ไม่มีใครสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่ทุกครั้งที่คุณขับรถ ตลอดเส้นทางการใช้รถ ทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินอันมีค่าของคุณ จะได้รับความคุ้มครองจากการทำ
ประกันรถยนต์ ดังนั้นการเลือกแบบ
ประกันรถยนต์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆครับ โดยเราควรคำนึงถึงขอบเขตความคุ้มครอง คุณลักษณะการใช้งาน คุณลักษณะของตัวรถและความเสี่ยงของผู้ใช้รถแต่ละคน
นอกจากนี้ เราควรทราบหลักเกณฑ์ในการได้ส่วนลดต่างๆด้วย เพื่อให้ได้
ประกันรถยนต์ที่มีคุณภาพในราคาที่ประหยัดที่สุดครับวันนี้ “
ASN Broker ประกันรถยนต์ ” มีวิธีเลือกซื้อประกันรถยนต์แบบง่ายๆมาบอกกันครับ
เพราะเราต้องใช้บริการบริษัทรับ
ประกัน 1 ปีเต็มๆครับ การเลือกบริษัทจึงควรดูถึง
- ความมั่นคงทางการเงิน ให้บริการดี และไม่มีปัญหาเรื่องการจ่ายค่าสินไหม
- สามารถให้ความรู้และคำปรึกษาเรื่องประกันภัยแก่ลูกค้าได้
- อัตราเบี้ยประกันภัยต้องเป็นธรรมกับผู้เอาประกันภัย “เสี่ยงน้อยจ่ายน้อย เสี่ยงมากจ่ายมาก”
- มีศูนย์บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศเพื่อความสะดวกแก่ลูกค้า
TIPS:ผู้เอาประกันควรคำนึงถึงความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของ
บริษัทประกันภัย ตัวแทน และบริษัทนายหน้าประกันภัย ที่มีประวัติในการดำเนินธุรกิจที่ดี มีผลประกอบการที่ดี มีผู้ถือหุ้นที่มั่นคง และมีการบริการหลังการขายที่ดี ฯลฯ เป็นหลักสำคัญในการเลือกซื้อ
2.วิเคราะห์ความต้องการ
* ซ่อมอู่หรือซ่อมศูนย์ ซึ่งตรงนี้ค่าเบี้ยจะต่างกันประมาณ 10-30%
TIPS: ปัจจุบันการซ่อมอู่นั้นมีมาตราฐานค่อนข้างสูง เพราะมีการแข่งขันด้านคุณภาพให้ทัดเทียมกับศูนย์ แต่สามารถประหยัดเบี้ยประกันไปได้พอสมควรครับ
3.วิเคราะห์ลักษณะการใช้รถยนต์และหาส่วนลดเบี้ยประกัน
* หากรถยนต์ของคุณมีผู้ขับขี่ที่แน่นอน การระบุชื่อผู้ขับขี่ในกรมธรรม์ จะประหยัดเบี้ยได้ 5-20% เลยครับ โดยสามารถระบุผู้ขับขี่ได้ไม่เกิน 2 คน (ดูคนอายุน้อยเป็นหลัก)
อายุ 18 – 24 ปี ลด 5%
อายุ 25 – 35 ปี ลด 10%
อายุ 36 – 50 ปี ลด 15%
อายุเกิน 50 ปีลด 20%
TIPS: ไม่แนะนำให้ระบุอายุต่ำกว่า 25 ปีครับเพราะได้ส่วนลดนิดเดียว และกรณีผู้อื่นนำรถยนต์คันดังกล่าวไปขับขี่เกิดเหตุเป็นฝ่ายผิด ผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายของรถคันเอาประกันตามจริงแต่ไม่เกิน 6,000 บาท และรับผิดชอบค่าเสียหายต่อรถคู่กรณี 2,000 บาท ส่วนที่เกินตามจริงนั้นบริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบ
* การระบุค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible)
การทำประกันภัยรถยนต์แบบมี Deductible เป็นการเลือกรับความเสี่ยงภัยไว้เองบางส่วน กรณีเกิดอุบัติเหตุในเเต่ละครั้ง โดยแลกกับส่วนลด Deductible ซึ่งทั่วไปไม่จะระบุได้ตั้งแต่ 1000 - 5000 บาท
วิธีนี้จะทำให้สามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันภัยได้มากพอสมควรครับ ยกตัวอย่างเช่น
ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 20,000 บาท หากระบุค่าเสียหายส่วนแรกเท่ากับ 4,000 บาท ค่าเบี้ยประกันภัยจะเหลือ 16,000 บาท เท่านั้น ซึ่งในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด หรือ การเคลมที่ไม่มีคู่กรณี ผู้เอาประกันภัยจะต้องชดเชยค่าเสียหายเองตามจริงแต่ไม่เกิน 4,000 บาท (ไม่เกิน Deductible ที่ระบุไว้นั่นเอง) โดยส่วนที่เกินบริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบ
TIPS: วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้เอาประกันภัยที่มีประวัติการขับขี่ที่ดี ไม่ค่อยเกิดเหตุเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีการเคลมที่ไม่มีคู่กรณี หรือไม่มีการเคลมเก็บสีเก็บรอย ก็จะสามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันได้ทันที
หมายเหตุ
หากท่านเป็นฝ่ายผิด ส่วนลดประวัติดีจะลดลงทีละขั้น เช่นหากท่านมีประวัติดี 40
เปอร์เซ็นต์ และเป็นฝ่ายผิด 1 ครั้ง ส่วนลดก็จะลดลงเหลือ 30 เปอร์เซ็นต์
บางคนอาจจะเข้าใจว่าหากเป็นฝ่ายผิดเพียงครั้งเดียว ประวัติดีจะหมายหมด
ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด
* เคลมที่เป็นฝ่ายผิด คือ
การเคลมประกันกับบริษัท
ประกันภัยที่เกิดจากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด เช่น
ชนรถยนต์คันอื่น
* เคลมที่ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด คือ
รถยนต์คู่กรณีชนรถยนต์ของผู้เอาประกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://ประกันรถยนต์/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น