วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มาดูสิทธิ์ข้อได้เปรียบ เมื่อ รถ2 คันชนกันและต่างบอกว่าถูกทั้งคู่



มาดูสิทธิ์ข้อได้เปรียบ เมื่อ รถ2 คันชนกันและต่างบอกว่าถูกทั้งคู่

รถ 2 คัน ชนกัน ผู้ประสบภัยเป็นผู้โดยสาร พ.ร.บ. คุ้มครองเท่าใด?
กรณีรถตั้งแต่ 2 คัน ขึ้นไป ชนกัน ต่างฝ่ายต่างมีประกันตาม พ.ร.บ. และไม่มีผู้ใดยอมรับผิดในเหตุที่เกิด ผู้ประสบภัยที่เป็นผู้โดยสารจะได้รับความคุ้มครองตามหลักการสำรองจ่าย
กรณีบาดเจ็บ บริษัทจะสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามใบเสร็จ จำนวนเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน แก่ผู้ประสบภัย
กรณี เสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพอย่างถาวร บริษัทจะสำรองจ่ายทดแทน/ค่าปลงศพ จำนวน 100,000 บาท
(เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เมษายน 2546 เป็นต้นมา) ต่อคน แก่ทายาทผู้ประสบภัย
ความคุ้มครองกรณีอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี
กรณี ผู้ประสบภัย ที่เป็นผู้ขับขี่และเป็นฝ่ายผิดเอง หรือไม่มีผู้ใดรับผิดตามกฎหมายต่อผู้ขับขี่ที่ประสบภัย ดังนี้ ผู้ประสบภัยที่เป็นผู้ขับขี่จะได้รับความคุ้มครองไม่เกินค่าเสียหายเบื้อง ต้น กล่าวคือ หากบาดเจ็บจะได้รับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 15,000 บาท หรือเสียชีวิตจะได้รับค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท หรือเสียชีวิตภายหลังรักษาพยาบาลจะรับค่าเสียหายเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท
กรณีผู้ประสบภัย เป็นผู้โดยสาร/บุคคลภายนอกรถ จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายไม่เกิน 50,000 บาท กรณีบาดเจ็บ และ 100,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เมษายน 2546 เป็นต้นมา) กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ/ทุพพลภาพอย่างถาวร (ทั้งนี้ ผู้ขับขี่รถที่บริษัทรับประกันภัยไว้ต้องเป็นฝ่ายรับผิดตามกฎหมาย)
ข้อพึงปฏิบัติเมื่อประสบภัยจากรถ
เมื่ออุบัติเหตุรถยนต์เกิดขึ้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ หรือผู้พบเห็น ควรปฏิบัติ ดังนี้
กรณีมีผู้บาดเจ็บ
1. นำคนเจ็บเข้ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและสะดวกที่สุดก่อน
2. แจ้งเหตุที่เกิดให้ตำรวจทราบ และขอสำเนาประจำวันตำรวจเก็บไว้
3. แจ้งเหตุบริษัทประกันภัยทราบ แจ้งวัน เวลา สถานที่เกิดเหตุ
4. เตรียม เอกสาร อาทิ ถ่ายสำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถคันเกิดเหตุ ภาพถ่ายสำเนาบัตรประชาชน หรือหลักฐานอื่นใดที่ออกโดยราชการ กรณีเมื่อเรียกร้องค่าเสียหาย
5. ให้ชื่อ ที่อยู่ ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์เพื่อช่วยเหลือในการเป็นพยานให้แก่คนเจ็บ
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รถยนต์ ควันดำแก้ไขได้ มาดูกัน!!



 รถยนต์ ควันดำแก้ไขได้ มาดูกัน!!

ควันดำของเครื่องยนต์ดีเซลเกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งทำให้คาร์บอนบางส่วนในน้ำมันเชื้อเพลิง (ไฮโดรคาร์บอน) ไม่ได้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จึงเหลือเป็นเขม่าดำออกมาทางท่อไอเสีย
ซึ่งสามารถวิเคราะห์แยกสาเหตุที่รถมีควันดำได้ ดังนี้
1. เครื่องยนต์สึกหรอมาก เช่น ลูกสูบ และกระบอกสูบ แหวนลูกสูบชำรุด
2. ปั๊มฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด และทำงานไม่ถูกต้อง หรือฉีดน้ำมันในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง
3. หัวฉีดน้ำมันแรงดันสูงที่จ่ายเข้าไปในห้องเผาไหม้ชำรุด
4. กรองอากาศอุดตัน
5. น้ำมันเครื่อง มีอายุการใช้งานมาก
6. เขม่าควันดำ และฝุ่นละออง ค้างอยู่ภายในท่อไอเสีย
วิธีแก้ไข
1. ซ่อมแซมเครื่องยนต์ในส่วนที่สึกหรอ เช่น เปลี่ยนลูกสูบ แหวนลูกสูบ หรือ ทำการคว้านกระบอกสูบ แล้วเปลี่ยนลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น
2. ทำการเช็กปั๊ม โดยนำเข้าศูนย์บริการ ทำการปรับแต่งปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดสึกหรอ รวมทั้งปรับแต่งหัวฉีดน้ำมัน และเปลี่ยนชิ้นส่วน ที่สึกหรอ รวมทั้งการปรับแต่ง อัตราและจังหวะการฉีดน้ำมัน ให้ถูกต้องเป็นไปตามบริษัทผู้ผลิตกำหนด
3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบรูณ์
4. เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลาที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด
5. ปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ทำงานถูกต้อง ตามระยะเวลาที่เหมาะสม
6. ทำการล้างท่อไอเสีย โดยใช้น้ำหรือลมฉีดชะล้างเขม่า และฝุ่นละอองภายในท่อไอเสีย
ที่มา : สาระน่ารู้ กรมการขนส่งทางบก
News Update : 2012-05-25
www.asnbroker.co.th
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์


 

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ยางระเบิดในขณะเวลาขับรถ..ทำอย่างไร!?!?


ยางระเบิดในขณะเวลาขับรถ..ทำอย่างไร!?!?
ปัญหาร้ายแรงที่สุดขณะขับรถก็คือ ยางระเบิดซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณได้ตลอดเวลา  และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว  ผู้ขับขี่บางคนไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงและบางรายเสียชีวิต ข่าวคราวเรื่องยางระเบิดจึงมีบ่อย ๆ แม้แต่ในต่างประเทศก็เกิดขึ้นเช่นกัน
ในขณะเราขับขี่แล้วเกิดยางระเบิด แน่นอนที่สุดย่อมเกิดอาการตกใจ และสิ่งที่ตามมาอาจเกิดอันตรายได้ และในฐานะของผู้ขับขี่ก็ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ในเมื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ฉุกเฉินขณะยางระเบิดไม่ได้ ในฐานะของผู้ขับขี่ จะทำอย่างไรดี? และนี่คือคำถามที่อยู่ในใจของใครหลายๆ คน
การที่ยางระเบิดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของท่าน, ผู้โดยสารและผู้ร่วมใช้เส้นทาง ในฐานะผู้ขับขี่ ก่อนอื่นต้องตั้งสติให้ดี สมาธิให้ดี แล้วพยายามปฏิบัติตามวิธีดังดังต่อไปนี้
1. ควบคุมสติให้ดี แล้วมองกระจกหลังเพื่อดูว่ามีรถตามมาหรือไม่
2. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
3. ถอนคันเร่งออก
4. แตะเบรกเบาๆ ถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
5. ห้ามเหยียบคลัตซ์โดยเด็ดขาด เพราะถ้าเหยียบคลัตซ์ รถจะไม่เกาะถนน แต่จะลอยตัว ทำให้บังคับรถได้ยากขึ้นจนอาจเสียหลัก เนื่องจากการเหยียบคลัตซ์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ให้ขาดจากเพลา
6. ห้ามดึงเบรกมือเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
7. เมื่อความเร็วลดลงพอประมาณแล้ว ให้ยกสัญญาณไฟเลี้ยวเข้าข้างทางซ้ายมือ
8. เมื่อความเร็วลดลงในระดับควบคุมได้ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลง และหยุดรถ
ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิด ล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้ายรถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วจะสบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกทีสลับกันไปมา และหากล้อระเบิดด้านขวา อาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้าม หากยางระเบิดในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง จะทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ เพราะรถจะพลิกคว่ำทันที ความเร็วขณะขับขี่ที่ถือว่าปลอดภัยใน Defensive Driving คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
* ส่วนกรณี สามารถแก้ไข (เปลี่ยนยาง) ได้ด้วยตนเอง ให้นำสัญลักษณ์ขอทาง หรือ นำวัสดุที่พอจะเป็นที่สังเกตได้ไปวางไว้ก่อนถึงจุดจอดรถประมาณ 10 เมตร (ถ้าเป็นไปได้) อันนี้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และผู้ใช้เส้นทางท่านอื่นด้วย
ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท  ให้คุณถือคติที่ว่า “ การป้องกันดีกว่าการแก้ไข  “   ก่อนนำรถออกใช้งานจึงควรตรวจสภาพของยางทุกเส้นว่าพร้อมที่จะใช้งานหรือไม่  ถ้าพบว่าผิดปกติก็ขอให้แก้ไขเสียก่อน  การตรวจสภาพยางนั้นใช้เวลาไม่นานนักคุณก็จะทราบได้
อาการเบื้องต้นของยางที่เสื่อมสภาพ มีดังนี้
1. ลมอ่อนบ่อย ๆ  โดยไม่พบรอยรั่ว
2. มีอาการบวมที่แก้มยางหรือหน้ายาง
3. เบรกรถที่ควรต่ำ  ยางมีเสียงดังคล้ายการเบรกอย่างรุนแรง
4. ขณะเลี้ยวโค้งที่ความเร็วต่ำ  ยางมีเสียงดัง
5. พวงมาลัยหรือตัวรถมีอาการสั่น  ทั้ง ๆ ที่ได้ทำการถ่วงล้อมาแล้ว  และโช็กอัปไม่เสีย
*ถ้าพบอาการดังกล่าวมาแล้ว ขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนยางใหม่จะปลอดภัยกว่า
สาเหตุที่ทำให้ยางระเบิดขณะรถ มีดังนี้
1. ยางหมดอายุการใช้งาน  เช่น  แก้มยางมีรอยแตกลายงา  บวม  ฉีกขาด  ดอกยางหมดสภาพ  เป็นต้น
2 .ยางเก่าเก็บ
3. ขับรถโดยใช้ความเร็วเกินพิกัดยางที่กำหนดไว้
4. บรรทุกน้ำหนักเกินค่ากำหนด
5. สูบลมยางไม่ถูกต้อง
6. เปลี่ยนยางใหม่แต่ใช้จุ๊บเติมลมอันเก่า
7. ยางร้อนจัดเนื่องมาจากเบรกติดที่ล้อใดล้อหนึ่ง  กรณีนี้อาจทำให้เกิดไฟไหม้รถได้
8. ผู้ขับขี่ซื้อยางเปอร์เซ็นต์มาใส่
9. เลือกใช้ยางไม่ถูกขนาด  เช่น  เอายางรถเก๋งมาใส่รถปิกอัป  เป็นต้น
10. แก้มยางเสียดสีกับขอบถนน
อาการเตือนก่อนที่ยางจะระเบิด
ขณะที่คุณขับรถอยู่  ถ้าปรากฏว่าพวงมาลัยสั่นสะเทือนผิดปกติและบังคับรถได้ยากโดยเฉพาะในขณะเลี้ยว  ทั้ง ๆ  ที่ไม่มีปัญหาเรื่องถ่วงล้อและศูนย์ล้อหน้าก็เป็นปกติ  ลูกหมากไม่หลวม  ขณะขับมาตอนแรก ๆ  พวงมาลัยไม่สั่น  อาการนี้เป็นสิ่งบอกเหตุว่ายางรถยนต์เริ่มบวมพร้อมจะระเบิดแล้ว  ควรชะลอความเร็วและจอดรถในบริเวณที่ปลอดภัย  ลงจากรถ  แล้วรีบตรวจสภาพยางทันที  ซึ่งโดยส่วนมากจะพบว่ายางร้อนจัดและบวมเนื่องจากเสื่อมสภาพ
ข้อสังเกตการซื้อยางจากร้าน
• ยางเปอร์เซ็นต์หมายถึงยางที่ใช้แล้ว  โดยร้านยางรับซื้อมาจากผู้ที่มาเปลี่ยนยางใหม่  จำนวนเปอเซ็นต์จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความลึกลับของดอกยางถ้าดอกยางสึกจนถึงสะพานยางซึ่งเป็นแถบอยู่ในร่องยาง  แสดงความลึกของดอกยางเหลือเพียง  1.6  มิลลิเมตร  ถือว่ายางเส้นนี้เท่ากับศูนย์เปอร์เซ็นต์  คุณควรเปลี่ยนยางใหม่ได้แล้ว  ไม่ควรใช้ต่อไป  เพราะอันตรายมาก  เนื่องจากยางไม่สามารถรีดน้ำได้ในขณะฝนตก  ทำให้รถไม่เกาะถนนและลื่นไถลได้ง่ายขณะเบรก
• ร้านยางบางแห่งนำยางที่หมดดอกมาแกะใหม่แล้วนำมาขายในราคาถูก  ถ้าผู้ขับขี่ไปซื้อมาใส่รถอาจทำให้ยางระเบิดได้  มีวิธีสังเกตง่าย ๆ  ว่าร้านยางนำยางที่หมดดอกมาแกะใหม่หรือไม่  โดยดูที่ร่องดอกยาง  ถ้าไม่มีสะพานยางติดอยู่แสดงว่านำยางที่หมดดอกมาแกะใหม่  ต้องระวังให้ดี
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์


10 ข่าวล่าสุด  
ยางระเบิดในขณะเวลาขับรถ..ทำอย่างไร!?!?
วิธีปฏิบัติตัวเมื่อรถยนต์เกิดอุบัติเหตุ
20 คำถามกับการเคลม ประกันรถยนต์
เรื่องน่ารู้ วิธีติดต่อขอรับเคลม ประกันภัยรถยนต์
HONDA CIVIC ซิวรางวัลความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP?
ตอบข้อสงสัย ทำไมต้องทำประกันภัยรถยนต์ !!
การดูแลรักษาภายในรถยนต์
ทดสอบรถยนต์สปอร์ตไฮบริด Honda CRZ ตอนแรกกับการรีวิว รูปลักษณ์ เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง
โดน ชนแล้วหนี ทำตัวอย่างไร!?!?
เคล็ดลับ .. ก่อนสอบใบขับขี่

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีปฏิบัติตัวเมื่อ รถยนต์เกิดอุบัติเหตุ



วิธีปฏิบัติตัวเมื่อ รถยนต์เกิดอุบัติเหตุ

ทำอย่างไรเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
1. ตั้งสติให้มั่น โทรศัพท์แจ้งบริษัท ประกันภัยรถยนต์ พร้อมจดชื่อผู้รับแจ้ง วัน เวลาทุกครั้ง
2. ขอชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และทะเบียนรถคู่กรณีทุกครั้ง
3. ท่านควรใช้โทรศัพท์เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่สำรวจอุบัติเหตุอาจจำเป็นต้องโทรศัพท์หาท่านเพื่อสอบถามราย ละเอียดเส้นทางจากท่าน
4. ถ้าลักษณะอุบัติเหตุไม่แน่ชัด ไม่มีฝ่ายใดยอมรับผิด อย่าเคลื่อนย้ายรถออกจากที่เกิดเหตุ ให้แจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจทำเครื่องหมายแสดงตำแหน่งรถทั้งสอง ฝ่ายก่อน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งแยกถึงจะเคลื่อนรถออกจากที่เกิดเหตุ และไม่ควรยินยอมหรือทำการตกลงใด ๆ ก่อนได้รับคำยินยอมจากเจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยรถยนต์
5. รอพนักงานสำรวจอุบัติเหตุหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดำเนินการตรวจสอบความเสีย หาย ณ ที่เกิดเหตุ และพนักงานของบริษัท ประกันภัยรถยนต์ จะออกหลักฐานการ จัดซ่อมให้ หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานรับแจ้งอุบัติเหตุ โดยทุกครั้งจะได้รับเลขที่และชื่อผู้รับแจ้งเหตุเพื่อไว้อ้างอิงในการติดต่อ คราวต่อไป หากมีผู้บาดเจ็บควรนำส่งโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลใกล้เคียงโดยเร็ว
6. เมื่อตรวจสอบแล้วผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด บริษัท ประกันภัยรถยนต์ จะชดใช้ความเสียหายสำหรับรถยนต์ที่เอาประกันภัยและรถยนต์ของคู่กรณี รวมถึงหากมีความบาดเจ็บหรือการสูญเสียชีวิตภายใต้ความคุ้มครองที่ซื้อไว้ หากผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกบริษัทจะชดใช้ความเสียหายของรถยนต์ของผู้เอา ประกันภัยรวมถึงค่ารักษาพยาบาลภายใต้ความคุ้มครองของพระราชบัญญัติคุ้มครอง ผู้ประสบภัยจากรถ ส่วนที่เกินผู้เอาประกันภัยสามารถเรียกร้องได้จากคู่กรณีโดยตรง
7. การซ่อมรถ ก่อนทำการซ่อมผู้เอาประกันภัยจะต้องนำรถไปให้บริษัท ประกันภัยรถยนต์ ตรวจสอบความเสียหาย พร้อมประเมินราคาก่อนซ่อม หากมีอู่ประจำสามารถให้อู่นั้นเสนอราคาพร้อมนำใบเสนอราคามาตกลงค่าซ่อมด้วย การซ่อมอู่นอก ผู้เอาประกันภัยต้องเป็นผู้สำรองจ่ายค่าซ่อมไปก่อน แล้วนำใบเสร็จรับเงินมาแสดงต่อบริษัทเพื่อทำการจ่ายคืนให้ ยกเว้นกรณีอู่นอกนั้นยินยอมรับค่าซ่อมจากบริษัทโดยตรง และให้นำรถมาตรวจสอบ การซ่อมทั้ง 2 กรณี

กรณีเป็นผู้เห็นเหตุการณ์
ผู้เห็นเหตุการณ์ขอให้รีบนำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ที่ใกล้และสะดวกที่สุด เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว และไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายโดยแจ้งว่าเป็นผู้บาดเจ็บโดยอุบัติเหตุจาก รถควรตรวจดูว่ารถคันที่ก่อให้เกิดเหตุ มีการ ประกันภัยรถยนต์ หรือไม่มี ประกันภัยรถยนต์ กับบริษัทอะไร เลขที่เท่าใด จำทะเบียนรถ เพื่อที่จะแจ้งกับโรงพยาบาลและบริษัท ประกันภัยรถยนต์ ได้ถูกต้อง

กรณีมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
1. ต้องแจ้งบริษัท ประกันภัยรถยนต์ ให้ทราบรายละเอียดและไม่ควรเจรจาตกลงใด ๆ จนกว่าจะได้รับความยินยอมจากบริษัทฯ
2. หากท่านจะต้องถูกควบคุมตัวและซื้อความคุ้มครองประกันตัวในคดีอาญา บริษัท ประกันภัยรถยนต์ จะนำหลักทรัพย์มาประกันตัวท่านโดยเร็ว
3. พนักงานสอบสวนไม่มีสิทธิ์ควบคุมตัวหากไม่มีผู้บาดเจ็บสาหัสต้องรักษาเกิน 20 วัน
4. ช่วยเหลือนำส่งผู้ประสบภัยหรือแจ้งหน่วยกู้ภัยหรือโรงพยาบาล
5. ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามความเหมาะสม


กรณีถูกชนแล้วคู่กรณีหลบหนี
1. จดหมายเลขทะเบียนรถคู่กรณี และบันทึกวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุไว้
2. แจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุ โดยระบุในใบแจ้งความว่า เพื่อดำเนินคดี
3. แจ้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ตามปกติ

ข้อมูลสำหรับแจ้ง บริษัทประกันภัยรถยนต์
ควรจัดเตรียมรายละเอียดได้แจ้งเจ้าหน้าที่ของบริษัท ประกันภัยรถยนต์ เพื่อมิให้เกิดความล่าช้า หรือขลุกขลัก ดังต่อไปนี้
1. ชื่อผู้เอาประกันภัย และหมายเลขกรม
ธรรม์
2. เลขทะเบียน ยี่ห้อ และสีของรถประกัน
3. ชื่อคนขับ และสาเหตุการเกิดโดยย่อ
4. สถานที่เกิดเหตุ จุดที่สังเกตุเห็นได้ชัด และจุดนัดหมาย (กรณีต้องรอเจ้าหน้าที่บริษัท ประกันภัยรถยนต์ )
5. ถามชื่อผู้รับแจ้ง พร้อมเวลาที่แจ้ง

กรณีรถสูญหาย
1. รีบแจ้งให้บริษัท ประกันภัยรถยนต์ ทราบทันที
2. แจ้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถ โทร. 0-2245-9059, 0-2245-6951
3. แจ้ง จส.100 โทร. 1137 หรือแจ้ง ร่วมด้วยช่วยกัน โทร. 1677

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

20 คำถามกับการเคลม ประกันรถยนต์

20 คำถามกับการเคลม ประกันภัยรถรถยนต์
1. การเคลมแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร
แบ่งง่ายๆ เป็น 2 ประเภท ได้แก่เคลมสดและเคลมแห้ง
เคลมสด คือ เคลมที่ต้องการพนักงานออกตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุ ได้แก่ เกิดเหตุมีคู่กรณี หรือมีผู้บาดเจ็บ หรือ รถประกันหรือรถคู่กรณีเสียหายมาก ซึ่งเคลมประเภทนี้ ผู้ขับขี่รถประกันหรือรถคู่กรณีจะได้รับใบหลักฐานในการติดต่อค่าเสียหายจากพนักงาน ตรวจสอบอุบัติเหตุ ซึ่งสามารถนำไปติดต่อซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทฯได้ทันที
เคลมแห้ง คือ เคลมที่ไม่ต้องการพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุออกตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุ ได้แก่ รถประกันเสียหายเล็กน้อยและไม่มีคู่กรณี ซึ่งเคลมประเภทนี้ ผู้ขับขี่รถประกันสามารถนำรถประกันเข้าไปติดต่อซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทฯได้ตลอดเวลาที่ผู้ ขับขี่สะดวก แต่ทั้งนี้ต้องก่อนกรมธรรม์หมดอายุ
http://www.insureonthespot.com/PRI/uploads/public/1/images/CLAIMS%20PICT.jpg
2. กรณีเป็นเคลมสด จะมีขั้นตอนและเงื่อนไขอย่างไรบ้าง
กรณีเป็นเคลมสด สามารถนำรถประกันหรือรถคู่กรณีพร้อมกับใบหลักฐานในการติดต่อค่าเสียหายที่ได้รับจากพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุ พร้อมด้วยเอกสารอื่นๆ
ที่พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุร้องขอ เข้าซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทฯ ซึ่งอู่ในเครือฯจะทำการเสนอราคาเพื่อขออนุมัติ ค่าซ่อมผ่านระบบ Internet ได้ทันที
3. กรณีเป็นเคลมแห้ง จะมีขั้นตอนและเงื่อนไขอย่างไรบ้าง
กรณี เป็นเคลมแห้ง ผู้ขับขี่รถประกันสามารถนำรถประกันเข้าซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทฯได้ทันที โดยนำเอกสารดังต่อไปนี้ ติดต่อซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทฯ ได้แก่ ใบขับขี่ กรมธรรม์และสำเนาทะเบียนรถ ซึ่งอู่ในเครือจะขอเปิดเคลมและเสนอราคาเพื่อขออนุมัติค่าซ่อมผ่านระบบ Internet ได้ทันที
4. การนำรถเข้าซ่อม มีกำหนดระยะเวลาหรือไม่ อย่างไร
กรณีเป็นเคลมสด เพื่อความรวดเร็วในการอนุมัติซ่อมและการซ่อม จะต้องนำรถเข้าซ่อมภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ
กรณีเป็นเคลมแห้งต้องนำรถเข้าซ่อมก่อนกรมธรรม์หมดอายุ
5. กรมธรรม์ซ่อมห้างแตกต่างจากกรมธรรม์ซ่อมอู่อย่างไร
โดยปกติกรมธรรม์รถยนต์ หากเกิดอุบัติเหตุก็สามารถนำรถซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทฯ ซึ่งจะได้รับความสะดวกในเรื่องการติดต่อ การอนุมัติราคาและเอกสาร ตลอดจนการรับประกัน คุณภาพการซ่อม โดยเรียกกรมธรรม์ประเภทนี้ว่า “กรมธรรม์ซ่อมอู่ในเครือ” ส่วนกรมธรรม์อีกประเภทหนึ่งคือ “กรมธรรม์ซ่อมห้าง” ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุ ทางผู้เอาประกันสามารถ นำรถเข้าซ่อมที่ศูนย์บริการ(ห้าง)ในเครือของบริษัทฯได้ ซึ่งกรมธรรม์ประเภทนี้ ก็จะมีเงื่อนไขและข้อจำกัดในการรับประกันภัยแตกต่างกันไป และจะมีค่าเบี้ยประกันสูงกว่ากรมธรรม์ปกติ 20-30%
กรณี เป็นกรมธรรม์ซ่อมอู่แล้วนำรถประกันไปซ่อมที่ศูนย์บริการ ผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบส่วนต่างราคาค่าซ่อม จากการซ่อมอู่ในเครือของบริษัทฯ
6. การซ่อมรถประกัน จำเป็นต้องซ่อมอู่ในเครือหรือศูนย์บริการ(ห้าง)ในเครือหรือไม่ แตกต่างกันอย่างไร
ไม่จำเป็น แต่การเข้าซ่อมอู่หรือศูนย์บริการที่ไม่ใช่ในเครือ หรือเป็นคู่สัญญากับทางบริษัทฯ จะมีความแตกต่างใน 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่หนึ่ง การอนุมัติราคาค่าซ่อม บริษัทฯจะอนุมัติราคาค่าซ่อมให้เท่ากับการซ่อมกับอู่หรือศูนย์บริการในเครือ ดังนั้นหากมีส่วนต่างค่าซ่อม ทางผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบ ในส่วนแตกต่างดังกล่าวเอง และในกรณีต้องมีการเปลี่ยนอะไหล่ ทางอู่นอกเครือดังกล่าว จะต้องเป็นผู้จัดหาอะไหล่ตามที่บริษัทฯได้อนุมัติไปแล้วเอง โดยจะต้องคิดส่วนลดราคาอะไหล่ ให้เท่ากับร้านอะไหล่ในเครือของบริษัทฯ
ส่วนที่สอง ผู้เอาประกันหรือเจ้าของรถต้องนำเรื่องเข้ามาติดต่อหรือคุมราคาหรือตั้งเบิก ด้วยตนเอง แต่อย่างไรก็ตามสามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทนก็ได้ โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ กรณีเป็นเคลมสด ผู้เอาประกันฯหรือเจ้าของรถต้องนำรถประกันหรือรถคู่กรณีพร้อมใบเสนอราคาค่า ซ่อมเข้ามาติดต่อที่สำนักงานหรือสาขาของบริษัทฯ (ยกเว้นกรณีเป็นศูนย์ บริการ ทางบริษัทฯจะจัดเจ้าหน้าที่ออกอนุมัติราคาให้ที่ศูนย์ฯ ภายหลังจากที่ได้รับใบเสนอราคาค่าซ่อมจากทางศูนย์ฯ) แต่หากไม่สามารถเข้ามาติดต่อได้ด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจให ้ผู้อื่นมาทำแทนได้ กรณีเป็นเคลมแห้ง ผู้ขับขี่รถประกันต้องนำรถเข้ามาเปิดเคลมที่สำนักงานหรือสาขาของบริษัทฯพร้อมกับตกลงราคาค่าซ่อม
7. ค่า Excess หรือ Deductible และส่วนร่วมทำสี คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร
ในส่วนของค่า Excess หรือ Deductible คือ ค่าเสียหายส่วนแรก เป็นการระบุจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบความเสียหายเอง โดยรับผิดชอบไม่เกินจำนวนเงินที่ระบุ
ในส่วนที่เกินกว่านั้น บริษัทประกันภัย จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ทั้งนี้ไม่เกินวงเงินคุ้มครองตามกรมธรรม์ โดยค่าเสียหายส่วนแรกนี้ แบ่ง เป็น 2 กรณี
- ค่า Excess หรือ Deductible ที่ผู้เอาประกันระบุในกรมธรรม์ ในกรณีนี้จะเป็นข้อตกลงระหว่างผู้เอาประกันและบริษัทประกันภัย ตั้งแต่การเริ่มรับประกันภัยแล้ว และผู้เอาประกันจะได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันจากการระบุค่า Excess หรือ Deductible นี้
- กรณีผิดเงื่อนไขของกรมธรรม์ เช่น กรณีไม่สามารถระบุคู่กรณีให้บริษัทฯทราบได้ หรือกรมธรรม์ระบุชื่อผู้ขับขี่ แต่ในขณะเกิดเหตุผู้ขับขี่ไม่ตรงตามชื่อที่ระบุในกรมธรรม์ ในส่วนของค่าส่วนร่วมทำสี โดยส่วนใหญ่จะเกิดขั้นจาก พนักงานฝ่ายราคาตรวจสอบรถประกันแล้วพบว่าเป็นความเสียหายใน 2 กรณี ดังนี้
ส่วนที่หนึ่ง รถ ประกันสีเสื่อมจึงต้องเรียกเก็บค่าส่วนร่วมทำสี เนื่องจากกรมธรรม์รถยนต์จะคุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุเท่านั้น ไม่ได้คุ้มครองการเสื่อมสภาพ จากการใช้งาน หรือความเสียหายที่คาดหมายได้อยู่แล้วว่ารถทุกคันก็จะมีความเสียหายลักษณะ นั้นๆ อย่างไรก็ตามบริษัทฯก็จะพิจารณาการร่วมรับผิดชอบระหว่างบริษัทฯและผู้เอาประกันตามความเหมาะสม โดยจะพิจารณาจากประวัติของผู้เอาประกันเป็นหลัก
ส่วนที่สอง กรณีที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า ความเสียหายเกิดจากอุบัติเหตุทั้งหมดหรือไม่ อย่างไร จึงต้องเป็นการประนีประนอมในการรับผิดชอบความเสียหาย ระหว่างบริษัทฯและผู้เอาประกัน โดยปกติจะเกิดร่วมกับกรณีสีเสื่อมสภาพ ในส่วนที่ว่าจะประนีประนอมกันเท่าไหร่ อย่างไร จะขึ้นอยู่กับลักษณะความเสียหาย และประวัติ การเคลมของผู้เอาประกันภัยแต่ละรายเป็นหลัก
8. การร่วมรับผิดชอบต่อส่วนเสื่อมสภาพหรือส่วนสึกหรอ คืออะไร มีอะไรบ้าง และร่วมรับผิดชอบอย่างไร
เนื่องจากกรมธรรม์รถยนต์ ไม่ได้คุ้มครองการเสื่อมสภาพและการสึกหรอจากการใช้งาน อย่างไรก็ตามยังมีรายละเอียดและข้อยกเว้นที่บริษัทฯ จะพิจารณาการร่วมรับผิดชอบ
ระหว่างบริษัทฯ และผู้เอาประกันตามความเหมาะสมและยุติธรรม เช่น
กรณี ชิ้นส่วนของรถประกันผุ แต่รถประกันเกิดอุบัติเหตุเป็นเคลมสด ในส่วนของการผุทางผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเอง โดยทางบริษัทจะรับผิดชอบค่าทำสีเท่านั้น
กรณี ชิ้นส่วนอะไหล่ที่มีการเสื่อมสภาพหรือสึกหรอจากการใช้งานอยู่แล้ว กล่าวคือ แม้ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุทางผู้เอาประกันก็ต้องทำการเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นดัง กล่าว ตามตาราง
บำรุงรักษารถโดยปกติ เช่น
- กรณี ชิ้นส่วนอะไหล่ที่มีส่วนประกอบเป็นยางต่างๆ เช่น ลูกยาง ลูกหมาก หากเป็นการเปลี่ยนอะไหล่ตามสภาพรถแล้ว ก็จะไม่ถูกเรียกเก็บส่วนเสื่อมหรือส่วนสึกหรอ จากผู้เอาประกันแต่อย่างใด แต่หากเป็นการเปลี่ยนอะไหล่แท้ใหม่ จะต้องทำการหักส่วนเสื่อมสภาพ ตามสภาพของอะไหล่แต่ละชิ้นตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่ ยางรถยนต์ ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วยางแตก ถ้าบริษัทฯรับผิดชอบเป็นยางเปอร์เซ็นต์ ทางผู้เอาประกันก็ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบในส่วนเสื่อมสภาพ แต่หากเป็นการเปลี่ยนยางใหม่ บริษัทฯจะรับผิดชอบค่ายาง 50% (กรณีรถประกันยางแตก กรมธรรม์รถยนต์ไม่ได้คุ้มครองต่อตัวยาง แต่หากยางแตกแล้วรถประกันเสียหลักเฉี่ยวชนกับรถคันอื่น กรมธรรม์คุ้มครองต่อความเสียที่ตามมาจากยางแตก)
- ส่วน ประกอบที่เป็นน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่อง บริษัทฯไม่สามารถรับผิดชอบได้ เนื่องจากโดยวิธีปฏิบัติแล้ว สามารถถ่ายน้ำมันเครื่องเพื่อนำกลับมาเติมให้ใหม่ได้ แต่หากน้ำมันเครื่องเสียหายจากอุบัติเหตุครั้งนั้นๆ ไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก บริษัทฯจะร่วมรับผิดชอบ 50%
9. กรณีรถประกันเสียหาย โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ทำให้เสียหาย หรือคู่กรณีหลบหนี หรือจำรายละเอียดไม่ได้ จะต้องดำเนินการอย่างไร
หาก เกิดกรณีดังกล่าว ทางผู้ขับขี่หรือผู้เอาประกันต้องทำการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อตรวจสอบ ติดตามและดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัย แต่หากยังไม่สามารถระบุให้บริษัทฯ ทราบถึงผู้ที่ทำให้รถประกันเสียหายได้ ทางผู้เอาประกันก็ต้องรับผิดชอบค่า Excess หรือ Deductible ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ จำนวน 2,000 บาท ในทุกกรณีและทุกอุบัติเหตุแต่ละครั้ง
10. Excess หรือ Deductible และส่วนร่วมทำสี ตลอดจนส่วนเสื่อม สามารถลดหย่อนหรืออนุโลมได้ หรือไม่ อย่างไร
ในส่วนของค่า Excess หรือ Deductible คือ ค่าเสียหายส่วนแรก ที่ระบุอยู่ในกรมธรรม์และเป็นเงื่อนไขในกรมธรรม์ชัดเจน ประกอบกับผู้เอาประกันได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันจาก
การระบุค่า Excess หรือ Deductible ไปแล้ว จึงไม่สามารถทำการลดหย่อนหรืออนุโลมได้แต่อย่างใด
ใน ส่วนของค่าส่วนร่วมทำสี เนื่องจากเป็นการพิจาณาร่วมรับผิดชอบระหว่างบริษัทฯและผู้เอาประกันตามความ เหมาะสม จากลักษณะความเสียหาย จากประวัติของผู้เอาประกัน และประวัติการเคลมของผู้เอาประกันภัยแต่ละรายเป็นหลัก ซึ่งพนักงานราคาได้พิจารณาจากปัจจัยแต่ละอย่างได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและยุติธรรมแล้ว
http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ3SMeMz68vgraCl9LPHNAPLGtuuWC4f_F598RTrPzPSTvKxZWe8v0QOi-a

11. กรณีใดจึงจะทำการเปลี่ยนอะไหล่ และมีอะไหล่กี่ประเภท มีเงื่อนไขแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร

กรณีที่จะทำการเปลี่ยนอะไหล่ได้ ชิ้นส่วนดังกล่าวต้องมีความเสียหายมากกว่า 50% และหลักการทั่วไปในการพิจารณา คือ หากอะไหล่เดิมเป็นอะไหล่ประเภทไหน สภาพใด
ทางผู้เอาประกันก็จะได้รับการชดใช้ให้ในสถาพเดิม ดังนี้
ในส่วนของรถที่อายุไม่เกิน 2 ปี จะเป็นการเปลี่ยนอะไหล่ของแท้ใหม่ แต่หากเกิดเหตุหลายครั้ง ภายใน 2 ปี ก็อาจจะต้องพิจารณาเป็นรายการๆไป อย่างเช่นบังโคลนและฝากระโปรงหน้า อาจจะต้องพิจารณาเป็นอะไหล่แท้เก่า อย่างไรก็ตามในกรณีเป็นรถประกันเสียหายมากและเป็นการตกลงราคาเหมาซ่อมทั้ง ค่าแรงและค่าอะไหล่กับทางอู่ผู้รับงานซ่อม การพิจารณา เรื่องอะไหล่จะพิจารณาตามความเหมาะสมและยุติธรรม ทั้งนี้อู่จะเป็นผู้รับผิดชอบงานซ่อมจนเสร็จสมบูรณ์
อย่างไรในส่วนของอะไหล่ที่เกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัย จะต้องเป็นการจัดอะไหล่แท้เท่านั้น เช่นระบบไฟส่องสว่าง ระบบเครื่องยนต์ ระบบช่วงล่าง แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณา จากสภาพรถประกอบด้วย
ใน ส่วนของการเปลี่ยนอะไหล่ที่เป็นอะไหล่นำเข้า บริษัทฯจะรับผิดชอบค่าขนส่งทางเรือเท่านั้น หากเป็นการนำเข้าด้วยวิธีอื่น ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเอง
12. การรถประกันกระจกแตก กรมธรรม์รับผิดชอบและต้องดำเนินการอย่างไร
กรมธรรม์ รับผิดชอบกระจกและฟิลม์ ตามประเภทและรุ่นที่ติดตั้งไว้ก่อนทำประกัน ทั้งนี้ต้องมีเอกสารรับรองที่ถูกต้อง โดยสามารถนำรถเข้าซ่อมหรือเปลี่ยนกระจกที่ร้านในเครือของบริษัทฯได้ตลอดเวลา โดยดำเนินการเช่นเดียวกับกรณีเคลมแห้ง
13. กรมธรรม์ประเภท 1 สามารถทำสีรอบคันได้หรือไม่
กรมธรรม์รถยนต์ให้ความคุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น ไม่รับผิดชอบการเสื่อมสภาพจากการใช้งานดังนั้นกรณีที่ลูกค้าแจ้งซ่อมทำสีรอบ คัน ต้องตรวจสอบที่ความเสียหาย เป็นหลักว่าเกิดจากอุบัติเหตุหรือไม่ เชื่อถือได้หรือไป
แต่ หากจะเป็นการประนีประนอม ต้องตรวจสอบว่าทำประกันมากี่ปี เคยเกิดทำเคลมมากี่ครั้ง พร้อมตรวจสอบบาดแผลที่ตัวรถประกันว่าเกิดจากเหตุจริง หรือเป็นการแจ้งซ่อมที่ ต้องการปรับปรุงสีใหม่หรือไม่ ถ้าเป็นการทำประกันปีแรกแล้วแจ้งซ่อม จะมีการเรียกเก็บส่วนร่วมอย่างน้อย 50% ของค่าซ่อมทั้งหมด แต่ถ้าทำประกันต่อเนื่องกับทางบริษัทฯ มาหลายปีแล้ว โดยปกติจะเป็นการประนีประนอมในการร่วมรับผิดชอบความเสียหายระหว่างบริษัทฯ และผู้เอาประกัน ในส่วนที่ว่าจะประนีประนอมกันเท่าไหร่ จะขึ้นอยู่กับลักษณะ ความเสียหายและประวัติการเคลมของผู้เอาประกันภัยแต่ละรายเป็นหลัก ซึ่งพนักงานราคาจะเป็นผู้แจ้งส่วนร่วมรับผิดชอบนี้ต่อผู้เอาประกัน โดยทำการพิจารณา จากปัจจัย แต่ละอย่างด้วยความเหมาะสมและยุติธรรม
14. กรมธรรม์รถยนต์ให้ความคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งหรือไม่ อย่างไร
คุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งตามมาตรฐานที่ติดมากับตัวรถเท่านั้น แต่หากมีการตกแต่งเพิ่มเติม ต้องเจ้งให้ บริษัทฯทราบ หากไม่ได้ทำการแจ้ง ทางบริษัทฯก็จะสามารถชดใช้ได้ไม่เกินตามมาตรฐานที่ติดมากับตัวรถเท่านั้น อย่างไรก็ตามฝ่ายรับประกันภัย จะกำหนดความคุ้มครองไว้ไม่เกิน 10% ของทุนประกัน และสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
15. กรณีรถประกันมีความเสียหายก่อนทำประกันหรือแผลเก่า สามารถเคลมได้หรือไม่อย่างไร
แผลเก่าที่เกิดก่อนทำประกัน ในกรณีนี้ถ้าเป็นการแจ้งซ่อมหรือเคลมแห้ง ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุเคลมสดทางบริษัทฯไม่สามารถรับผิดชอบได้ เนื่องจากมีแผลก่อนทำประกัน
แต่ถ้าเกิดเหตุเป็นเคลมสดโดยซ้ำแผลเดิมและเสียหายมากกว่า ถ้าเสียหายไม่มากเห็นควรรับผิดชอบค่าซ่อมฝ่ายละ 50% แต่ถ้าความเสียหายชิ้นนั้นต้องเปลี่ยนอะไหล่
ทางบริษัทรับผิดชอบในส่วนของค่าอะไหล่ แต่ค่าทำสีทางผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเองหรือร่วมรับผิดชอบ 50% แล้วแต่ระดับความเสียหายของแต่ละกรณี
16. การเบิกเงินค่าซ่อม ต้องดำเนินการอย่างไร ระยะเวลาในการเบิกเป็นอย่างไร
โดยปกติการซ่อมกับอู่ในเครือของบริษัทฯ ทางอู่จะเป็นผู้ดำเนินการให้ทั้งหมด เนื่องจากอู่เป็นคู่สัญญากับบริษัทฯอยู่แล้ว แต่หากเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันได้สำรองจ่ายค่าใช้จ่าย บางอย่างไป หรือการเข้าซ่อมอู่นอกเครือ ทางผู้เอาประกันสามารถเบิกค่าซ่อมคืน โดยการนำรถประกัน เอกสารรายละเอียดการซ่อม การอนุมัติราคา พร้อมเอกสารประจำตัว มาติดต่อที่สาขาของบริษัทฯ และหากเป็นการมอบอำนาจอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการ ต้องนำรถประกันพร้อมเอกสารต่อไปนี้ ติดต่อที่สำนักงานหรือสาขาของบริษัทฯ
- สำเนาบัตรประชาชนผู้เอาประกัน
- สำเนาใบอนุญาตขับขี่ ผู้ขับขี่รถประกัน
- หนังสือมอบอำนาจ
- สำเนาบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ
- สำเนาทะเบียนรถ
- สำเนากรมธรรม์(กรณีเป็นรถคู่กรณี)
- ภาพถ่ายความเสียหาย
- ภาพถ่ายขณะซ่อม
- ภาพถ่ภาพถ่ายซากอะไหล่
- ภาพถ่ายซ่อมเสร็จ
โดยระยะเวลาในการเบิก ค่าใช้จ่ายคืนเป็น ดังนี้
- ค่าซ่อม จ่ายคืนอู่ จ่ายคืนภายใน 35 วัน
- ค่าใช้จ่ายต่างๆ จ่ายคืนผู้เอาประกันหรือชื่อบุคคล จ่ายคืนภายใน 15 วันทำการ
ทั้งนี้ในกรณีค่าซ่อม น้อยกว่า 5,000 บาท ทางผู้เอาประกันภัยหรือเจ้าของรถสามารถเบิกค่าซ่อมหรือค่าใช้จ่ายคืนเป็น เงินสดได้ โดยดำเนินการเช่นเดียวกับข้างต้น แต่ทั้งนี้ต้องเป็น การจ่ายคืน ผู้เอาประกันหรือเจ้าของรถเท่านั้น และหากเป็นกรณีการมอบอำนาจ ต้องระบุให้ชัดเจนในหนังสือมอบอำนาจว่าให้รับเป็นเงินสดได้
17. ค่ายกลากรถประกัน
กรณีรถประกันเสียหายมาก ต้องทำการยกลากเข้าอู่ซ่อม ค่าใช้จ่ายในการยกลาก หากผู้ขับขี่ได้สำรองจ่ายไปก่อน สามารถเบิกคืนจากบริษัทฯได้ แต่ทั้งนี้จะไม่เกิน 20% ของค่าซ่อม สาเหตุที่ต้องกำหนดว่าไม่เกิน 20% เพื่อให้เกิดความชัดเจน กรณีมีการยกลากโดยไม่จำเป็น
18. ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ กรมธรรม์รถยนต์ให้ความคุ้มครองหรือไม่ อย่างไร
กรมธรรม์รถยนต์ให้ความคุ้มครองต่อค่ารักษาพยาบาลทั้งในส่วนของผู้บาดเจ็บใน รถประกันเองและบุคคลที่อยู่ภายนอกรถประกันด้วย กรณีรถประกันเป็นฝ่ายผิดในอุบัติเหตุครั้งนั้นๆ โดยคุ้มครองสูงสุดตามที่ระบุในกรมธรรม์ และทางผู้เสียหายใช้สิทธิ์ตามกฏหมายในการเรียกร้องค่าเสียหายอื่นๆเพิ่มเติม จากค่ารักษาพยาบาล ทางบริษัทฯจะจัดเจ้าหน้าที่ ตลอดจน ทนายความ เพื่อร่วมในการเจรจาค่าเสียหายและรับผิดชอบความเสียหายดังกล่าว ทั้งนี้ จะต้องเป็นค่าเสียหายที่สามารถพิสูจน์ได้และประเมินเป็นจำนวนเงินได้
19. การติดต่อเบิกค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ จะต้องดำเนินการอย่างไร
การเบิกค่ารักษาพยาบาล จะแยกเป็น 2 ส่วน กล่าวคือ จำนวน 50,000 บาทแรก จะคุ้มครองด้วยกรมธรรม์ภาค
บังคับหรือ พ.ร.บ. และส่วนเกินจากนี้ จะคุ้มครองด้วยกรมธรรมภาคสมัครใจ
เมื่อมีการเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และมีกรมธรรม์ พ.ร.บ.คุ้มครองอยู่ ทางโรงพยาบาลจะเบิกค่ารักษาฯ เบื้องต้น จำนวน 15,000 บาท จากบริษัทที่รับประกัน พ.ร.บ. ฉบับนั้นๆโดยอัตโนมัติ โดยส่วนที่เกินจากนี้ ทางผู้บาดเจ็บต้องรับผิดชอบค่ารักษาฯ เอง แต่หากผลคดีชัดเจน ทางฝ่ายผิดของอุบัติเหตุนั้นๆจะรับผิดชอบต่อค่ารักษาฯนี้ ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองสูงสุดตามกรมธรรม์
กรณีที่ผู้เอาประกันหรือผู้บาดเจ็บได้ สำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไป สามารถติดต่อเบิกคืน โดยแนบเอกสารดังนี้ไปนี้เพิ่มเติมจากกรณีเบิกค่าซ่อม ได้แก่ บันทึกประจำวัน และใบรับรองแพทย์
20. ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ หรือการนำรถเข้าซ่อมในอู่ สามารถเบิกได้หรือไม่ อย่างไร
กรมธรรม์รถยนต์ให้ความคุ้มครองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อตัวรถประกัน การสูญหาย การถูกไฟไหม้ ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และความคุ้มครองเพิ่มเติมตามเอกสาร แนบท้ายกรมธรรม์อีก แต่ไม่ได้คุ้มครองค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ อย่างไรก็ตามหากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายถูกในอุบัติเหตุครั้งนั้นๆ สามารถใช้สิทธิ์ทางกฏหมายในการเรียกร้อง ค่าเสียหาย โดยตรงจากทางคู่กรณีได้ ทั้งนี้จะต้องเป็นค่าเสียหายที่สามารถพิสูจน์ได้และประเมินเป็นจำนวนเงินได้
http://comparecompensationclaims.com/images/pictures/artwork/car-accident-claim.jpg
ที่มา:Thaiinsurance.net

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog ,Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress , Asn Broker Journal Blog
 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker?Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

HONDA CIVIC ซิวรางวัลความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP


HONDA CIVIC ซิวรางวัลความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP 
จากการทดสอบการชนด้านหน้าแบบเยื้องศูนย์และได้คะแนน 82% ด้านความปลอดภัยของผู้โดยสารที่เป็นเด็ก (Child Occupant Protection: COP) นับเป็นอีกหนึ่งความความสำเร็จ หลังจากเมื่อปี 2555 ที่ Honda City ผ่านการทดสอบความปลอดภัยระดับ 5 ดาว และด้านความปลอดภัยของผู้โดยสารเด็กได้คะแนน 81%

Honda นำเสนอรถยนต์ที่มีสมรรถนะความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดเล็กและกลาง ถึง 2 รุ่น การทดสอบการชนเพื่อทดสอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยของรถยนต์ของ ASEAN NCAP จัดขึ้นโดยสถาบันวิจัยความปลอดภัยบนท้องถนนของมาเลเซีย (The Malaysian Institute of Road Safety Research: MIROS) กระทรวงคมนาคมโดยนับตั้งแต่ปี 2554 สถาบันวิจัยความปลอดภัยบนท้องถนนของมาเลเซีย ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับ Global NCAP ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรในสหราชอาณาจักรเพื่อมุ่งลดอัตราการเสียชีวิต และการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เร่งสร้างสรรค์ยานยนต์ที่มี ระบบเพื่อความปลอดภัยมากขึ้นรวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลด้านความปลอดภัยของยานยนต์ ที่เชื่อถือได้

สำหรับผู้บริโภคทั่วโลกสถาบันวิจัยความปลอดภัยบนท้องถนนของมาเลเซียเป็นสถาบันอิสระที่มีบทบาทหน้าที่ในการทดสอบการชน
รถยนต์ รุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในกลุ่มประเทศอาเซียน การทดสอบการชนครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่2 (กุมภาพันธ์ – สิงหาคม 2556) ซึ่งเป็นการทดสอบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) และรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) จำนวนทั้งหมด 11 รุ่น รวมรถยนต์ Honda Civic ที่ผลิตในประเทศไทยเพื่อส่งออกให้กับประเทศอินโดนีเซียได้รับเลือกเป็นหนึ่ง ในกลุ่มรถยนต์ทดสอบ โดยรถยนต Honda Civic รุ่นนี้มีสมรรถนะด้านความปลอดภัยเหมือนกับรถยนต์ Honda Civic ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย

นายพิทักษ์พฤทธิสาริกร รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท 
Honda Automobile Thailand Co. ltd กล่าว ว่า “ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ Honda Civic รุ่นปี2013 ผ่านการทดสอบความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ซึ่งเป็นการทดสอบการชนโดย ASEAN NCAP สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Honda ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่มีคุณภาพ และมีระบบความปลอดภัยในระดับสูงสำหรับผู้โดยสารทุกคนทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เพื่อความมั่นใจ และความปลอดภัยในการเดินทาง”


สำหรับ Honda Civic ประกอบด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ G-CON ที่ช่วยจัดการแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการชนด้านหน้า และลดระดับความเสียหายอันเป็นผลมาจากการชนกันระหว่างรถทั้งยังมีอุปกรณ์ความ ปลอดภัย มาตรฐาน เช่น ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านผู้ ขับขี่และผู้โดยสาร ถุงลมคู่หน้า Dual SRS ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ i-Side Airbags ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวVSA และระบบพวงมาลัยพร้อมระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (MotionAdaptive Electric Power Steering System : MA-EPS)* ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทิศทางของตัวรถได้อย่างแม่นยำและช่วยลดการเกิด อาการหน้าดื้อโค้ง หรือท้ายปัด

สำหรับการทดสอบการชน ของASEAN NCAP เป็นการทดสอบการชนทางด้านหน้า ซึ่งรถยนต์ที่เข้าร่วมทดสอบจะพุ่งชนสิ่งกีดขวางซึ่งทำด้วยอลูมิเนียมที่ ความเร็ว 64 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีหุ่นทดสอบขนาดผู้ใหญ่ 2 ตัว นั่งอยู่ด้านหน้า และหุ่นทดสอบขนาดเด็กจำลองอายุ 3 ปี และ 18 เดือน อย่างละ 1 ตัว นั่งอยู่ในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กทางด้านหลังและบันทึกผลการทดสอบด้วยระบบ เซนเซอร์ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ตัวหุ่นทดสอบและที่รถยนต์ จากนั้นจึงเทียบผลที่ได้กับระดับความปลอดภัยของ NCAP.

นอกเหนือไปจาก ความปลอดภัยของตัวรถแล้ว สำนักงานใหญ่ของ Honda ประเทศญี่ปุ่นยังเปิดเผยว่า Honda ได้รับคะแนนสูงสุดด้านการเปิดเผยข้อมูลในกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นจากรายงานการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ 500 บริษัททั่วโลก ประจำปี 2556 โดยซีดีพี (Carbon Disclosure Project)*1 ซึ่งได้วิเคราะห์การดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลก 500 บริษัทในการจัดทำมาตรการเพื่อจัดการปัญหาสภาวะโลกร้อน และการเปิดเผยข้อมูลด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas)ซึ่งผลจากการประเมินความก้าวหน้าด้านการดำเนินงาน และการเปิดเผยข้อมูล รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า Honda เป็นหนึ่งใน 12 บริษัทที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน

รายงานการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศของ 500 บริษัททั่วโลกประจำปี 2556 โดย CDP ระบุว่า Honda เปิดเผยการประเมินข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของบริษัท Honda ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบ การผลิต การจำหน่าย และจากการใช้งานของลูกค้าตลอดทั้งวงจรผลิตภัณฑ์ของสินค้า Honda สอดคล้องตามเกณฑ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Protocol หรือ GHG Protocol นอกจากนี้ Honda ยังเป็นบริษัทแรกของโลกที่เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเกณฑ์ Scope ทั้งหมด ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวทำให้ได้รับการประเมินในระดับสูง ส่งผลให้ Honda ได้รับคะแนนสูงสุดในการเปิดเผยข้อมูลในกลุ่มบริษัทญี่ปุ่น ทั้งยังมีคะแนนการเปิดเผยข้อมูลสูงกว่าปีที่ผ่านมาอีกด้วย

Honda ยังเป็นหนึ่งใน 60 บริษัท ที่อยู่ในรายชื่อบริษัทผู้นำด้านการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CDLI-Carbon DisclosureLeadership Index) อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จึงนับเป็นบริษัทที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก ที่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก นอกจากนี้ Honda ยังเป็นหนึ่งใน56บริษัท ที่อยู่ในรายชื่อบริษัทผู้นำด้านการจัดการก๊าซคาร์บอน (CPLI-Carbon Performance Leadership Index) ทั้งหมดนี้ทำให้ค่ายรถแห่งนี้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานอย่างจริงจังในการ จัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เพื่อบรรลุเป้าหมายตาม วิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของ Honda ในการสร้างสรรค์ "ผลิตภัณฑ์ที่มอบความสุขในการเดินทางให้กับผู้คน”(The Joy and Freedom of Mobility) เพื่อ “การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมอันยั่งยืน”(A Sustainable Society where People Can Enjoy Life) Honda ดำเนินงานเพื่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “ท้องฟ้าที่สดใสเพื่ออนาคตของคนรุ่นต่อไป” (Blue Skies for Our Children) โดย Honda จะขยายการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในแต่ละภูมิภาค และยังคงเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป.
News Update : 2012-09-24
www.asnbroker.co.th
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog , Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress Asn Broker Journal Blog
ขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ  กิจกรรม จับ แจก ฟรี ตั๋วหนัง !! 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker Campaign
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

ตอบข้อสงสัย ทำไมต้องทำประกันภัยรถยนต์ !!

อุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นโรคร้ายที่สามารถป้องกัน และบรรเทาได้ด้วยความไม่ประมาท และทำการประกันภัย ที่นี่ก็มาเข้าเรื่องของเรานะครับ ประกันภัยรถยนต์กับคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ควรทำประกันภัยรถยนต์อย่างไร ?
ในเบื้องต้นที่จะแนะนำ คือ "คนรุ่นใหม่ต้องทำประกันภัยอย่างคนฉลาด" กล่าวคือ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการประกันภัยและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ใน 10 ประเด็นที่สำคัญดังต่อไปนี้
  1. ทำไมต้องทำประกันภัย
  2. ประกันภัยรถยนต์มีกี่ประเภทกี่แบบ แต่ละประเภท มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง
  3. ทำประหยัดเบี้ยประกันภัยได้อย่างไร
  4. จะประกันภัยบริษัทไหนดี
  5. เกิดอุบัติเหตุจะต้องทำอย่างไร
  6. ค่าสินไหมทดแทนที่เป็นธรรมคิดจากอะไร
  7. เข้าอู่ซ่อมที่ไหนไม่ถูกหลอก (ถูกโกง)
  8. ตัวแทน-นายหน้าเป็นใคร
  9. บริษัทเซอร์เวย์ทำหน้าที่อะไร
  10. กรมการประกันภัยช่วยอะไรได้บ้าง
ในแต่ละประเด็นจะได้แนะนำให้รู้รายละเอียดในฉบับต่อๆ ไป ก็ขอให้ติดตามอย่างต่อเนื่องนะครับ สำหรับฉบับนี้จะได้เกรินนำเบื้องต้นก่อน ประกันภัยรถยนต์ในปัจจุบันนี้มีอยู่ 2 ภาค คือ ภาคบังคับ กับ ภาคสมัครใจ
  1. ประกันภัยภาคบังคับ ได้แก่ การประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ปี 2535 หรือที่เราเรียกกันติดปากและเป็นที่เข้าใจกันว่า "ประกันภัยตาม พรบ."
  2. ประกันภัยภาคสมัครใจ ได้แก่ ประกันภัยที่เจ้าของรถสมัครใจทำประกันเพิ่มจากภาคสมัครใจ (พรบ.) ซึ่งสามารถเลือกทำประกันภัยได้หลายประเภท (ประเภท 1, 2, 3, 4 )
ทำไมต้องทำประกันภัยตาม พรบ.
วัตถุประสงค์สำคัญที่มีกฎหมายออกมาบังคับใช้ให้เจ้าของรถทุกคันต้องทำประกันภัยตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พอสรุปได้ 4 ประการ คือ
  • เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากรถ ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต เพราะเหตุประสบภัยจากรถ โดยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที่กรณีบาดเจ็บหรือช่วยเป็นค่าปลงศพกรณีเสียชีวิต
  • เป็นหลักประกันให้กับโรงพยาบาล หรือ สถานพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาล ในการรับรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ
  • เป็นสวัสดิสงเคราะห์ที่รัฐมอบให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย เพราะเหตุประสบภัยจากรถ
  • ส่งเสริมและสนับสนุนให้การประกันภัยเข้ามามีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือนร้อนแก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว
กฎหมายบังคับใครบ้างที่ต้องทำประกันตาม พรบ. ถ้าฝ่าฝื่นจะถูกลงโทษอย่างไร ?
  1. ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยรถ ได้แก่ เจ้าของรถผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถและผู้นำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศ การฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการทำประกันภัยรถ พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ปี. 2535 กำหนดให้ระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาท)
  2. ผู้มีหน้าที่ต้องรับประกันภัย คือ บริษัทประกันวินาศภัยที่รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยรถ ประชาชนสามารถทำประกันภัยรถ พรบ. ได้ที่บริษัทประกันภัยข้างต้นรวมถึงสาขาของบริษัทนั้นๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ที่รับประกันภัยเฉพาะรถจักรยานยนต์ มีสาขาให้บริการทั่วประเทศ บริษัทใดฝ่าฝืนไม่รับประกันภัยรถตาม พรบ. คุ้มครอง ฯ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 50,000-250,000 บาท
รถประเภทใดที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัย พรบ.
มีรถ 4 กลุ่ม ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัยตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเนื่องจากมีองค์กรหรือหน่วยงานต้นสังกัดรับผิดชอบความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอยู่แล้ว (รถคันใดหรือหน่วยงานใดจะทำประกันภัยตาม พรบ. เช่นเดียวกับรถของเอกนทั่วไปก็ได้)
  • กลุ่มแรก คือ รถสำหรับเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ พระรัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
  • กลุ่มที่สอง คือ รถของสำนักพระราชวังที่จดทะเบียน และมีเครื่องหมายตามระเบียบที่เลขาธิการพระราชวังกำหนด
  • กลุ่มที่สาม คือ รถของกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการต่างๆ รถยนต์ทหาร
  • กลุ่มที่สี่ คือ รถของหน่วยงานธุรการขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานธุรการ ที่เป็นอิสระขององค์กรใดๆ ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
News Update : 2012-08-07
www.asnbroker.co.th
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
 
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog , Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress Asn Broker Journal Blog
 
ขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ  กิจกรรม จับ แจก ฟรี ตั๋วหนัง !! 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์