ ต่างฝ่าย ต่างไม่ยอมรับผิดกัน สุดท้ายก็ต้องรอประกันมา
บางที ขนาดคนขับไปชนท้ายเขา ยังไม่ยอมผิด ก็จอดคามันตรงนั้นเหละ รอประกันมา ค่อยแยก หรือไม่ก็รอตำรวจมาพ่นสี ถึงจะยอมแยก
เพราะ ไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายผิด
สิ่งที่ถูกต้องคือ ถ้าสมมติไปชนท้ายเขา ก็ยอมที่จะชดใช้ และพร้อมที่จะจอดข้างทางทันที เพื่อไม่ให้จราจรติดขัด หากคู่กรณีจะถ่ายรูปรถของเรา
ก่อนเคลื่อนย้าย ก็ยินดี เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในทางกลับกัน ถ้าเป็นฝ่ายถูก และคู่กรณียอมรับผิด ก็แค่ลงมาถ่ายรูป ตอนโดนชน รวมถึง สภาพแวดล้อม เช่น ถ่ายให้เห็น สัญลักษณ์เส้นบนพื้นถนน
เพื่อเป็นหลักฐานว่า ใครผิด หรือ ใครเบียดใคร แล้วค่อยแยกย้าย
อีกส่วนนึงที่เชื่อว่าทำให้ โครงการนี้ไม่ได้รับความนิยมก็คือ
1. ถ้าคุณรอประกันมาเคลม คุณได้ใบเคลมจากบริษัทประกัน ณ ตอนนั้น และคุณก็แค่ถือใบเคลมนั้น เข้าไปที่อู่ นำรถเข้าซ่อมได้เลย
2. ถ้าคุณใช้ Knock for Knock ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ก็แลกเปลี่ยนเอกสารกัน ว่าใครถูกใครผิด อะไรก็ว่าไป แล้วคุณจะต้องนำเอกสารนั้น
ไปติดต่อที่บริษัทประกันของคุณก่อน ไม่ใช่จะเข้าซ่อมได้เลย และถึงจะนำรถเข้าซ่อม มันเพิ่มขั้นตอนของเจ้าของรถ ตรงนี้ เสียเวลา ดังนั้น หาก
สาขาของบริษัทประกันที่คุณใช้บริการมีน้อย หรือ ไกลจากบ้านคุณ มันก็เสียเวลาคุณเยอะ คนส่วนใหญ่ถึงรอประกันมาเคลม ณ จุดเกิดเหตุดีกว่า ได้ใบเคลมทันที

ขอบคุณที่มา:http://www.insurancethai.net
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ล้อแม็ก ทำไมต้องใส่ใจเรื่องความเบา? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



ล้อแม็ก ทำไมต้องใส่ใจเรื่องความเบา? : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

รถยนต์รุ่นท็อปเดี๋ยวนี้เป็นล็อแม็กกันหมดแล้ว เว้นแต่รถรุ่นล่างสุดที่มักจะเป็นล้อกะทะ ใครที่มีเงินก้อนอยากจะแต่งรถก็มักจะนึกถึงการเปลี่ยนแม็กก่อน ล้อแม็ก เป็นอุปกรณ์ประดับยนต์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับแรกๆ ของคนที่จะแต่งรถ หลายคนเล็งแม็กไว้ก่อนจะได้รถซะอีก

ไม่ว่าจะเปลี่ยนเพื่อการใช้งาน หรือความสวยงาม อยากแต่งซิ่ง หรือใส่เท่ๆ เวลาเลือกล้อแม็กสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจคือเรื่อง ความเบา เคยสงสัยไหมว่าทำไม? ล้อแม็กที่มุ่งเน้นเรื่องความเบานั้นแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นที่ต้องการของนักแข่งรถ เพราะน้ำหนักที่เกิดขึ้นกับรถนั้นมีผลกับเวลาและความเร็วต่อรอบในการแข่งขัน อิทธิพลนั้นส่งผลมาถึงผู้ที่ชื่นชอบการแต่งรถ ให้พยายามที่จะเลือกและหาล้อแม็กที่มีความเบา
ล้อแม็กเบานั้นมีผลดีอย่างไร?
ล้อแม็กมีน้ำหนักเบากว่าล้อกะทะหรือล้อเหล็ก น้ำหนักที่เบานั้นส่งผลต่อสมรรถนะการขับขี่ คือ รถมีการตอบสนองต่อคำสั่งได้ดีและฉับไวขึ้น ทั้งด้านอัตราเร่ง การเบรก เสถียรภาพในการเข้าโค้ง ความเบาของล็อแม็กนั้นสัมพันธ์กับน้ำหนักของรถ สำหรับรถขนาดใหญ่น้ำหนักมากอาจจะไม่เห็นผลเรื่องของสมรรถนะช่วงล่างเท่าไหร่ แต่สำหรับรถขนาดเล็กแล้วน้ำหนักที่ลดลงไปของล้อและองค์ประกอบของช่วงล่างทั้งหมดจะส่งผลโดยตรงกับการตอบสนองของช่วงล่างและการควบคุมบังคับ ช่วงล่างจะทำงานได้ฉับไว ควบคุมได้ฉับไว และวิ่งได้นิ่มนวลกว่า นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการประหยัดเชื้อเพลิงได้ด้วย


ล้อแม็กก็เปรียบเสมือนรองเท้า รองเท้ายิ่งเบา ก็ยิ่งเดินสบาย ส่วนรองเท้าที่หนักเวลาเราเดินหรือวิ่งจะรู้สึกลำบาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือความแข็งแรง แม้ล้อแม็กนั้นจะมีน้ำหนักเบาแต่ต้องแน่ใจว่าความแข็งแรงนั้นจะไม่ลดลงไปด้วย เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ อีกทั้งความเบานั้นต้องสัมพันธ์กับขนาดของเครื่องยนต์ เช่น รถขนาดใหญ่ถ้าใส่แม็กเบาเกินไปก็จะทำให้สมรรถนะในการขับขี่ไม่มั่นคงนัก
ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen ,
Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress
 , Asn Broker Journal Blog
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ราคารถยนต์ใหม่ล่าสุด ในตลาดรถยนต์ประจำเดือน ธันวาคม 2556 : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



ราคารถยนต์ใหม่ล่าสุด ในตลาดรถยนต์ประจำเดือน ธันวาคม 2556 : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์


      ผ่านไปสดๆร้อนๆสำหรับงานมหกรรมยานยนต์ส่งท้ายปี หวังว่าหลายท่านคงถูกใจกับโปรโมชั่น ลด-แลก-แจก-แถม ที่บรรดาค่ายรถยนต์ต่างๆจัดมาเอาใจลูกค้ากันอย่างเต็มที่นะครับ โดยในงานก็มีรถที่เพิ่งเปิดเผยราคาหลายรุ่นเลยทีเดียว เช่น
      - ฟอร์ด เฟียสต้า อีโคบูสต์ ราคาเดียวทั้งรุ่น 4 และ 5 ประตูที่ 779,000 บาท
      - ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ตราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 639,000 บาทเท่านั้น จากปกติ 669,000 บาท เฉพาะ 2,500 คันแรก
      ใครกำลังสนใจรถยนต์รุ่นใด ยี่ห้อไหนกันอยู่แล้วล่ะก็ เชิญอัพเดทราคารถยนต์ล่าสุดที่ Sanook!Auto รวบรวมไว้ให้คุณผู้อ่านด้านล่างได้เลยครับ


ราคารถใหม่ Audi ราคารถใหม่ Thairung  

อัพเดตล่าสุด วันที่ 11 ธันวาคม 2556
ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen ,
Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress
 , Asn Broker Journal Blog
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีลอกสติกเกอร์ติดรถง่ายๆ ไม่ทิ้งคราบ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



วิธีลอกสติกเกอร์ติดรถง่ายๆ ไม่ทิ้งคราบ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์

ในมุมของคนรักรถบางครั้งก็ชอบที่จะแต่งโน่นนิดนี่หน่อย อย่างการติดสติกเกอร์ให้รถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นสติกเกอร์คลับรถยนต์ โลโก้ สัญลักษณ์ต่างๆ ที่ทำให้รถดูมีเอกลักษณ์สะดุดตาไม่เหมือนใคร
หรือแม้แต่สติกเกอร์ที่ติดเวลาแข่งแรลลี่ ปัญหาที่หลายคนต้องเจอคือตอนติดน่ะสวยแต่ลำบากตอนรื้อออก
ไม่ว่าจะแกะอย่างระมัดระวังแค่ไหนก็มักจะเหลือคราบกาวทิ้งไว้
การลอกสติกเกอร์ติดรถมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะพื้นผิวรถที่มีสีเคลือบ
จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ขอนำเสนอสารพัดวิธีที่จะช่วยให้คุณลอกสติกเกอร์และขจัดคราบกาวออกไปได้ง่ายๆ ดังนี้
- สติกเกอร์แผ่นใหญ่หรือติดมานานแล้ว จะแกะออกยาก ให้ใช้ไดร์เป่าผมเป่าเบาๆ
ความร้อนจากไดร์เป่าผมจะทำให้กาวที่เหนียว อ่อนตัวลง ลอกออกได้ง่ายขึ้น
- ใช้น้ำมันครอบจักรวาลฉีดลงบนคราบสติกเกอร์ให้ชุ่ม ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้ผ้าสะอาดค่อยๆ เช็ดออกอย่างเบามือ
- ครีมทำความสะอาดเอนกประสงค์ โปะลงบนผ้าสะอาด จากนั้นค่อยๆ ถูลงบนรอยคราบสติกเกอร์อย่างเบามือ
- น้ำมันสน รอนสัน หรือน้ำมันพืช น้ำมันมะกอก ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
- หลังจากเช็ดออกให้ล้างด้วยแชมพูล้างรถทันที
** ข้อควรระวัง ทินเนอร์ หรือ น้ำมันเบนซิน ไม่เหมาะกับพื้นผิวที่มีสีเคลือบเพราะจะทำให้รถสีด่างหรือลอกได้
ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen ,
Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress
 , Asn Broker Journal Blog
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีถนอม แอร์รถยนต์ ง่ายๆ ไร้กลิ่นอับ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์



วิธีถนอม แอร์รถยนต์ ง่ายๆ ไร้กลิ่นอับ : ASN Broker ประกันภัยรถยนต์ 

ระบบแอร์ในรถยนต์นั้น ถือว่ามีความสำคัญต่อผู้ที่อยู่ในรถอย่างยิ่ง
เนื่องจากเราต้องสูดดมอากาศที่ได้จากระบบปรับอากาศอยู่ตลอดเวลา แล้วรู้ไหมว่าแอร์
รถเรานั้นอาจเต็มไปด้วย
เชื้อโรค วันนี้ Sanook!Auto ขอนำวิธีการใช้งานระบบปรับอากาศในรถยนต์ที่ถูกต้องมาฝากกัน

  • ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า สวิตช์แอร์ถูกปิดอยู่
    เพื่อป้องกันไม่ให้พัดลมแอร์ทำงานโดยเปล่าประโยชน์
  • เมื่อรถสตาร์ทติดแล้ว ควรเปิดแอร์โดยใช้ความเร็วพัดลมสูงก่อน เพื่อเป็นการไล่ความร้อนในระบบแอร์
    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปุ่ม A/C ถูกเปิดอยู่ และควรปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ
    หากรู้สึกว่าแอร์รถเย็นเกินไป ควรใช้วิธีปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้น เพราะการใช้วิธีหันหน้ากากแอร์ออกจากตัวหรือปิดช่องแอร์
    จะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น และยังเป็นการเพิ่มความชื้นในระบบแอร์ เนื่องจากไม่สามารถระบายความเย็นได้เท่าที่ควร
  • ก่อนดับเครื่องยนต์ ควรปิดการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ ด้วยการกดปุ่ม A/C OFF
    โดยยังคงเปิดพัดลมแอร์ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที เพื่อระบายความเย็นส่วนที่เหลือ
    โดยอาจทำขณะเข้าจอดรถในบ้านหรือที่จอดรถก็ได้  เนื่องจากคอยล์เย็นหรือตู้แอร์ มักมีสภาพเปียกชื้นขณะทำงาน
    การทำลักษณะเช่นนี้จะเป็นการไล่ความชื้นเหล่านั้นออกมา ไม่ให้สะสมจนเกิดเชื้อแบคทีเรีย
    อันเป็นสาเหตุของกลิ่นอับในรถยนต์นั่นเอง จากนั้นจึงค่อยปิดพัดลมแอร์แล้วจึงดับรถยนต์

     วิธีแก้ไขหากรถสุดรักของท่านผู้อ่านเกิดกลิ่นอับ สามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ โดยนำรถของท่านไปจอดทิ้งไว้กลางแดด
แล้วเปิดประตูทั้งสี่บานทิ้้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่ากลิ่นจะจางหายไป ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ความชื้นภายในรถระเหยออกไปนั่นเอง

     เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยถนอมระบบแอร์ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น และไม่มีกลิ่นอับอีกด้วย

ขอบคุณที่มา:http://auto.sanook.com/
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen ,
Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress
 , Asn Broker Journal Blog
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์