วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ขนส่งฯ เตือน ปชช. อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพออกใบรับรองปลอมทำใบขับขี่

ขนส่งฯ เตือน ปชช. อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพออกใบรับรองปลอมทำใบขับขี่
ขนส่งฯ เตือน ปชช. อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพออกใบรับรองปลอมทำใบขับขี่

ขนส่งทางบก เตือน!! ประชาชนอย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพที่อาสาดำเนินการด้านทะเบียนและใบขับขี่ ระบุ มีการตรวจพบใบรับรองผลการเรียนขับรถจากโรงเรียนสอนขับรถเอกชนปลอม ย้ำการใช้เอกสารราชการปลอมมีความผิดตามกฎหมาย...
เมื่อวันที่ 9 ก.ค.58 นายสุชาติ กลิ่นสุวรรณ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า เนื่องด้วยในขณะนี้มีการตรวจสอบพบ การนำใบรับรองผลการเรียนขับรถปลอม มาใช้เป็นหลักฐานเพื่อขอรับใบอนุญาตขับรถ โดยในเบื้องต้น พบว่าใบรับรอง ผลการเรียนดังกล่าว เป็นการปลอมแปลงเอกสารขึ้น จากกลุ่มมิจฉาชีพที่รับจ้างอาสาออกใบรับรองการเรียนขับรถจากโรงเรียนสอนขับรถ ที่กรมการขนส่งทางบกให้การรับรอง ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กรมการขนส่งทางบกได้ประสานกับโรงเรียนสอนขับรถเอกชนที่ถูกแอบอ้างชื่อ เพื่อให้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างกระบวนการสืบสวนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบก ขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ ผู้ที่แอบอ้างว่าสามารถออกเอกสารรับรองที่สามารถนำมาแสดงเป็นหลักฐาน เพื่อขอรับใบอนุญาตขับรถกับกรมการขนส่งทางบกได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากกรมการขนส่งฯ มีระบบการตรวจสอบเอกสารหลักฐานทางราชการอย่างเข้มงวด ทั้งยังมีระบบงานภายในที่สามารถตรวจสอบข้อมูลผลการเรียน และผลการทดสอบจากโรงเรียนสอนขับรถได้ตลอดเวลา


ดังนั้น หากตรวจสอบพบการนำเอกสารรับรองปลอมมาแสดงเป็นหลักฐานกับทางราชการ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญาฐานใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา 268 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหมายรวมถึงการใช้ใบอนุญาตขับรถปลอมด้วย ส่วนผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหาย ผ่านสื่อออนไลน์ มีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ตามมาตรา 14 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า หนังสือรับรองผลการเรียนที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานสำหรับขอรับใบอนุญาตขับรถได้นั้น ต้องออกโดยโรงเรียนสอนขับรถเอกชนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น โดยผู้เรียนต้องผ่านการอบรม และทดสอบตามหลักสูตรที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด จึงจะได้รับใบรับรอง ผลการเรียนและผลการทดสอบ เพื่อนำมาแสดงเป็นหลักฐานในการขอรับใบอนุญาตขับรถกับกรมการขนส่งฯ

ปัจจุบัน มีโรงเรียนสอนขับรถเอกชนที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง จำนวน 53 แห่งทั่วประเทศ โดยกรมการขนส่งทางบก และสำนักงานขนส่งจังหวัด จะควบคุมตรวจสอบการทำงานของโรงเรียนอย่างเข้มงวด กำหนดให้มีการรายงานผลการอบรมและผลการทดสอบของผู้เรียนตลอดจนจบหลักสูตร มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้องทดสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ หากมีการตรวจสอบพบการทุจริตไม่ว่าจะในกระบวนการใดก็ตาม กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการระงับใช้หรือ เพิกถอนหนังสือรับรองโรงเรียนสอนขับรถเอกชนทันที นอกจากนี้ กรมฯ ยังเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนสามารถอบรมเฉพาะภาคทฤษฎีกับสถาบันการศึกษาของรัฐที่ทำความตกลงกับกรมการขนส่งฯ ซึ่งจะได้รับใบรับรองผ่านการอบรมมาแสดงเป็นหลักฐานเพื่อขอรับการทดสอบขับรถกับกรมการขนส่งฯ ต่อไป

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบก ได้พัฒนาปรับปรุงการให้บริการประชาชน โดยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งปรับปรุงรูปแบบ การทํางานให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว เป็นธรรม และโปร่งใส ดังนั้น ขออย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างอาสาดําเนินการแทน หรือรับปลอมแปลงเอกสารทางราชการโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการสนับสนุนมิจฉาชีพโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด.
ที่มา http://www.asnbroker.co.th

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

น่าวิตก! เว็บนอกเตือนซ้ำ กรุงเทพฯจมแน่ ถ้าไม่รีบแก้ไข

น่าวิตก! เว็บนอกเตือนซ้ำ กรุงเทพฯจมแน่ ถ้าไม่รีบแก้ไข
น่าวิตก! เว็บนอกเตือนซ้ำ กรุงเทพฯจมแน่ ถ้าไม่รีบแก้ไข
 คนไทยอ่านแล้วคงตกใจ... เว็บไซต์นอกเตือนดังๆ ซ้ำอีก ‘กรุงเทพฯกำลังจมน้ำ’ อ้างผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติของไทยเตือนมานานหลายปีแล้ว ภัยพิบัติน้ำท่วมกำลังมาถึงกรุงเทพฯ พร้อมชี้ทางออก ให้ 2 ข้อ ไม่สร้างกำแพงกั้นน้ำ ก็อพยพคนกรุงฯทั้งหมดไปอยู่บนที่สูงกว่าเดิม
เว็บไซต์ต่างประเทศ towleroad.com เสนอรายงานชี้ชะตาอนาคตของ กรุงเทพฯกำลังจะจมหายไปในโลก โดยระบุว่า เมืองหลวงของประเทศไทยซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่เกือบ 10 ล้านคน เป็นเมืองที่มี 2 ด้าน คือด้านหนึ่ง เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ทันสมัย ชวนมอง แต่อีกด้านกลับเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแข็งกระด้าง เพราะมีแต่ตึกอาคารติดกระจกและปูนซีเมนต์เต็มไปหมด
ที่สำคัญ อาคารที่ก่อสร้างด้วยเหล็กและคอนกรีตเหล่านี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ลุ่ม ฐานล่างของดินมีลักษณะเป็นรูพรุนและชุ่มน้ำ ซึ่งลองจินตนาการดูว่า ตึกที่ตั้งอยู่บนก้อนเค้กวันเกิดนั้นจะเป็นอย่างไร นั่นล่ะ กรุงเทพฯ และมีสัญญาณเตือนแล้วว่า มันกำลังจะจมหายไปในโลก
towleroad.com ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายคนในประเทศไทยได้เตือนถึงภัยพิบัติที่กำลังมาถึงกรุงเทพฯหลายปีมาแล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งกล่าวว่า เขามีความกังวลใจเกี่ยวกับกรุงเทพฯว่าเกือบจะเหมือนกับชะตากรรมของเกาะแอตแลนติส ซึ่งเคยตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกสมัยดึกดำบรรพ์ ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติอีกคนเคยกล่าวกับนักข่าวโกลบอล โพสต์ก่อนหน้านี้ว่า กรุงเทพฯจะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 5 ฟุต ในปี 2573 หรือ 15 ปีข้างหน้า
น้ำท่วมกรุงเทพฯปี 2554
ตามรายงานใน towleroad.com ชี้ว่า ก่อนหน้านี้ มีการคาดประมาณว่ากรุงเทพฯกำลังจมน้ำมากขึ้นทุกปี ปีละกว่า 3 นิ้ว แต่ข้อมูลใหม่ชี้ว่า อัตราการจมน้ำของกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 4 นิ้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีการทำนายอนาคตของกรุงเทพฯในอีก 85 ปีข้างหน้่า หรือ พ.ศ.2643 ว่าสถานการณ์เลวร้ายมาก เพราะกรุงเทพฯจะจมอยู่ใต้น้ำทะเลทั้งหมดและไม่สามารถจะอยู่อาศัยได้อีกต่อไป
อนาคตกรุงเทพฯจะเป็นอย่างไร??
นอกจากนั้น จากภาวะโลกร้อน จะยิ่งเป็นปัจจัยทำให้ระดับน้ำในทะเลสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สถานการณ์กรุงเทพฯ กำลังจะจมน้ำรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติได้เสนอทางออกในการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯไว้ 2 ทางเลือก คือ ประการแรก การก่อสร้างกำแพงกั้นน้ำโดยตรง ซึ่งจะใช้งบประมาณถึงเกือบ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (99,000 ล้านบาท) หรือคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปัจจุบัน ส่วนทางเลือกที่ 2 คือ การอพยพประชาชนในกรุงเทพฯทั้งหมดย้ายไปอยู่บนที่สูงกว่านี้
ที่มา http://www.thairath.co.th/

10 จุดเสี่ยงรถหายในกรุงเทพ 5 รุ่นรถยนต์ที่ถูกขโมยมากที่สุดในกรุงเทพฯ

10 จุดเสี่ยงรถหายในกรุงเทพ 5 รุ่นรถยนต์ที่ถูกขโมยมากที่สุดในกรุงเทพฯ
10 จุดเสี่ยงรถหายในกรุงเทพ 5 รุ่นรถยนต์ที่ถูกขโมยมากที่สุดในกรุงเทพฯ

รถหายเป็นภัยใกล้ตัวของเหล่าเจ้าของรถยนต์ทุกท่านนะครับ การที่เราจะได้รถยนต์สักคันมาครอบครอง แลกหยาดเหงื่อแรงกายกี่ปี ไหนจะต้องมีค่าบำรุง ค่าซ่อม ค่าน้ำมันอีก จอดเอาไว้ครู่เดียว กลับมาถึงมันหายไปเสียแล้ว! เจอแบบนี้ก็น้ำตาตกกันไปตามๆ กันนะครับ
วันนี้ เรามี 5 อันดับรถยนต์ที่ถูกขโมยมากที่สุดมาเสนอ พร้อมวิธีการป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เพื่อรถสุดที่รักของเรานะครับ

สถิติสำคัญเกี่ยวกับการขโมยรถยนต์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดตั้งแต่เดือน เมษายน 2556 - เมษายน 2557 มีรายละเอียดดังนี้ครับ

1.มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีรถยนต์หายเป็นจำนวน2,952คดีรถยนต์ 369 คดี และรถจักรยานยนต์ 2,583 คดี

2.จากตัวเลขดังกล่าว มีคดีที่สามารถจับกุมผู้โจรกรรมได้ทั้งหมดเพียง 298 คดี (ประมาณ 10% ของคดีทั้งหมด)

3.ช่วงเวลาที่รถยนต์ถูกขโมยมากที่สุด คือ ตั้งแต่ 18:00 น.ถึง 24:00 น. มีความเสี่ยงที่สุดหลังจากเที่ยงคืนเป็นต้นไป

4.สถานที่เสี่ยง ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า สถานที่ต่างๆ หลังเลิกงาน ระหว่างทางกลับบ้าน

5 อันดับรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมากที่สุด
1.รถ Toyota Altis
2.รถ Toyota Vios
3.รถ Toyota Fortuner
4.รถ Toyota Vigo
5.รถ Isuzu D-Max

รถ Toyota Altis มาเป็นที่หนึ่งคาดว่าเพราะเป็นรถยนต์ยอดนิยม โดยเฉพาะการนำมาปรับเป็นรถแท็กซี่ มีโอกาสสูญหายเนื่องจากสามารถขายทั้งคันได้ และยังสามารถนำมาถอดชิ้นส่วนแยกอะไหล่ขายได้อีกด้วย ในขณะที่รถกระบะ ไม่ว่าจะเป็น Toyota Vigo และ Isuzu D-Max ก็มีอัตราหายใกล้เคียงกันแต่ว่า Toyota Vigo อาจจะมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่า

หากจะแบ่งแยกตามประเภทรถยนต์แล้ว พบว่ารถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคล (แบบไม่เกิน 7 ที่นั่ง) มีสถิติการหายมากที่สุด และสถานที่ที่มักหายที่สุด ก็คือในถนน ตรอก ซอก ซอย รองลงมาเป็นสวนสาธารณะ และพื้นที่ชุมชน ตามมาเป็นตามบ้านเรือน ห้างสรรพสินค้า แม้กระทั้งในอู่ซ่อมรถ (สถิติปีที่แล้วมีถึง 15 คดี)

สถิติ 10 จุดเสี่ยงรถหายในกรุงเทพ

ตามข้อมูลของศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร บก.02 มีการจัดเรียง 10 อันดับพื่นที่ ๆ รถหายมากที่สุดไว้ ดังต่อไปนี้ครับ

ลำดับที่ 10  ลานจอดรถห้างสรรพสินค้า Fashion Island ย่านรามอินทรา
ลำดับที่ 9  ลานจอดรถห้างสรรพสินค้า Future Park รังสิต
ลำดับที่ 8  ซอยปรีดีพนมยงค์
ลำดับที่ 7  ซอยลาดพร้าว 101
ลำดับที่ 6  ลานจอดรถตลาดไท
ลำดับที่ 5  ลาดจอดรถห้างสรรพสินค้า Zeer รังสิต
ลำดับที่ 4  ลานจอดรถคอนโดเมืองทองธานี
ลำดับที่ 3  ลานจอดรถสนามหลวง 2
ลำดับที่ 2  ลานจอดรถการเคหะคลองจั่น
ลำดับที่ 1  ลาดจอดรถการเคหะร่มเกล้า

ตามรายงานแล้วยังระบุด้วยว่าจากสถิติรถหายทั้งหมด 100 คันจะมีโอกาสได้รถยนต์คืนไม่ถึง 5 คัน โดยหากท่านประสบเหตุการณ์รถยนต์หาย สามารถแจ้งสายด่วนรถหาย เบอร์ 1192 เพื่อแจ้งเหตุได้ทันทีครับ 


เป็นแบบนี้แล้วใคร ๆ ที่ใช้รถยนต์ยี่ห้อ รุ่นยอดฮิตติดชาร์ตโจร ก็ต้องป้องกันกันเป็นพิเศษหน่อยนะครับ อย่าไปจอดในที่ลึกลับ ล็อครถให้เรียบร้อย ติดสัญญาณกันขโมย ติดจีพีเอส หรือทำประกันภัยรถยนต์ไว้นะครับ
ที่มา : https://www.asnbroker.co.th

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมันทะลุ 2 บาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 / กองทุนน้ำมันฯ +42,611 ล้านบาท /

ค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมันทะลุ 2 บาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 / กองทุนน้ำมันฯ +42,611 ล้านบาท /
ค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมันทะลุ 2 บาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 / กองทุนน้ำมันฯ +42,611 ล้านบาท /
สวัสดีครับ วันนี้ ASN Broker จะนำเสนอในเรื่องที่มีข้อมูลหนักสักหน่อย แต่ถือว่าจำเป็นที่เราๆท่านๆ ต้องรู้ เพราะถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการกำหนดสภาพเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับประเทศเลยทีเดียว หลังจากตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมัน ยังคงสูงต่อเนื่องเกิน 2 บาทเป็นวันที่ 5 แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันแต่อย่างใด


าคาน้ำมันดิบปรับลดลง หลังจากกรีซลงประชามติปฏิเสธมาตรการรัดเข็มขัดของสหภาพยุโรปและ IMF

- ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสได้ปรับลดลงมากที่สุดตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. 58 ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ก็ปรับลดลงต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. 58 ที่ผ่านมาเช่นกัน หลังจากเสร็จสิ้นการลงประชามติของกรีซและผลการลงประชามติที่ปฏิเสธมาตรการรัดเข็มขัดของสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ทำให้ IMF ระงับการช่วยเหลือทางการเงินทั้งหมดแก่กรีซจนกว่ากรีซจะชำระหนี้ทั้งหมด ขณะที่ธนาคารกลางแห่งยุโรปก็ชะลอการพิจารณาคำร้องขอเงินช่วยเหลือสภาพคล่องฉุกเฉิน (ELA) ที่ให้แก่ธนาคารกรีซ โดยจะมีการประชุมและตัดสินใจอีกครั้งในวันนี้ (7 ก.ค. 58) และตลาดยังคงจับตามองต่อสถานการณ์ของกรีซที่จะถูกปลดออกจากประเทศยูโรโซน และไม่สามารถใช้สกุลเงินยูโรได้อีกต่อไป

- จากผลการลงประชามติที่ปฏิเสธมาตรการรัดเข็มขัดนั้น ทำให้ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นปรับตัวลดลง จึงส่งผลให้ราคาของสินค้าอุปโภคและบริโภคมีราคาลดลง ซึ่งรวมถึงราคาน้ำมันดิบด้วยเช่นกัน

- อีกหนึ่งสาเหตุที่กดดันราคาน้ำมันดิบลงได้แก่ความกังวลต่อวิกฤติตลาดหุ้นของจีนที่ร่วงลงไปเกือบ 30% นับตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลจีนต้องออกมาตรการช่วยสกัดภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เช่น มาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการผ่อนปรนการกู้ยืมเพื่อหลักทรัพย์ แต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งกระแสเทขายหุ้นลงไปได้ ขณะที่ธนาคารกลางจีนได้ทุ่มเงินกว่า 250,000 ล้านหยวน เพื่ออัดฉีดเงินกู้ระยะกลางให้แก่กลุ่มธนาคารเพื่อประกันสภาพคล่องในระบบ

- ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ (Markit PMI) เดือน มิ.ย. ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.8 ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 56.8 และปรับลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 55.1 ซึ่งการลดลงของดัชนีภาคการผลิตนั้น เป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวยังคงมากกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัว

+ ดัชนีภาคการบริการของสหรัฐฯ (ISM non-PMI) เดือน มิ.ย. ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 55.7 มาสู่ระดับ 56.0 และตรงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 56.0 เช่นกัน โดยปรับขึ้นจากตัวเลขยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่เป็นสาเหตุหลัก

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากปริมาณอุปทานที่ลดลงจากการที่โรงกลั่นน้ำมันในไต้หวันปิดซ่อมบำรุงตามฤดูกาล แต่อย่างไรก็ตามอุปสงค์น้ำมันเบนซินเริ่มที่จะปรับตัวลดลงหลังสิ้นสุดฤดูกาลท่องเที่ยว
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากมีปริมาณอุปทานที่ล้นตลาดโดยเฉพาะจากประเทศจีนที่ส่งออกน้ำมันดีเซลออกมาเป็นจำนวนมาก รวมถึงอุปสงค์ที่ลดลงจากการห้ามทำการประมงในแถบทะเลจีนใต้ แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีอุปสงค์จากทางด้านยุโรปและอิรักอยู่บางส่วน


ปัจจัยที่น่าจับตามอง
จับตาการแก้ไขปัญหาวิกฤติหนี้กรีซ  หลังจากรัฐบาลกรีซผิดนัดชำระหนี้งวดล่าสุดให้แก่ IMF ราว 1.6 พันล้านยูโร ในวันที่ 30 มิ.ย. ส่งผลให้กรีซกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศแรกที่ผิดนัดการชำระหนี้ โดยล่าสุด กลุ่มเจ้าหนี้ประกาศไม่ต่ออายุข้อตกลงช่วยเหลือกรีซออกไปจากวันที่ 30 มิ.ย. เนื่องจากยังไม่สามารถตกลงกันเรื่องแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของกรีซได้ ทั้งนี้ รัฐบาลกรีซประกาศให้มีการลงประชามติในวันที่ 5 ก.ค. เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะยอมรับมาตรการปฏิรูปของกลุ่มเจ้าหนี้หรือไม่ ซึ่งการปฏิเสธความช่วยเหลือครั้งนี้อาจส่งผลให้กรีซต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน

ราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวเหนือระดับ 60 เหรียญสหรัฐฯ อาจเพิ่มความจูงใจให้ผู้ผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ กลับมาเพิ่มอัตราการผลิตน้ำมันดิบอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัทขุดเจาะและผลิตน้ำมันดิบหลายแห่งได้ชะลอการขุดเจาะและผลิตน้ำมันดิบลงจากภาวะราคาน้ำมันดิบตกต่ำ


ติดตามการเจรจาระหว่างอิหร่านกับชาติมหาอำนาจ (P5+1) โดยทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเพื่อแลกกับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรของอิหร่าน ภายในเส้นตายวันที่ 30 มิ.ย. ตามที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ได้ ทั้งนี้ อิหร่านและชาติมหาอำนาจตกลงที่จะยืดเวลาการเจรจาเพื่อหาข้อยุติให้ได้ข้อสรุปภายในวันที่ 7 ก.ค. ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าหากชาติตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน จะส่งผลให้อิหร่านส่งออกน้ำมันดิบได้มากขึ้นอีกราว 2- 5 แสนบาร์เรล ต่อวัน ภายใน 6-12 เดือน หลังจากการยกเลิกมาตรการคว่ำมาตร


ติดตามทิศทางเศรษฐกิจจีนที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) จะมีการประกาศใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ โดยล่าสุด PBOC ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี และประกาศลดสัดส่วนเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติม
























ที่มา http://www.asnbroker.co.th

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ASN Broker เปิดเกมรุกตลาดนายหน้าประกันภัยฯ ชูกลยุทธ์ QC Tele Marketing 100% สู่บริษัทอันดับ1ในใจผู้บริโภค


ASN Broker เปิดเกมรุกตลาดนายหน้าประกันภัยฯ ชูกลยุทธ์ QC Tele Marketing 100% สู่บริษัทอันดับ1ในใจผู้บริโภค
ASN Broker เปิดเกมรุกตลาดนายหน้าประกันภัยฯ ชูกลยุทธ์ QC Tele Marketing 100% สู่บริษัทอันดับ1ในใจผู้บริโภค

ASN Broker เปิดเกมรุกตลาดนายหน้าประกันในไทย ประกาศใช้กลยุทธ์ QC การขายแบบ Tele Marketing 100% ยึดหลักความถูกต้องตามกฏ คปภ.และประโยชน์สูงสุดของลูกค้า มัดใจผู้บริโภคขึ้นสู่ตำแหน่ง บริษัทยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งในดวงใจ “ธวัชชัย ชีวานนท์” ผู้บริหารไฟแรงระบุ วางระบบที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริง การันตีไม่มีมัดมือชกแน่นอนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยื่นในอนาคต  ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมปีนี้ 1,100 ล้านบาท โต 25% จากปีก่อน 

           
            นายธวัชชัย ชีวานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASN Broker ผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และประกันชีวิตในระบบการขายผ่านโทรศัพท์ หรือ เทเล มาร์เก็ตติ้ง (Tele Marketing) ที่ได้มาตรฐานระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยถึงทิศทางการขยายธุรกิจนายหน้าประกันฯ ท่ามกลางกระแสการแข่งขันรุนแรงว่า  บริษัทฯ มุ่งสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างการยอมรับในกลุ่มผู้บริโภค ควบคู่กับการสร้างยอดขายและรายได้ เพื่อขึ้นสู่เป้าหมายบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิตอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดกับพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมที่จะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว



            เขากล่าวว่า การขึ้นสู่เป้าหมายบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิตยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค ในระบบการขายแบบ Tele Marketing ในประเทศไทย บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ยึดมั่นในมาตรฐานความถูกต้อง โปร่งใส ตามกฎกติกาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตั้งแต่ขั้นตอนการขายจนถึงขั้นตอนกรรมธรรม์ถึงมือลูกค้า นอกจากนั้นยังมีระยะเวลาการตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัย (Free Look Period) โดยให้สิทธิ์ผู้เอาประกันภัยสามารถยกเลิกกรมธรรม์ได้ภายในเวลาถึง 30 วัน เพื่อให้ลูกค้าซื้อประกันจากบริษัทฯด้วยความเต็มใจและพึงพอใจ

           “ความแตกต่างของการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิตของ ASN Broker ที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นโดยเฉพาะรายเล็กก็คือ เรามีระบบตรวจสอบการซื้อประกันของลูกค้า(QC : Quality control) ถึง 100% อย่างชัดเจนตั้งแต่ขั้นตอนการขายของ Tele Sale คือหลังจบการขายแล้ว จะมีทีม QC เข้ามาตรวจสอบการเจรจาซื้อขายระหว่างพนักงานและลูกค้าในทุกๆ สัญญา ว่าให้ข้อมูลกรมธรรม์กับลูกค้าครบถ้วนหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ ลูกค้ายินยอมซื้อด้วยความเต็มใจหรือไม่ ก่อนดำเนินการออกเอกสารสัญญาในลำดับขั้นตอนต่อไป เพื่อให้การซื้อประกันอยู่บนข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเพื่อป้องกันปัญหาการซื้อประกันที่ไม่รับความยินยอมจากผู้บริโภคอย่างแท้จริง ทำให้ที่ผ่านมาเราไม่มีปัญหากับลูกค้าเรื่องการซื้อประกัน ซึ่งเราเชื่อว่าระบบ QC ที่ดีจะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่น และได้รับประโยชน์สูงสุดจากการซื้อประกันทุกรายการ และในที่สุด ASN Broker จะเข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้า”  นายธวัชชัยกล่าว

          ปัจจุบัน บริษัทฯ รับเป็นนายหน้าขายประกัน 2 ประเภทคือ ประกันวินาศภัยประกันภัยรถยนต์ ให้กับบริษัทประกันชั้นนำรวมกว่า 10 บริษัท มีสัดส่วนเบี้ยประกันถึง 75% ของเบี้ยประกันทั้งหมด และประกันชีวิตให้กับบริษัทประกันชีวิต 2 ราย มีสัดส่วนเบี้ยประกัน 25% ของเบี้ยประกันทั้งหมดประมาณ 880 ล้านบาทในปี 2557 ที่ผ่านมา โดยมีทีมขาย หรือ Telesale Agent รวม 200 คน และในปี 2558 บริษัทฯ ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมกว่า 1,100 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% จากปี 2557 ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าการเติบโตของภาพรวมอุตสาหกรรม โดยในปี 2557 ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยประกันภัยรถมีมูลค่ารวม 117,903 ล้านบาทเติบโตติดลบ0.47% จากปีก่อน (ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)
 "บริษัทมีจุดแข็งในการดำ เนินงานที่มีความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น โดยเฉพาะราย เล็ก ด้วยระบบการตรวจสอบการซื้อ ประกันของลูกค้าถึง 100% ตั้งแต่ขั้น ตอนการขายของทีมขายบริการหลัง การขาย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบการเจรจาซื้อขายระหว่างพนักงานและลูกค้า ทำให้ที่ผ่านมาบริษัทไม่เคยมีปัญหากับลูกค้าเรื่องการซื้อประกัน" นายธวัชชัยกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนหาพาร์ต เนอร์ทางธุรกิจรายใหม่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมี 2 แห่ง คือ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และ บมจ.พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต นอกจากนี้ ยังมีแผนเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร จากปัจจุบันที่เน้นการขายเฉพาะกลุ่มลูกค้ารายย่อย คาดว่าในปี 2559 จะเริ่มรุกกลุ่มลูกค้าองค์กรผ่านช่องทางขายตรง โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้ารวมประมาณ 20,000 ราย

สำหรับปีนี้ตั้งเป้ามีเบี้ยประกันภัยรับรวม 1,100 ล้านบาท เติบโต 25% และตั้งเป้ามีกำไรจากค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ย 20% หรือประมาณ 200 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 880 ล้านบาท เติบโต 8% จากประกันวินาศภัย 75% และประกันชีวิต 25%.

ที่มา http://www.asnbroker.co.th 

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ถึงกับอึ้ง และ งง!! เมื่อจู่ๆ บิลค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเป็นประจำหน้าตาเปลี่ยนไป แถมมี "ค่าบริการรายเดือน"

ถึงกับอึ้ง และ งง!! เมื่อจู่ๆ บิลค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเป็นประจำหน้าตาเปลี่ยนไป แถมมี "ค่าบริการรายเดือน"
ถึงกับอึ้ง และ งง!! เมื่อจู่ๆ บิลค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเป็นประจำหน้าตาเปลี่ยนไป แถมมี "ค่าบริการรายเดือน"
ถึงกับอึ้ง และ งง!! เมื่อจู่ๆ บิลค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเป็นประจำหน้าตาเปลี่ยนไป แถมมี "ค่าบริการรายเดือน" โผล่เพิ่มขึ้นมาอีก ชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ ก็เกิดคำถามคาใจขึ้นทันที "นี่มันอะไร... ทำไมมาเรียกเก็บเพิ่ม" แม้ทาง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA จะออกมาชี้แจงดราม่าเรื่องดังกล่าวแล้วว่าไม่ได้เรียกเก็บ "ค่าบริการ" เพิ่ม แต่เป็นเงินที่เก็บอยู่แล้ว แต่คุณหรือรู้ไม่ว่า ที่เรียกเก็บค่าบริการรายเดือน นั้น เขาเก็บยังไง PEA มีรายได้จากตรงนี้เท่าไหร่ เอาเงินตรงนี้ไปทำอะไร เพราะเหตุใดถึงเรียกเก็บ แล้วทำไมต้องจ้างเอาต์ซอร์สจดมิเตอร์ นอกจากนี้ ยังเฉลยข้อเท็จ กรณีเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่า "เป็นพนักงานการไฟฟ้าฯ" ไม่ต้องเสียค่าไฟจริงหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบทั้งหมด
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหาร กฟภ. 2 คน ที่มาช่วยไขคำตอบ เรื่องนี้ คือ นายเสริมสกุล คล้ายแก้ว ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ นายสมภพ เต็งทับทิม ผู้ช่วยผู้ว่าการ กฟภ.
เฉลย ทำไมบิลค่าไฟฟ้าเปลี่ยนไป
นายเสริมสกุล อธิบายว่า บิลค่าบริการเดิม จะใบเล็ก ตรงบาร์โค้ด ก็เก็บข้อมูลได้น้อย ทาง กฟภ. เองมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบบิลใหม่ ที่ขยายบาร์โค้ดเข้าไป บิลแบบใหม่ ก็ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ จึงคิดว่าควรจะใส่ข้อมูลที่ประโยชน์ต่อลูกค้า เช่น สถิติใช้ไฟฟ้าย้อนหลัง ขณะเดียวกัน ในบิลใบเดิม ก็มี "ค่าบริการรายเดือน" รวมอยู่กับค่าไฟฟ้า แต่เราไม่ได้แยกออกมา เนื่องจากมีข้อจำกัดของขนาดใบเสร็จ เมื่อมีโอกาสจึงต้องการแสดงความโปร่งใสให้ประชาชนได้รับทราบ จึงได้แยกค่าใช้จ่ายตรงนี้ออกมา ยืนยันว่า"ไม่ได้มีการเรียกเก็บเพิ่มแต่อย่างใด"
ค่าบริการรายเดือน ประกอบด้วย ค่าจดหน่วย (ปัจจุบันได้ใช้ เอาต์ซอร์ส) ค่าพิมพ์บิล ค่าใช้จ่ายในการเก็บเงิน เงินค่าบริการนี้ เราเรียกเก็บในราคาที่เท่ากันทั่วประเทศ รวมถึงกรุงเทพมหานครด้วย "ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน ใช้เวลาจดหน่วยเท่าใด ก็จะค่าบริการเดียวกัน" ในส่วนราคาค่าบริการรายเดือนที่เรียกเก็บนั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของ "มิเตอร์" ขนาดเล็กสุดไม่เกิน 5 แอมป์ อยู่ที่เดือนละ 8.19 บาท ซึ่งผู้ที่กำหนดอัตราเรียกเก็บดังกล่าว คือ คณะกรรมการกิจการพลังงานแห่งชาติ ไม่ใช่เราคิดขึ้นเอง
รายละเอียดบิลรูปแบบใหม่
เปิดตัวเลขลงทุน กำไร PEA
ขณะที่ นายสมภพ กล่าวว่า ในแต่ละปี PEA ได้ลงทุน เฉลี่ยปีละประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท โดยร้อยละ 90 เป็นการลงทุนด้านระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกครัวเรือนและทุกประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงในระบบไฟฟ้า ในปี 57 ที่ผ่านมา เรามีรายได้ เป็นเงินทั้งสิ้น 465,003 ล้านบาท โดยร้อยละ 97 ของรายได้ดังกล่าว จำนวน 450,633 ล้านบาท เป็นรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งมีรายจ่ายทั้งสิ้น 444,604 ล้านบาท โดยร้อยละ 94 ของรายจ่ายดังกล่าว จำนวน 416,655 ล้านบาท เป็นค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้า (ได้แก่ กฟผ. VSPPฯ)
"ส่วน มีกำไรสุทธิปี 2557 เป็นเงิน 20,399 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 ของรายได้ โดยร้อยละ 50.25 ของกำไรดังกล่าว จำนวน 10,250 ล้านบาท PEA ได้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดินให้กระทรวงการคลัง" ผู้ช่วยผู้ว่าการ กฟภ. กล่าว
ค่าบริการจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าใช้ไฟมากหรือน้อย
แจงรายละเอียดค่าบริการรายเดือน
นายสมภพ กล่าวว่า “ค่าบริการรายเดือน” เป็นส่วนหนึ่งของค่าไฟฟ้าฐาน ตามอัตราค่าไฟฟ้าที่ประกาศใช้ในปัจจุบันภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการอ่านหน่วย การจัดทำใบแจ้งค่าไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายในการเก็บเงิน ที่ PEA จะต้องดำเนินการกับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกรายทุกเดือนไม่ว่าจะมีการใช้ไฟฟ้าหรือไม่ก็ตาม โดยมีอัตราแตกต่างกันตามประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า PEA จัดเก็บ “ค่าบริการรายเดือน” จากผู้ใช้ไฟฟ้า 17.68 ล้านราย แบ่งเป็น
บ้านอยู่อาศัยติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ และใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน เรียกเก็บ 8.19 บาทต่อเดือน มีผู้ใช้ไฟฟ้า 10.05 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 57 ของผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด เป็นเงินประมาณ 82 ล้านบาทต่อเดือน
บ้านอยู่อาศัยติดตั้งมิเตอร์เกิน 5 แอมป์ หรือใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน เรียกเก็บ 38.22 บาทต่อเดือน มีผู้ใช้ไฟฟ้า 5.87 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 33 ของผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด เป็นเงินประมาณ 224 ล้านบาทต่อเดือน
ธุรกิจ อุตสาหกรรม และอื่นๆ มีผู้ใช้ไฟฟ้า 1.76 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 10 ของผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดเป็นเงินประมาณ 119 ล้านบาทต่อเดือน
ค่าใช้จ่ายที่รวมอยู่ในค่าบริการ
ยืนยันจัดค่าบริการ โปร่งใส เป็นธรรม
นายเสริมสกุล กล่าวต่อว่า ค่าบริการดังกล่าว ถือเป็นค่าเฉลี่ยที่กำหนดไว้ใช้ทั่วประเทศ เพราะบางทีเราต้องเดินทางไปไกล ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากและแพงกว่านี้ แต่ทางคณะกรรมการกิจการพลังงานแห่งชาติได้กำหนดให้ใช้ค่าดังกล่าวเป็นค่าเฉลี่ย หากบ้านหลังไหนไม่ได้ใช้ไฟเลยหรือใช้ไฟน้อย ก็จะถูกเรียกเก็บในราคา 8 บาทกว่าๆ ส่วนตัวคิดว่านี่คือราคาเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแล้ว" ผู้ว่าการ กฟภ. กล่าว
คนจดมิเตอร์ เป็น เอาต์ซอร์ส ทั้งหมด สาเหตุเพราะ...
ผู้ว่าการ กฟภ. ยอมรับว่า คนจดมิเตอร์ จะใช้ เอาต์ซอร์ส เกือบ 100% สาเหตุที่จ้างก็เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ถ้าหากเราใช้พนักงานไปจดหน่วยเอง จะมีค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นและเป็นภาระมาก 
เมื่อถามว่าแต่ละปีต้องจ่ายเอาต์ซอร์สมากน้อยแค่ไหน และการจ้างเอาต์ซอร์ส นับเป็นต้นทุนหรือไม่ เรื่องนี้ นายสมภพ ชี้แจงว่า ค่าใช้จ่ายในการ จ้างเอาต์ซอร์ส ในการจดมิเตอร์ นับเป็นต้นทุนค่าบริการของ PEA จะมีค่าใช้จ่ายประมาณเดือนละ 590 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของรายจ่ายทั้งหมด แต่ค่าบริการรายเดือนที่เก็บได้จริงในค่าไฟฟ้ามีเพียงประมาณเดือนละ 425 ล้านบาท
"ค่าใช้จ่าย outsource เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนค่าบริการเฉพาะบ้านอยู่อาศัย คิดเป็นประมาณร้อยละ 18 ค่าใช้จ่ายอื่นในส่วนที่ PEA จดหน่วยพิมพ์บิลเก็บเงินเอง ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายพนักงาน, ค่า Hardware software ค่าเช่าวงจรดิจิตอล Lease line สำหรับการอ่านหน่วยและการประมวลผลบิล การแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้า การแจ้งเตือนให้ชำระเงิน ค่าวัสดุใช้ไป เช่น ใบแจ้งค่าไฟฟ้า หนังสือเตือน ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ค่าไปรษณีย์ เป็นต้น รายได้ทั้งหมด PEA ได้ส่งรายละเอียดค่าใช้จ่ายทุกรายการให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานตรวจสอบก่อนการกำหนดใช้เป็นค่าบริการแล้ว" นายสมภพ กล่าว
นอกจากนี้ ผู้ว่าการ กฟภ. ยังกล่าวว่า การจ้างเอาต์ซอร์ส ใช้จ่ายเงินน้อยกว่าใช้พนักงานของเราเอง เนื่องจากเราได้มีการควบคุมจำนวนพนักงาน อีกทั้งลูกค้าของเรามีมากถึง 18 ล้านราย เราเองต้องการใช้พนักงานให้เต็มประสิทธิภาพ ถ้าจะมี "พนักงานจดหน่วย" ก็จะต้องมีสิทธิ สวัสดิการ เงินเดือน จะมีเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ทั้งนี้ ทั้งบรัษัท เรามีพนักงานประมาณ 28,000 คนทั่วประเทศ ขณะที่การจ้างเอาต์ซอร์ส ถือเป็นเรื่องปกติ ในการทำธุรกิจ
แจกแจงให้เห็นรายละเอียดชัดเจน 
ไม่จริง คนทำงานการไฟฟ้าฯ ใช้ไฟฟรี! 
ที่ผ่านมา มีคำพูดว่า "พนักงานการไฟฟ้าฯ ไม่ต้องจ่ายค่าไฟ" ผู้ว่าการ กฟภ. ยืนยันว่า "เรื่องนี้ไม่จริงเลย ยังคงต้องจ่ายตามปกติ บ้านผมยังต้องจ่ายตามปกติเหมือนกับประชาชนทั่วไป"
สุดท้าย ผู้ว่าการ กฟภ. กล่าวว่า ก่อนอื่นก็อยากจะขอโทษประชาชน ที่แยกค่าใช้จ่ายออกมาทำให้หลายคนตกใจ แต่ที่ทำเพราะมีเจตนาดี มีความโปร่งใสให้เห็น ถ้าเกิดความไม่เข้าใจไปบ้าง ก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย โดยยืนยันว่าไม่ได้เก็บเงินเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ขณะที่นายสมภพ เสริมว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นหน่วยงานของรัฐ มีหน้าที่ให้บริการด้านพลังงานไฟฟ้าให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศอย่างทั่วถึง โดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญ การดำเนินงานทุกอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
ที่มา http://www.thairath.co.th/content/508767

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประกันภัยรถยนต์ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ข้อมูลเท็จจริง ที่เราควรรู้!!

ประกันภัยรถยนต์ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ข้อมูลเท็จจริง ที่เราควรรู้!!
ประกันภัยรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ข้อมูลเท็จจริง ที่เราควรรู้!!
1. ใบขับขี่กับประกันภัย หลายคนคิดว่าขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุ เรียกประกันมา ใบขับขี่ไม่มีทำไงดี บางคนยัดเงินพนักงานเครม บางคนเปลี่ยนคนขับ ผมอยากชี้แจงให้ทราบว่าใบขับขี่จำเป็นต้องมีในกรณีเดียวคือเมื่อเกิดเหตุแล้วรถเจ้าของประกันภัยต้องการซ่อมรถตัวเอง นอกนั้นไม่ต้องใช้ อาจไม่เห็นภาพนะครับลองมาดูกันต่อ
*** รถมีปะะกันชั้น 1 แล้ว ไปชนรถหรือทรัพย์สินคนอื่น ไม่ว่าอะไรก็ตาม ประกันจะต้องรับผิดชอบคู่กรณีแทนท่านทุกกรณี ไม่ว่าท่านจะชนรถ ชนรั้วบ้าน ชนคน ชนอะไรก็ได้ที่เป็นทรัพย์สินของคนอื่น ไม่ว่าท่านจะมีใบขับขี่หรือไม่ ประกันต้องจ่ายหมด สิ่งที่แตกต่างระหว่าง มี กับไม่มี ใบขับขี่คือ ถ้าท่านไม่มีใบขับขี่ประกันจะไม่ซ่อมรถให้ท่านแค่นั้น ถ้าท่านขับรถไปชนท้ายเค้า แล้วมีใบขับขี่ประกันจะซ่อมรถให้ทั้ง 2 คัน แต่ถ้าไม่มีประกันจะซ่อมแต่รถคู่กรณีไม่ซ่อมรถท่าน กรณีที่ท่านเปิดเคลมแห้ง (ไม่มีคู่กรณี) ท่านที่มีชั้น 1 อยู่ อย่าปล่อยสิทธิให้เสียไป หากรถมีรอยขีดข่วน สะเก็ดหิน อยากได้สีใหม่ เพียงแค่ใช้บุคคลที่มีใบขับขี่ โทรแจ้งขอเคลมสีของท่านได้ *** รถมีประกันชั้น 2 -3 ธรรมดา ไม่ต้องกังวลใดๆ ท่านจะขับชนอะไรก็ตาม ไม่ต้องมีใบขับขี่ประกันต้องรับผิดชอบหมด ยกเว้นชั้น 2 กรณีรถหายหรือไฟไหม้จำเป็นต้องมี*** รถที่มีประกันชั้น 2-3 พลัส หรือ ประเภท 5 ลักษณะเดียวกับประกันชั้น 1 แต่จะแตกต่างตรงที่จะต้องเป็นรถชนรถ รถที่มีป้ายทะเบียนเท่านั้น จักรยาน ซาเล้ง ไม่เกี่ยว รถชนรถ มีใบขับขี่ก็ซ่อมทั้งคู่ ไม่มีก็ซ่อมเฉพาะทรัพย์ที่เราชน
2. เมาสุรากับประกันภัย ไม่ต้องกังวลใดๆครับ เงื่อนไข ของประกันภัย จะไม่รับผิดชอบให้ท่านต่อเมื่อท่านเมาในระดับแอลกอออล์เกิน 150 เพราะฉนั้นท่าท่านเมาไม่มากสิ่งที่ระวังคือตำรวจ พยายามหลีกเลี่ยงการขึ้นโรงพัก การเป่าอลกอฮอล์ เมื่อเกิดเหตุ รุนแรงขนาดเข้าโรงบาล อย่าให้พยาบาลเจาะเลือดท่าน ถ้าไม่มีหลักฐานการตรวจประกันต้องจ่ายสถานเดียว จำไว้ถ้าท่าน ไม่เมาจนเกินลิมิตประกันจ่ายคุณแน่แต่ระวังข้อหาเมาแล้วขับก็พอ (ผมเคยเมาแล้วโดนเป่า ออกมาได้ 187 เรียกว่าขับรถไม่ได้แล้วครับ) ใบขับขี่ไม่ต้องซีเรียส โดนจับก็แค่ปรับ
3. โดนชนแล้วหนีท่านที่มีประกันชั้น 1 หรือ 2--3 พลัส หากโดนชนแล้วหนีท่านต้องจำทะเบียนรถคันนั้นให้ได้ แล้วเตรียมใบขับขี่ ถ้าไม่มี ให้หาคนมีใบขับขี่เอาไว้แล้วไปแจ้งความที่ สน ท้องที่นั้น นำใบแจ้งความมาแล้วโทรแจ้งประกัน ประกันจะส่งพนักงาน เครมมาเครมให้ ถ้าท่านไม่ทราบเลขทะเบียนของคนที่ชนท่าน สำหรับประกันชั้น 1 ให้แจ้งเป็นชนโน่นชนนี่ไม่มีคู่กรณี ตามสภาพบาดแผลที่น่าจะเป็น สำหรับ 2-3 พลัส .... อดไป
4. เลขทะเบียน เลขเครื่อง สีรถ ภาษีขาด อธิบายสั้นๆง่ายๆว่าประกันยึดถือเลขตัวถังรถเป็นหลัก ไม่ว่าป้ายไม่ตรง เลขเครื่องไม่ตรง สีไม่ตรง ภาษีขาดต่อ ไม่เกี่ยวข้อง กับประกันภัย ไม่ต้องซีเรียส ไม่ต้องกลัวประกันไม่จ่าย หากเลขตัวรถท่านตรงเป็นอัน แฮปปี้ ยกเว้นกรณีที่ประกันหาเลข ตัวถังรถท่านไม่เจอ ประกันอาจขูดเลขเครื่องของท่านแทน


5. ใบขับขี่โดนยึด หมดอายุ หายหากใบขับขี่โดนยึดให้แสดงใบสั่งแทน ประกันยึดถือแค่ว่าจะไม่คุ้มครองผู้ที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาติ เท่านั้น หากหมดอายุก็แสดงไปใช้ได้ไม่มีปัญหา หากโดนยึดก็แสดงใบสั่ง หากหายถ้ามีสำเนาก็แสดงสำเนาหรือหากไม่มีในวันนั้นในวันที่เอารถเข้าซ่อมก็เตรียมไปด้วยไม่งั้นอดซ่อม และหากหายและไม่มีสำเนาก็ไปทำมาซะแต่ตอนเกิดเหตุต้องแจ้งว่ามีไว้ก่อน ไม่ได้เอามาหรืออะไรก็ว่าไป มีเวลาเรื่อยๆจนกว่าท่านเอารถเข้าซ่อม
6. เวลาเกิดเหตุกลางถนนหากตกลงกันได้ว่าใครผิดใครถูก คนผิดยอมรับผิด ให้เคลื่อนย้ายรถออกจากที่เกิดเหตุทันที อย่าไปจอดเกะกะชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องรอประกันมาถึง หากไม่รู้ใครผิดให้ตำรวจตัดสินแล้วย้ายรถออกได้ หรือไม่มีตำรวจหากบังเอิญพกสีสเปร์มา ให้พ่นตำแหน่งที่ล้อทั้ง 2 คัน และบริเวณหน้า+ท้าย+ข้างของรถทั้ง 2 คัน ไม่จำเป็นต้องไปโรงพักหากคุยกันได้ ยกเว้นการชนที่มีคู่กรณีมากกว่า 2 คัน ถึงต้องไปโรงพัก และคนที่ผิดต้องโดนปรับข้อหาขับรถโดยประมาท
7. ช่วงล่างกระแทกพัง แมกซ์ดุ้ง ยางระเบิด และ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ประกันชั้น 1 ต้องจ่ายให้ท่านทุกกรณีแต่ต้องมีใบขับขี่ หากท่านมีอุปกรณ์ตกแต่งราคาแพงต้องการคุ้มครองกรณีสูญหายให้ท่านเตรียมใบเสร็จจากที่ร้านที่ท่านติดตั้ง เช่น แมกซ์ เครื่องเสียง แล้วโทรสอบถามเงื่อนไขการประกันภัย ให้ประกันเพิ่มสลักหลังคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งนั้นๆ ประกันจะคิดเบี้ยท่านเพิ่มแต่ไม่มาก แต่ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องหายก็ไม่ต้อง เพราะหากแค่เสียหายก็ยังเหลือซากให้เห็นอยู่แล้ว ยางที่ถูกกระแทกจนระเบิดประกันจะจ่ายครึ่งเดียวครับ พวกยางแพงๆขอบ 19-20 ก็จัดไปส่วนที่เป็น 2-3 พลัส อดครับ เว้นแต่ความเสียหายนั้นสืบเนื่องมากจากการชนกับของรถที่มีทะเบียน -เช่น รถท่านโดนปาดหน้าจนเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ ตกคลอง กระแทกฟุตบาต แบบนี้ประกันก็ต้องวซ่อมให้ท่านครับไม่ใช่แค่แผลที่เกิดจากการปะทะระหว่างรถกับรถ
8. ชั้น 1 เคลมสีรถแล้วจะเปลี่ยนสีสามารถทำได้ครับโดยให้แจ้งประกันว่าจะเปลี่ยนสี ประกันยึดหลักการว่า เกิดเหตุจริง ซ่อมจริง หากคุณจะเปลี่ยนสีก็ไม่ใช่ปัญหา
9. เคลมอะไหล่แล้วอยากเปลี่ยนเป็นอะไหล่แต่งสามารถทำได้ครับ เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย กันชน สเกิร์ต โดยการเพิ่มเงิน ส่วนต่าง ถ้าอู่นั้นโอเคกับท่าน หรือมีอู่ที่ใช้ประจำก็ให้อู่ทำใบเสนอราคาแล้วนำรถไปที่บริษัทเพื่อคุมราคา (ตกลงราคา) แล้วก็จัดซ่อมเอง ทีนี้จะเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนโลด เสร็จแล้วประกันจะโอนเงินค่าซ่อมคืนให้กับท่าน
10. ทุกครั้งที่รับใบแจ้งความเสียหาย หรือใบเคลม ท่านต้องตรวจสอบความเสียหายให้ตรงตามจำนวนชิ้นให้แน่นอนก่อนเซ็นรับ ผิดถูกให้แย้งและแก้ไขในรายการทันที ไม่งั้นส่วนที่ไม่ได้ลงท่านต้องซ่อมเองนะ ในกรณีที่ในชิ้นนั้นมีบาดแผลมาก่อนไม่เกี่ยวกับเหตุครั้งนั้น ประกันจะวงเล็บว่า (แผลเก่า) แปลว่าประกันจะให้ครึ่งราคาเพราะชิ้นส่วนนั้นไม่สมูรณ์ประกันจะไม่รับผิดชอบเต็มท่านต้องร่วมจ่ายด้วย

ที่มา : http://www.asnbroker.co.th