วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อู่ที่ไหนดี ช่างคนไหนเก่ง ดูอย่างไร #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

อู่ที่ไหนดี ช่างคนไหนเก่ง ดูอย่างไร #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

อู่ที่ไหนดี ช่างคนไหนเก่ง ดูอย่างไร #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

อันนี้คงไม่สามารถเฉพาะเจาะจงลงไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางที่จะบอกเลย ในการสอบสวนทางคดีอาญายังสามารถใช้สภาพแวดล้อมมาชี้บ่งความผิดได้ ASN Broker ก็ขอใช้ลักษณะเดียวกันมาเป็นตัววัดซึ่งก็เป็นเพียงข้อสังเกตุจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตเท่านั้นมาเป็นตัวบ่งชี้ความรู้ความสามารถและความน่าจะเป็นของอู่และช่าง ซึ่งสามารถแยกตามลักษณะต่างๆได้ดังนี้

1.ความสะอาด สัมผัสแรกที่ท่านย่างกรายเข้าไปในอู่สิ่งที่สังเกตุได้ง่ายที่สุดคือความสะอาดของอู่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทั่วไป บริเวณที่จอดซ่อม เครื่องไม้เครื่องมือจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดีไหม สะอาดดีไหมหรือมีแต่ขยะและน้ำมันหกเลอะเต็มไปหมด อันนี้มันบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของอู่หรือช่าง ว่ามีความพิถีพิถันแค่ไหนขนาดสถานที่ยังเลอะไปหมดก็อย่าหวังว่าเขาจะรักษาความสะอาดให้รถหรือเครื่องยนต์ของท่าน ยิ่งประเภทเด็กอู่ยั้วเยี้ยแต่สุดสกปรกอันนี้หนีให้ห่างเพราะอาจจะเจอว่าวันไปรับรถสตาร์ทไม่ยอมติดรื้อดูปรากฏว่ามีถุงพลาสติกติดอยู่ที่ท่อดูดอากาศ

2.การแต่งกาย อันนี้ถ้าไปตอนเช้าก็สังเกตุที่เด็กอู่ว่าแต่งตัวยังไงสะอาดรัดกุมแค่ไหน บางครั้งอาจจะเจอว่าตอนมาทำงานใส่มาอย่างโก้หรูแล้วมาเปลี่ยนที่อู่เป็นชุดทำงานที่ไม่เคยซักเลยซึ่งก็เหมือนกันกับกรณีแรกคือขาดความเอาใจใส่ในเรื่องความสะอาด ไม่ต้องให้เนี้ยบหรอกเอาแค่ไม่สกปรกถึงขั้นกลิ่นออกถึงแม้ชุดจะเก่าแล้วก็ตาม แต่ถ้าไปสายๆหรือบ่ายๆความเลอะเทอะของชุดก็เป็นเรื่องธรรมดา

3.คนรับรถ ก็ให้ดูว่าใครเป็นคนมาสอบถามอาการหรือรับรถจากท่าน ถ้าเป็นเด็กอู่(จริงๆแล้วอาจจะเก่ง)เพียงอย่างเดียวไม่เจอหน้าเจ้าของอู่เลย อันนี้มันบ่งบอกถึงความรับผิดชอบส่วนบุคคล ในเบื้องต้นก็ยังขาดเลยแล้วประสาอะไรถ้าเกิดข้อผิดพลาดภายหลังถ้าเจออย่างนี้ก็ทำใจไว้ด้วย แต่ถ้าเจอเจ้าของอู่มารับรถเองก็ดูว่าท่านยังมีสามัญสำนึกในความเป็นช่างเหลืออยู่แค่ไหนหรือเป็นผู้บริหารเต็มตัวแล้วประเภทแต่งตัวเนี้ยบ ผมเรียบแปร้ ถือผ้าเช็ดมือไปด้วยจับทีก็เช็ดทีหรือกลัวเลอะกลัวเหม็นแค่ยืนฟังเสียงห่างๆ ถ้าเจออย่างนี้ก็น่าจะปล่อยให้ท่านบริหารของท่านต่อไปเถอะอย่าไปยุ่งกับท่านเลยเพราะจะเจอกับท่านก็ตอนท่านมารับรถกับตอนท่านมาเก็บตังค์เท่านั้นแหละ


4.พฤติกรรมขณะรับรถ จริงอยู่สาเหตุของอาการเสียแต่ละอย่างมีมากมายแต่เมื่อมีโจทน์ให้เห็นอยู่ตรงหน้าได้สัมผัส ได้ยิน ได้ฟัง ได้ลองหรือขับ การวิเคราะห์ที่ดีจะแคบลงเหลือแค่ไม่เกิน 3 ประเด็น ช่างที่เก่งมักวิเคราะห์เงียบๆราว 15-30 นาทีจึงจะพูดออกมา ถ้าเจอประเภทพูดน้ำไหลไฟดับ(ก็โม้นั่นแหละ)แต่ขอรถไว้รื้อดูก็หลีกให้ห่างเพราะท่านคือเหยื่ออันโอชะ หรือถ้าเจอประเภทจอดปุ๊บขนเครื่องมือมาถอดปั๊บ(กันหนี)อันนี้รีบสั่งหยุดแล้วขับออกจากอู่ไปโดยไว หรือประเภทอันนี้ก็เสียอันโน้นก็เสื่อมอันนั้นก็ต้องเปลี่ยนพวกนี้ก็น่าจะหลุดมาจากศูนย์บริการเปลี่ยนบานปั่นเงินไม่ทันแน่ หรือประเภทที่มักอ้างว่ารุ่นนี้อะไหล่ไม่มีหรือไม่มีเครื่องมือ(ความจริงก็น่าจะบอกว่าซ่อมไม่ได้หรือซ่อมไม่เป็นจะถูกต้องกว่า)ขอยืนยันตรงนี้ครับว่ารถทุกคันที่มีวิ่งในเมืองไทยสามารถหาอะไหล่ทดแทนหรือดัดแปลงใส่ได้ทั้งหมด แต่ที่เขาอ้างว่าไม่มีอะไหล่เพราะมันไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลาไปหาอะไหล่ต่างหากเพราะบางครั้งใช้เวลา 2-3วันทีเดียวหรือเครดิตเขาอาจจะไม่ดีเลยไม่มีร้านขายอะไหล่ร้านไหนยอมให้เขาเข้าไปเทียบหาอะไหล่เอาเอง แต่ถ้าเจอช่างกลุ่มศิลปินจะไม่มีคำว่าไม่มีอะไหล่หรือไม่มีเครื่องมือเขาจะหามาทำให้คุณจนได้

5.ราคาเบื้องต้น เมื่อวิเคราะห์เสล็จช่างที่ดีจะต้องสามารถประเมินราคาขั้นต้นให้ลูกค้าได้คร่าวๆว่าไม่เกินเท่าใด(ถ้าเกินเขาต้องร่วมรับผิดชอบ) ถ้าเจอประเภทไว้คุยกันทีหลังหรือไม่กี่ตังค์หรอกก็รีบขอตัวซะโดยไว และถ้าเขาไม่สามารถประเมินราคาได้ช่างที่ดีมักจะบอกว่า ผมจะคิดค่าแรงเท่านั้นเท่านี้ส่วนเรื่องอะไหล่ผมไม่ทราบแต่จะถอดมาให้คุณไปหาซื้อมาเอง ซึ่งลูกค้าจะสามารถตัดสินใจได้ทันทีว่าจะซ่อมหรือไม่
6.จอดรถรอซ่อม บางทีจะเจอว่าช่องที่จอดซ่อมเต็มแล้วก็ยังจะรับรถไว้โดยมักอ้างว่าเดี๊ยวคันนั้นก็เสร็จแล้วถ้าเรารออยู่ด้วยก็ดีไปแต่ถ้าทิ้งรถไว้กลับมาอีกทีอาจเจอรถยังจอดตากแดดอยู่ที่เดิม เพราะพวกนี้จะเป็นธุรกิจเต็มตัวแล้วรับรถไว้ก่อนถอดรื้อบางชิ้น(กันเปลี่ยนใจ)แต่ถ้ามีคันใหม่เข้ามาก็รับเพิ่มอีกทั้งๆที่ไม่มีที่จอดแล้ว ถ้าเจออย่างนี้ก็อย่าทิ้งรถโดยเด็ดขาดและเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็แกล้งบอกว่าจะมาใหม่วันหลังจะดีกว่า

7.การใช้เครื่องมือ อันนี้เก็บไว้เป็นข้อมูลครั้งหน้าว่าจะกลับมาซ่อมอีกหรือเปล่า ช่างที่ดีจะใช้เครื่องมีที่เหมาะสมกับงานอย่างถูกประเภท เช่นการใช้ประแจจะใช้ปากตายขันคลายและขันอัด จะใช้ประแจแหวนตอนที่ขันหลวมแล้วเท่านั้น จะไม่ใช้ประแจเลื่อนหรือคีมล็อคโดยไม่จำเป็นอย่างเด็ดขาด ช่างที่เก่งและชำนาญจะมีความแม่นยำในการใช้เครื่องมือมองปุ๊บจะบอกได้ทันทีว่าเป็นนิ้วหรือเป็นมิล ใช้เบอร์อะไร หยิบผิดไม่เกิน 1 ครั้งและจะเลือกเครื่องมือที่จำเป็นเท่านั้นมาใช้โดยไม่ยกมาทั้งหมด ถ้าเจออย่างนี้ก็น่าคบมากแสดงว่าชำนาญดีทีเดียว

8.อายุของช่าง ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆที่อายุเป็นตัวบ่งบอกอะไรได้เยอะพอสมควร

      1.ช่างที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี กลุ่มนี้จะยังขาดความชำนาญและประสบการณ์แต่มีข้อดีคือ มีความกระตือลือล้นเป็นพิเศษ ขยันขันแข็ง อดทนและใฝ่รู้ตลอดเวลา เหมาะที่จะซ่อมรถตลาดทั่วไปที่อะไหล่ราคาไม่แพงและอายุรถที่กลางเก่ากลางใหม่ตั้งแต่ 4 ปีถึง 10 ปี
      2.ช่างที่มีอายุระหว่าง 25-30 ปี กลุ่มนี้จะถือว่าอยู่ในระดับดีเพราะประสบการณ์มีพอควร ความชำนาญก็เริ่มมีมากขึ้น ความกระตือลือล้นและลูกขยันก็ยังมีอยู่ แต่การหาความรู้ใหม่ๆใส่ตัวจะเริ่มลดลง สามารถซ่อมรถได้หลากหลายมากขึ้นทั้งรถตลาดนิยมและไม่นิยม อายุรถที่ซ่อมได้อยู่ระหว่าง 2 ปีถึง 12 ปี
      3.ช่างที่มีอายุระหว่าง 30-35 ปี กลุ่มนี้คือกลุ่มที่แกร่งที่สุด ประสบการณ์ดีและความชำนาญสูง ความรู้แน่น แต่ลูกขยันจะลดลงพอควร การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาหรือดัดแปรงทำได้ดีมาก สามารถซ่อมรถได้ทุกประเภท ทุกอายุงานตั้งแต่รถใหม่ป้ายแดงยันเก่าเก๋ากึ๊กเลยทีเดียว
      4.ช่างที่มีอายุระหว่าง 35-40 ปี เป็นช่วงที่จัดว่ามีประสบการณ์และความชำนาญสูงที่สุด แต่จะเริ่มอยู่ตัวและไม่หาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติม ความขยันก็ไม่ค่อยมี งานหนักๆมักไม่เอาแล้ว เริ่มใช้ปากทำงานมากกว่าใช้แรง เหมาะที่จะซ่อมรถกลางเก่าถึงเก่าจัดอายุรถตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
      5.ช่างที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็ผันตัวเองไปเป็นผู้บริหารกันหมดแล้ว อาศัยชื่อเสียงเก่าๆหากิน ประเภทอยู่ตัวแล้วจึงไม่หาความรู้เพิ่มเติมเลย พบตัวยากและไม่ขยัน ยิ่งนานวันเข้าความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ที่สร้างสมก็ยิ่งถดถอย จึงเหมาะที่จะซ่อมรถเฉพาะรุ่นหรือเฉพาะยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งเท่านั้น ตามที่เขาถนัดหรือเคยทำบ่อยๆซึ่งจะเป็นรถเก่าๆที่อายุงานเกิน 7 ปีไปแล้วพวกรถใหม่ๆไม่ต้องไปพูดถึงเลยใช้ลูกน้องอย่างเดียว




9.ระหว่างการซ่อมรถ เป็นเรื่องปกติของเจ้าของรถที่นำรถไปซ่อมที่จะต้องมีการพูดคุยสอบถามเรื่องราวต่างๆกับช่างที่ซ่อมรถของเขา มีทั้งลองภูมิและอยากรู้จริงๆ ช่างที่ดีมีสามัญสำนึกจึงมีหน้าที่ตอบคำถามตามที่รู้(ไม่รู้ก็บอกไม่รู้)เพราะไม่รู้จะหวงไปทำไม ที่ตอบเขาไปก็ใช่ว่าวันรุ่งขึ้นเขาจะมาเปิดอู่แข่งกับเราซะเมื่อไหร่ ช่างบางคนก็ถึงกับออกอาการหงุดหงิดไม่พอใจเมื่อเจอคำถามก็มี(อันนี้เพราะกลัวว่าลูกค้าจะหาว่าตัวเองโง่หรือไงไม่ทราบ) สิ่งหล่านี้ก็คงสามารถเก็บไว้เป็นข้อมูลว่าครั้งต่อไปควรนำรถมาซ่อมกับช่างคนนี้อีกหรือเปล่า เพราะมันบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยและสามัญสำนึกของตัวช่างเองว่าใจแคบหรือเปล่า รู้จริงแค่ไหนหรือชอบมุ๊บมิ๊บปิดบังแฝงเร้นหมกเม็ดอะไรหรือเปล่า ยิ่งถ้าเจ้าของอู่ใจแคบหวงวิชาก็อย่าหวังว่าเด็กอู่จะเก่ง

10.การซ่อมใหญ่ เช่นกานยกเครื่องหรือซ่อมหลายๆจุดอาการสาหัสทั้งนั้น ช่างที่ดีจะต้องมีการตกลงกันกับลูกค้าก่อนซ่อมว่าจะใช้วิธีใด เช่น เหมาจ่ายค่าแรงทั้งหมดส่วนอะไหล่ให้ลูกค้าหาเอง ช่างนิสัยไม่ดีจะมาในรูปการรวมค่าแรงและอะไหล่แต่ไม่ยอมประเมินราคามักพูดว่า แล้วค่อยว่ากันไม่แพงหรอกไม่มีปัญหาหรอก พอซ่อมไปวันสองวันก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าอะไหล่แพงขึ้น ค่าขนส่งแพงขึ้น แล้วก็จะบวกขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ฟันกันเลือดสาด จำไว้ให้มั่นถึงจะเก่งอย่างไรก็อย่าไปซ่อมด้วยถ้าเจอลักษณะทำนองนี้

11.การส่งมอบคืนรถ อันนี้ก็ใช้เป็นข้อมูลว่าครั้งต่อไปจะมาอีกหรือเปล่า รถที่จะส่งมอบคืนลูกค้าต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อยอย่างน้อยก็เหมือนตอนเข้ามา ถ้าจะสร้างความประทับใจให้ลูกค้าก็ต้องดีกว่าตอนที่มาเข้าอู่เช่น การล้างรถให้เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวบ่งบอกความรับผิดชอบของอู่คือ เมื่อเจอคำถามว่า “จะประกันหลังซ่อมให้นานแค่ไหน” ถ้าเขามีความรับผิดชอบ มั่นใจในฝีมือไม่หมกเม็ด ช่างจะต้องกล้ารับประกันอย่างน้อยก็ 15 วัน แต่ถ้าเจอคำตอบประเภท “เออ!น่าถ้ามีปัญหาอะไรก็เข้ามาละกัน” แสดงออกถึงความบ่ายเบี่ยงซึ่งอาจมีการหมกเม็ดเกิดขึ้น ไม่เกิดปัญหาก็ดีไปแต่ถ้าเกิดพวกนี้จะโทษว่า เจ้าของรถใช้งานผิดประเภทหรือไม่ถูกวิธีเองไม่เกี่ยวกับที่ซ่อม อันนี้ก็จำไว้เลยบอกต่อพักพวกด้วยว่าอู่นี้เป็นเช่นไร

12.เข้าอู่เล็กหรืออู่ใหญ่ดี? อันนี้ถ้าเรื่องฝีมือช่างก็คงไม่แตกต่างกันหรอกแต่อู่ใหญ่ๆจะได้เปรียบในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือที่มีเยอะกว่า กำลังพลก็มากกว่า ซ่อมได้รวดเร็วกว่า แต่อู่เล็กก็มีข้อดีตรงที่ส่วนใหญ่เจ้าของอู่จะลงมือเองและความขยันของเด็กอู่ก็จะมีมากกว่าอู่ใหญ่ๆเพราะทำงานอยู่กับเจ้าของอู่ไปหลบอู้ที่ไหนไม่ได้ ที่สำคัญคือราคาจะย่อาเยาว์กว่าเพราะไม่ได้เลี้ยงลูกน้องเป็นโขยงเหมือนอู่ใหญ่ๆ

13.เข้าอู่เปิดใหม่หรืออู่ที่เปิดมานานแล้วดี? ข้อดีของอู่ที่เปิดใหม่ๆคือต้องการเรียกลูกค้า ราคาจะค่อนข้างถูก ความกระตือลื้อล้นของช่างมีสูงมาก ขยันขันแข็งเพื่อให้ส่งมอบรถเร็วๆ การซ่อมจะทำอย่างสุดฝีมือ ข้อด้อยก็คือยังขาดความชำนาญงานที่ออกมาจึงไม่ค่อยเรียบร้อยนักจึงไม่เหมาะกับรถราคาแพง ส่วนอู่ที่เปิดมานานแล้วมีข้อดีคือ ความพร้อมและความชำนาญของช่างดีกว่า ข้อด้อยก็คือราคาแพง และส่วนใหญ่อาศัยชื่อเสียงหากินเด็กอู่มักขี้เกียจและชอบหมกเม็ด

ที่มา https://www.asnbroker.co.th


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น