วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ทดสอบรถยนต์สปอร์ตไฮบริด Honda CRZ ตอนแรกกับการรีวิว รูปลักษณ์ เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง

ทดสอบรถยนต์สปอร์ตไฮบริด Honda CRZ ตอนแรกกับการรีวิว รูปลักษณ์ เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่างและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกบนเทคโนโลยี Hybrid IMA

Honda Motor จงใจสร้าง CRZ เพื่อต้องการให้มันเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมยานยนต์ยุคใหม่ รวมถึงมีความล้ำสมัยเกินหน้าเกินตารถยนต์เครื่องยนต์ลูกผสมแบบเบนซินบวกมอเตอร์ไฟฟ้าหรือ Hybrid ที่มีอยู่ทั่วไป โครงการรถ Sport Hybrid จะเป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจในเทคโนโลยีของการขับเคลื่อนยุคใหม่ มันคือยนตรกรรมสองที่นั่ง แม้จะมีเบาะหลังแต่ไม่เหมาะกับการนั่งเอาเสียเลย ซึ่งนำเอาการขับขี่แบบประหยัดมาผสมผสานกับความเป็นรถสปอร์ตที่ปราดเปรียวได้อย่างลงตัว ด้วยรูปทรงและกำลังของเครื่องยนต์ที่ทำงานร่วมแกนกับมอเตอร์ไฟฟ้า ผ่านการควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ที่โปรแกรมมาเพื่อการขับสองรูปแบบ และมันทำได้อย่างที่ีคุยเอาไว้จริงๆ

รูปทรงที่เกินหน้าเกินตารถประหยัดพลังงานทั่วไป ทำให้ CRZ มีความเป็นเอกลักษณ์ทางตัวตนสูงกว่ารถรุ่นอื่นๆ ของค่าย Honda ยกเว้นรถในตระกูล Type R ซึ่งร้อนแรงกว่า การออกแบบด้านหน้าที่ใช้กระจังหน้าทรงเหลี่ยมซึ่งเป็นชิ้นงานสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ครอบส่วนหน้าของรถไว้ทั้งหมด ตะแกรงพลาสติกสีดำทรงรังผึ้งบ่งบอกถึงมาดสปอร์ตที่มันต้องการจะสื่อสารกับคนทั่วไป ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ยังมีเลนส์พลาสติกสีฟ้าอมน้ำเงินที่มีความสวยงาม แก้มข้างท่ี่โป่งออกมามากกว่าปกติทำให้ล้ออัลลอยขอบ 16 นิ้วดูเล็กไปถนัดใจ 

โครงสร้างทั้งหมดของ Honda CRZ มาจากโครงแชสซีส์ของรุ่น Insight ความยาวของฐานล้อถูกตัดออกไป 115 มิลลิเมตรเพื่อความกระชับของตัวถัง ส่วนขนาดของความกว้าง วิศวกรของ Honda เพิ่มระดับของความกว้างฐานล้อออกไปอีก 25 มิลลิเมตรเพื่อระดับที่ดีของการยึดเกาะกับผิวถนน ฐานล้อที่กว้างขึ้นส่งผลไปถึงการควบคุมที่ดีขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้านข้างของตัวรถจะเห็นแนวหลังคาที่ลาดลงด้านหลัง พร้อมกับเส้นนำสาบตาคมๆ จากแก้มข้างไล่สูงขึ้นไปจนถึงกระจกบานหลังขนาดเล็ก บานประตูออกแบบได้ดีและค่อนข้างลงตัวมากเมื่อรวมกับเส้นสายของด้านข้าง กระจกมองข้างสีเงินมีหลอดไฟเลี้ยวแบบ LED อยู่ภายใน โป่งข้างด้านหน้าที่ว่าใหญ่ยังดูเล็กลงเมื่อเทียบกับโป่งของล้อหลังที่บวมพองออกแบบมาสำหรับกระทะล้อขนาด 18 นิ้ว ชุดแต่งหลากสำนักที่โมเครื่อง 1.4 ลิตรของ CRZ ให้มีม้ามากถึง 200 ตัว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องไปเพิ่มขนาดของหน้ายางให้โตขึ้นเพื่อการทรงตัวที่ดี ล้อแม็กซ์อะลูมินั่มอัลลอยขอบ 16 นิ้วลายห้าก้านคู่แบบพื้นๆ ห่อรัดเอาไว้ด้วยยางสมรรถนะสูงแต่แข็งเป็นหินของ Bridgestone รุ่น Potenza RE 050 Run Flat มันคือยางแก้มแข็งโป๊กที่สามารถวิ่งด้วยความเร็ว 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้ลมยางจะอ่อนหรือรั่วออกมาจนหมด 

ไฟท้ายทรงสามเหลี่ยมใช้หลอด LED วางตัวเป็นระเบียบในกรอบโพลิเมอร์สีแดงสลับขาว ไฟท้ายของ CRZ คือจุดที่เชื่อมโยงมุมมองของสัดส่วนบั้นท้ายที่ทำให้มันดูดีจนไปคล้ายกับรถต้นแบบแนวคิดหรือ Concept Car มากจนเกินพอดี กระจกบานหลังแบบสองชิ้น กระจกบานบนไล่จากหลังคาลงมาต่อกับกระจกบานล่างจากความกล้าหาญของการออกแบบที่ล้ำมากๆ กระจกบานหลังมีใบปัดน้ำฝนติดมาให้ครบ กันชนหลังหรือสปอยเลอร์หลังขนาดมหึมา ชายล่างของกันชนหลังยังมีชิ้นงานที่ออกแบบให้การจัดเรียงอากาศส่วนท้ายมีความเป็นระเบียบตามหลักการแอร์โรไดนามิกส์ พร้อมแถบพลาสติกสะท้อนแสงสีแดง สปอยเลอร์หลังที่ใหญ่โตสอดรับกับส่วนท้ายที่คอดลงของ CRZ คล้ายกับรูปทรงของหยดน้ำ

เครื่องยนต์ของ Honda CRZ Hybrid เป็นเครื่องเบนซินแถวเรียงสี่กระบอกสูบ ปริมาตรความจุ 1,497 ซีซี 16 วาว์ล iVTEC เป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็กสมรรถนะดีที่ยกมาจาก Honda Jazz เวอร์ชั่นอเมริกา เครื่องยนต์ทำงานในระบบ Hybrid IMA Integrated Motor Assist ร่วมแกนกับมอเตอร์ ตัวมอเตอร์เสริมกำลังถูกติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์ แบตเตอรี่ของ CRZ เป็นแบบ Matal Hydride วางอยู่ส่วนท้ายของรถใต้ห้องเก็บสัมภาระ เครื่องยนต์ของ CRZ ให้กำลัง 113 แรงม้า ที่ 6,100 รอบต่อนาที แรงบิด 144 นิวตันเมตรหรือ 14.7 กิโลกรัมเมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที เมื่อรวมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมแรง กำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 124 แรงม้า อัตราส่วนกำลังอัด 10.4:1 และมีความกว้างกระบอกสูบคูณช่วงชักที่ 73.0x89.4 มิลลิเมตร มอเตอร์ไฟฟ้ามีเรี่ยวแรงประมาณ 13 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 92 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังของ CRZ ใช้เกียร์ไฟฟ้าสายพานแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่องหรือ CVT ระบบบังคับเลี้ยวใช้พวงมาลัยไฟฟ้า EPS ระบบเบรกด้านหน้าจานดิสเบรกพร้อมช่องระบายความร้อน เบรกหลังมีขนาดของจานเล็กลง พร้อมระบบช่วยเบรก ABS ชุดกันสะเทือนด้านหน้าแมคเฟอร์สัน สตรัท สปริง โช้คอัพ เหล็กกันโคลง สปริงของ CRZ มีระยะยุบหรือยืดตัวน้อยกว่าปกติ เพื่อทำให้ความรู้สึกในการขับขี่แบบสปอร์ต ถูกส่งตรงไปยังข้อมือของผู้ขับขี่ได้อย่าางรวดเร็ว ส่วนกันสะเทือนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม 

ระบบขับเคลื่อนของ CRZ เป็นรถ Hybrid ในแบบที่กำลังของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า จะถูกส่งไปขับเคลื่อนล้อคู่หน้าพร้อมๆ กัน หรือตัดการทำงานเหลือเพียงการส่งถ่ายกำลังด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว พร้อมกับโหมด Auto Start-Stop ที่จะดับเครื่องยนต์ทุกครั้งขณะตัวรถจอดสนิท การควบคุมที่ดีของ CRZ เกิดจากจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำในตำแหน่งของการวางเครื่องยนต์ รถทั้งคันมีน้ำหนักรวม 1,147 กิโลกรัม น้ำหนักของ CRZ อยู่ในระดับเดียวกันกับ MINI Cooper แถมยังมีคาแรกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันมากในด้านการขับขี่ควบคุมจากระยะของฐานล้อและความสูง วิศวกรของ Honda ให้ความสำคัญในด้านความเสถียรของตัวรถอย่างสูงสุด โดยวางชุดแบตเตอรี่ไว้ให้ต่ำมากที่สุด เครื่ีองยนต์ของมันมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำมากกว่า Civic Type R และวางตัวเองอยู่ในระดับที่ต่ำมากที่สุดเท่าที่จะวางลงไปได้ ฝาสูบแบบสี่วาล์วต่อสูบของมันยังมีกลไกพิเศษ ในรอบต่ำ วาล์วไอดีจะเปิดเพียงตัวเดียวเท่านั้นและกลายเป็นเครื่องยนต์ 12 วาล์ว เพื่อช่วยในการเผาไหม้และการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ

Cockpit ของ Honda CRZ ออกแบบในแนวทางล้ำอนาคต รูปแบบคอนโซลสันเหลี่ยมจัดวางอุปกรณ์ได้แหวกแนว ช่องแอร์สี่เหลี่ยมเข้ากันได้ดีกับช่องกลมของมาตรวัดรอบแบบเรืองแสง พร้อมจอแสดงผลของระบบต่างๆ Multi Information Display สวิตช์ปรับโหมดการขับสามรูปแบบที่มีแถบเรืองแสงสีฟ้าอยู่ภายใน มาตรวัดความเร็วซ้อนทับอยู่ตรงใจกลางของมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ แจ้งความเร็วแบบดิจิตอลด้วยตัวเลขที่คมชัด และอ่านค่าได้ง่าย ปุ่มควบคุมอุณหภูมิ ปุ่มปรับความเร็วของพัดลมภายในห้องโดยสาร การสตาร์ตเครื่องยนต์ใช้กุญแจเสียบแล้วบิดแทนที่จะเป็นสวิตช์ Start -Stop On-Off เหมือน CRZ ที่วางขายในยุโรป เบาะนั่งห่อหุ้มด้วยผ้าสีดำ เดินตะเข็บด้วยด้ายสีฟ้าโทน Hybrid ให้อารมณ์สปอร์ตแบบเต็มพิกัด แต่คนรูปร่างใหญ่คงต้องพบกับความอึดอัด เนื่องจากความกระชับของตัวเบาะที่บีบรัดด้านข้าง เบาะปรับด้วยมือโดยไม่มีระบบปรับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า คอนโซลกลาง วางจอมัลติฟังก์ชั่นของระบบเครื่องเสียง ระบบนำทางและกำหนดพิกัดด้วยดาวเทียม ใช้งานผ่านเมนูภาษาไทย ส่วนซุ้มเกียร์ออโต้ไฟฟ้า CVT อัตราทดแปรผัน มีคันเกียร์น่าตาแปลกๆ กับช่องวางแก้วและคันเบรกมือที่อยู่ใกล้กับมือซ้ายของคนขับ 

แป้นคันเร่งเบรก และที่พักเท้าใช้วัสดุพวกอะลูมินั่มอัลลอย แผงประตูมีช่องวางแก้วและช่องเก็บของกระจุกกระจิก เบาะผู้โดยสารตอนหลังเหมาะสำหรับเด็กเล็ก หรือใช้วางของมากกว่าจะให้ผู้ใหญ่ที่มีรูปร่างปกตินั่งลงได้โดยไม่อึดอัด หลังคาที่ลาดลงกับพื้นที่ส่วนวางเท้าของเบาะหลังที่มีอยู่เพียงนิดเดียว ทำให้การนั่งที่เบาะด้านหลังค่อนข้างยากลำบาก แต่เมื่อพับเบาะ เจ้าของรถก็จะได้พื้นที่ในการขนของมากยิ่งขึ้น โดยสามารถวางกระเป๋าหรือถุงกอล์ฟใบใหญ่ได้อย่างจุใจ พวงมาลัยสามก้านหุ้มหนังแท้สีดำเย็บด้วยด้ายสีฟ้า ขนาดของวงพวงมาลัยเล็กกว่า Civic และ City เล็กน้อย และถึงแม้ว่าระบบส่งกำลังหรือเกียร์จะเป็นแบบพูเล่ย์สายพาน CVT แต่วิศวกรของ Honda ยังคงคาแรกเตอร์รถสปอร์ตเอาไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยการติดตั้งแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ที่ด้านหลังของก้านพวงมาลัย มาตรวัดของ CRZ มีความทันสมัยและสามารถเปลี่ยนสีสันไปตามโหมดและความเร็วของรอบเครื่องยนต์ รุ่นเกียร์ธรรมดาเวอร์ชั่นยุโรปจะมีไฟเตือนการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ติดมาให้ แต่สำหรับรุ่นที่ Honda Automobile นำเข้ามาทำตลาดนั้นเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT แจ้งเตือนตำแหน่งของเกียร์อัตราทดแปรผันผ่านจอเล็กๆ ใกล้กับมาตรวัดรอบ ห้องเก็บสัมภาระส่วนท้ายมีความจุประมาณ 225 ลิตร พื้นที่ค่อนข้างตื้นเนื่องจากด้านล่างมีแบตเตอรี่ของระบบ Hybrid วางอยู่ ความฉลาดทางการจัดวางรูปแบบและองค์ประกอบของห้องโดยสารใน Honda CRZ จึงอยู่ที่ด้านหน้ามากกว่า เน้นไปที่การมองเห็นมากกว่าการสัมผัส ห้องโดยสารของ CRZ จึงดูดีแม้จะใช้วัสดุระดับปานกลางขณะเดียวกันกับที่ค่ายรถอื่นๆ พยายามใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง แต่กลับให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้มราคา

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
 
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog , Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress Asn Broker Journal Blog
 
ขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ  กิจกรรม จับ แจก ฟรี ตั๋วหนัง !! 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับ .. ก่อนสอบใบขับขี่

เคล็ดลับ .. ก่อนสอบใบขับขี่

 


 ก่อนที่จะเริ่มต้นพูดถึงเรื่องการสอบนั้น สิ่งที่สำคัญ คือคุณต้องรู้ว่าคุณจะสามารถขับขี่รถยนต์ได้แล้วหรือไม่ โดยดูจากคุณสมบัติต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ 
  1. ต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบรูณ์ ขึ้นไป สำหรับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล
  2. ไม่เป็นผู้พิการทางสายตา หรือตาบอด
  3. ต้องไม่ตาบอดสี  เพียงเท่านี้คุณก็สามารถทำใบขับขี่ได้ แต่ใครที่เป็นผู้ทุพพลภาพก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะสำหรับ  ผู้ที่แขน-ขา ขาดข้างเดียว ตาบอดข้างเดียว หรือลำตัวพิการ และหูหนวกยังสามารถทำใบขับขี่ได้ แต่ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ กรมการขนส่งทางบกที่ใกล้บ้านคุณ  นอกจากนั้นแล้ว สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมเป็นอันขาดสำหรับการสอบ คงหนีไม่พ้นเอกสารที่ต้องเตรียมไปให้ครบ เพื่อยื่นต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งประกอบไปด้วย
    1. ใบรับรองแพทย์
    2. บัตรประชาชน
    3. สำเนาทะเบียนบ้าน
    4. ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตขับขี่รถยนต์แบบสมาร์ทการ์ด จ่ายให้แก่กรมขนส่ง 205 บาท
      เมื่อทราบแล้วว่าคุณสมบัติของผู้ที่สามารถสอบใบขับขี่มีอะไรบ้าง ก็ถึงเวลาที่จะก้าวย่างไปสำนักงานขนส่งจัีงหวัดใกล้บ้านคุณ .. สำหรับเขตกรุงเทพมหานครมีสำนักงานขนส่งพื้นที่สำคัญต่างๆ 4 แห่ง คือ
      1. สำนักงานขนส่งพื้นที่เขต 1 (บางขุนเทียน)
      2. สำนักงานขนส่งพื้นที่เขต 2 (ตลิ่งชัน)
      3. สำนักงานขนส่งพื้นที่เขต 3 (สุขุมวืท 62)
      4. สำนักงานพื้นที่ขนส่ง เขต 4 (หนองจอก)
      5. กรมการขนส่งทางบก สำนักงานใหญ่พื้นที่ 5 (จตุจักร)
      หลังจากเตรียมเอกสาร และทราบสถานที่ที่จะไปสอบแล้ว คราวนี้เราจะมาพูดถึงขั้นตอนการสอบกันครับ โดยเริ่มจาก
      1.ออกจากบ้านแต่เช้า และควรลางานหรือหยุด 2 วันเพื่อดำเนินการ  หลายคนมักมาแบบรีบๆ ผลสุดท้ายคือ ทำกิจไม่เสร็จห่วงหน้าพะวงหลัง การมาสอบใบขับขี่นั้นทางที่ดีควรมาแบบสบายตัว อย่ารีบร้อน ให้คุณผ่อนคลายเป็นวันหยุดลากิจไปเลยครับอย่าเสียดาย และที่สำคัญควรออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อไปรอสอบเร็วๆ เนื่องจากมีผู้สอบเยอะ และหากไปเร็วคุณก็ยิ่งเสร็จเร็ว ที่สำคัญ ยังมีโอกาสสอบแก้ตัว กรณีที่คุณไม่ผ่านรอบแรกด้วยครับ ( อันนี้ก็แล้วแต่สำนักงานด้วยนะครับ) โดยปัจจุบันเท่าที่ทราบ จะรับเพียงวันละประมาณ 100 คน ถ้าเกินก็ต้องมาใหม่วันหลัง
      2.พร้อมสำหรับการสอบ ในการสอบใบขับขี่ ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 วัน แบ่งเป็นการทดสอบ 4 ส่วนสำคัญ คือ
       
       2.1.ทดสอบสมรรถภาพร่างการ เช่นตาบอดสี ทดสอบสายตาแนวกว้างและแนวลึก และทดสอบการตอบสนองของร่างกาย
      2.2.อบรมเป็นเวลา 4 ชั่วโมง
      2.3.สอบข้อเขียน แบบกดจากคอมพิวเตอร์ ทราบผลทันที โดยต้องมีคะแนนมากว่า 70 %
      2.4 .สอบปฏิบัติ มี 4 ท่าสำคัญ คือ 1.การถอยเข้าจอด (เข้าซอง) 2. การหยุดเทียบทางเท้า และ 3.การเดินหน้าถอยหลังรถในทางแคบ
      3.ใจเย็นอย่าเร่งรีบ-มีสติ หลายคนพอถึงเวลาสอบจริงมักจะมาตกม้าตาย เพราะความตื่นเต้น แม้การสอบใบขับขี่จะดูเป็นเรื่องยากเย็น แต่ก็ไม่ยากจนเกินความเข้าใจ หรือทำไม่ได้ เพราะก่อนมาสอบคุณฝึกมันจนคิดว่าทำได้แล้ว ค่อยๆ ทำ
      แต่สำหรับคนที่ไม่ผ่านก็มาสอบใหม่กันไป โดยการสอบแก้ไขจะสอบเฉพาะส่วนที่ตกเท่านั้นครับ
      เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
       
      เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog , Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress Asn Broker Journal Blog
       
      ขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ  กิจกรรม จับ แจก ฟรี ตั๋วหนัง !! 
       
      ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker Campaign
       
      ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
       

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โดน ชนแล้วหนี ทำตัวอย่างไร!?!?

โดน ชนแล้วหนี  ทำตัวอย่างไร!?!?

เอี๊ยดดดด...โครม! หลังสุดสุรเสียงดังลั่นสนั่นทุ่ง ฝุ่นตลบเริ่มจางลง ความมึนงงเริ่มจางหาย หลายเหตุการณ์ที่ผู้ประสบเคราะห์กรรมพบว่าตัวเองถูกทิ้งอยู่อย่างเดียวดาย คลับคล้ายเหมือนถูกชนด้วยวัตถุลึกลับที่วิ่งพรวดหายไปในความมืด...

ขอ 3 คำที่คงไม่มีใครอยากได้อยากโดน ชนแล้วหนี...!!! ใครเคยประสบพบเจอเหตุการณ์ท่วงทำนองนี้ ร้อยทั้งร้อยแทบประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียงว่า ขอจำไปจนวันตาย ด้วยความวุ่นวายเยียวยาความเสียหายของฝ่ายตัวเองก็เจ็บเกินพอ แต่ดันต้องมาปวดหัวเพราะจับมือใครดมไม่ได้เข้าให้อีก

แล้วจะทำยังไงดี ในเมื่อสัจธรรมการดำเนินชีิวิตคือ มิอาจหลบหน้า จำต้องพบปะเหตุการณ์อันไม่ปรารถนามีนามว่า อุบัติเหตุ ไทยรัฐออนไลน์ขอชูมือเสนอแนวทางเพื่อสังคม ที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามถึงขั้นขะมักเขม้น แค่คอมเมนต์จำไว้ในหัวใจก็พอ...
ตั้งสติให้มั่น อย่าบุ่มบ่ามตื่นตูม

อุบัติเหตุที่มาถึงตัว มักไม่ค่อยให้โอกาสตั้งหลักสักเท่าไหร่ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป สิ่งที่ต้องพึงระลึกยามเกิดเหตุระทึกอยู่เสมอคือ อย่าตกใจจนเกิดเหตุ รวบรวมสติจากทุกส่วนของร่างกายให้ได้มากที่สุด เพราะการตื่นตระหนกไม่สร้างผลดีอันใด รังแต่จะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจ ก่อเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็มีให้เห็นเต็มหน้าหนึ่ง นสพ.ไทยรัฐ ไม่เว้นแต่ละวัน

จดจำให้แม่นทุกรายละเอียด

เมื่อตั้งสติดีแล้ว หากพบว่าคู่กรณีกำลังจะลี้ภัย หรือภาษาสก๊อยก็ ชิ่ง นั่นแหละ แล้วก็ต้องรู้จักคำว่า ออกตัวก่อนได้เปรียบ ไว้ด้วย หากเรามัวแต่ตั้งหลักเพื่อไล่ตามจับล่ะก็ฝันไปเถอะ ป่านนั้นคู่กรณีคงเผ่นไปไหนต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือ พยายามจดจำรายละเอียดของคู่กรณีให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปพรรณสันฐานของผู้ก่อเหตุ ทะเบียน รุ่นสี และตำหนิของรถคู่กรณี เพราะมันจะมีประโยชน์อย่างที่สุดสำหรับใช้ในการติดตามในภายหลัง
191 เบอร์แรกที่ต้องนึกถึง

หากแน่ใจว่ารายละเอียดถูกต้องและมากพอ รีบสอดส่ายสายตาควานหาโทรศัพท์ รีบกด 191 โดยพลัน แจ้งรายละเอียดคู่กรณีที่หลบหนี เส้นทางที่มุ่งหน้าหนี ทางเจ้าหน้าที่จะได้ประสานงานดักจับได้อย่างทันท่วงที

อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน

เมื่อโทรแจ้งเรียบร้อยแล้ว หากเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ ก็ไปสำรวจความเสียหายที่ผู้ก่อเหตุทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ขอเตือนว่าให้ระวังพวกมิจฉาชีพที่บางครั้งสร้างสถานการณ์ชนแล้วหลบหนี เพื่อให้เราลงจากรถเพื่อทำการชิงทรัพย์ได้โดยง่าย หากรู้สึกว่าเป็นซอยเปลี่ยวไม่ชอบมาพากล ก็ควรนั่งรอเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เราโทรแจ้งเมื่อสักครู่ อย่าตัดสินเอาเองว่าใครเป็นพลเมืองดี เพราะคนพวกนี้วางแผนและทำกันเป็นขบวนการ
รถมูลนิธิ รถพยาบาล ไม่นานเกินรอ

ในกรณีที่ตัวเราเองเลือดตกยางออก หากได้แจ้งไปยังปลายสาย แค่อึดใจจะพบรถมูลนิธิต่างๆ รวมถึงรถพยาบาลวิ่งมายังที่เกิดเหตุอย่างทันท่วงที ให้เราแจ้งอาการบาดเจ็บเบื้องต้นให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อการปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องและปลอดภัย และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงก็ค่อยแจ้งรายละเอียดของคู่กรณีอีกครั้ง

ตั้งสติ เรียบเรียงถ้อยคำให้การ

หากหลังจากเกิดเหตุไม่นาน คู่กรณีเกิดดวงแตกถูกจับได้ในทันที หลังจากนั้นก็จะมีการสอบปากคำทั้งตัวผู้ประสบเหตุและพยานที่เห็นเหตุการณ์ ควรเรียบเรียงคำพูดให้ถูกต้องตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากในช่วงเกิดเหตุแล้วมัวแต่ตกใจจนขาดสติ ย่อมทำให้ขั้นตอนให้ปากคำมีปัญหาได้ในภายหลัง เนื่องจากอาจจำสิ่งที่เกิดขึ้นแทบไม่ได้นั่นเอง
ส่วนในกรณีที่โชคร้ายเลือกจะสวมกอดตัวเรา นั่นหมายถึงคู่กรณีเผ่นหนีอย่างลอยนวล สิ่งที่ทำได้ในขณะนั้นก็แค่เจ้าหน้าที่ก็จะทำการออกหมายจับตามลักษณะที่เราได้แจ้งไว้ เพื่อติดตามจับกุมมาดำเนินคดีในภายหลัง

อ่อ..แล้วก็อย่าลืมแจ้งประกันด้วยถ้ามี เพราะหากลืมแจ้งประกันและนึกขึ้นได้ในวันรุ่งขึ้นล่ะก็ งานนี้มีแต่ยุ่งวุ่นวายกันยาวแน่นอน เพราะสถานะการเคลมจะต่างกันไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว ซึ่งรายละเอียดในการประกันคงต้องไปศึกษากันให้ดี เอาเป็นว่าขอให้ประกันมีไว้นะดี แต่หากมีแล้วไม่ต้องใช้นั่นแหละเป็นโชคอันประเสริฐ...เดินทางปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุทุกการเดินทางนะทุกคน.
 
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
 
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog , Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress Asn Broker Journal Blog
 
ขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ  กิจกรรม จับ แจก ฟรี ตั๋วหนัง !! 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ซื้อขายรถดาวน์ เค้ามีขั้นตอนกันอย่างไร และ มีสาระสำคัญอะไรบ้าง..

ซื้อขายรถดาวน์ เค้ามีขั้นตอนกันอย่างไร และ มีสาระสำคัญอะไรบ้าง..

ปัจจุบันนี้ เราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า รถยนต์มือสองเข้ามามีบทบาทสำคัญสำหรับเราทุกคนนะครับ ทำให้พวกเรามีรถขับกันไม่ต้องนั่ง taxi หรือ ขับมอเตอร์ไซค์ ในเงินที่น้อยกว่าออกรถป้ายแดงมาก ทีนี้ เวลาเราหาซื้อรถมือสอง มักจะเจอที่ว่า ขาย ดาวน์
คำว่าขายดาวน์ หมายถึง รถที่ยังติดไฟแนนซ์ อยู่นั่นเองครับ แต่อยากขายต่อ อาจจะด้วยว่า ผ่อนไม่ไหว หรือ อยากเปลี่ยนรถนะครับ
ทีนี้เรามาดูกันถึงรายละเอียดและขั้นตอนที่ต้องรู้เมื่อจะซื้อรถขายดาวน์ หรือ รถที่ยังติด ไฟแนนซ์อยู่นะครับ
การซื้อรถดาวน์ ภาษา ของไฟแนนซ์ เขาเรียกว่าการโอนกรรมสิทธิ์ ครับ ของ Finance เดิม ดังนี้
- ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ประมาณ 500 บาท + ค่า ตรวจสอบสภาพรถ (ตรอ) อีกประมาณ 1500 บาท - ค่าธรรมเนียม หรือ ค่าจัด นั่นเอง ประมาณ 1% ( ในพื้นที่ให้บริการของ Finance) 1.5% ของที่อยู่นอกพื้นที่ให้บริการ ทั้งหมดนี้คิดจากยอดที่เหลือจาก Finance เท่าไร - ค่าประกันภัย ถ้าของเดิมเหลือไม่ถึง 3 เดือน ต้องทำใหม่ - บาง Finance อาจเก็บค่า งวด ล่วงหน้า 1-2 เดือนด้วยนะ

เงื่อนไขการรับโอนกรรมสิทธิ์ จัดไฟแนนซ์ ก็เหมือนเราไปจัดเองทุกประการ ถ้า statement ไม่ดี ไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน หรือ ไม่มีใบรับรองเงินเดือน หรืออะไรที่ทำให้เขามั่นใจว่า เราไม่หนีเขาแน่ ก็จัดไม่ผ่านเช่นกันครับ
ทั้งหมดก็ประมาณนี้ ดีกว่าไปจัด Finance ใหม่นะ ถูกกว่ากันเป็น แสน เนื่องจากเราไม่ต้องเสียค่า ดอกเบี้ยที่แพง แถมเสียค่า Vat อีก 7% จากยอดเงินที่จัด Finance ผมเคยทำมาแล้ว คุ้มมาก
หลังจากนั้นเราก็ผ่อนต่อแล้วเอารถไปใช้ได้เลยครับ โดยหลังจากผ่อนหมด ไฟแนนซ์ จะโอนเป็นชื่อเราครับ
ทีนี้ เรามาดูกันว่า ที่เขาขายดาวน์มานั้นถูกหรือแพง คำนวนง่ายๆ ดังนี้ครับ
ให้ถามคนขายเลย ผ่อนเดือนเท่าไหร่ เหลืออีกกี่งวด แล้วขายดาวน์ กี่บาท ค่าโอนกรรมสิทธิ์ใครจ่าย เอามาคำนวนบวกกันทั้งหมดจะได้มูลค่ารถที่จะซื้อครับ แต่ส่วนมาก คนขาย จะยอมขายขาดทุนนิดหน่อยอยู่แล้วเช่น
คนขาย ตอนซื้อ ดาวน์มา 29000 ส่งไป 9 เดือน เป็นเงิน 79,290 +เงินดาวน์ 29,000 รวมเป็นเงิน 108,290  แต่คนขายใช้รถนี้มาแล้ว 9 เดือนมันจึงมีค่าเสื่อม เลยขายดาวน์ที่ 90000 เป็นต้น แล้วคนซื้อก็ไปผ่อนต่อเลย

แต่บาง finance ในปัจจุบันจะไม่อนุญาตให้เปลี่ยนคู่สัญญาถ้ายังส่งไม่ครบ 1 ปี ถ้าเกิดเจอกรณีแบบนี้ ทางผู้มาซื้อดาวน์ ต้องจ่ายค่างวดที่ขาดอยู่ให้ครบปีก่อนถึงผ่อนต่อได้นะครับ ยังไง ก็ลองสอบถามดูให้ดีเสียก่อนนะครับ
ต่อไปเรามาพูดถึงข้อควรระวัง
หากซื้อดาวน์ แล้ว คนขายไม่โอนกรรมสิทธิ์ให้ตามนี้ เข้าข่ายโดนหลอกครับ ถึงรถจะอยู่กับเรา แต่ถ้ายังไม่เปลี่ยนคู่สัญญา หรือ โอนกรรมสิทธิ์ เมื่อผ่อนหมด ไฟแนนซ์ จะไม่สามารถ โอนเป็นชื่อของคุณได้นะครับ ต้องระวังไว้ให้ดี เจอกันมาเยอะแล้ว
สำหรับคนขายก็เหมือนกัน ให้รถเขาไป ถ้าเขาไม่ผ่อนต่อ ภาระผูกพัน ก็ยังเป็นของคุณนะครับ เค้าอาจจะเอารถหนีไปเลยก็ได้ หรือซ้ำร้ายไปชนใครตาย ความผิดก็จะตกอยู่กับเจ้าของรถทันทีนะครับ  ต้องมานั่งตามจับกันอีก วุ่นวายไม่ใช่น้อย ทางทีดี แจ้งโอนให้เรียบร้อย จะปลอดภัยกว่าทั้งผู้ซื้อ และ ผู้ขายนะครับ

ทุกวันนี้เราหลายคนมักอยากจะมีรถด้วยข้ออ้างสารพัดต่างๆนานา ทั้งๆที่ น้ำมันก็ราคาแพง แต่คงจะไม่ใช่หน้าที่เราจะมาบอกว่าอะไรถูกอะไรผิดหากแต่ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกว่าที่ก่อนซื้อรถต้องระลึกถึงภาระที่ตามมาอย่างหนักอึ้งในอีกหลายปีต่อจากนี้การซื้อข่ายรถยนต์ในปัจจุบันนั้น เริ่มมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในบรรดาการซื้อขายที่เราเริ่มได้ยินกันหนาหู ก็ไม่พ้น "ขายดาวน์" ที่เริ่มได้รับความนิยมด้วยกระบวนที่ไม่ซับซ้อนหรือยุ่งยากแต่แน่นอนว่า เรื่องที่หลายคนไม่รู้คือแม้การขายแบบนี้จะได้เงินเร็วแต่มีความเสี่ยงสูงทั้งผู้ซื้อและผู้ขายกระบวนการ "ขายดาวน์" รถยนต์ เป็นกรรมวิธีใหม่ที่เพิ่งมีการคิดค้นรูปแบบการซื้อขายรถยนต์เมื่อไม่นานมานี้ และกำลังนิยมอย่างมาก โดยวิธีขายดาวน์ ก็คือการขายรถยนต์โดยให้ผู้ที่ซื้อไปทำการผ่อนชำระต่อกับไฟแนนซ์ในงวดที่เหลือ โดยผู้ซื้อต้องจ่ายเงินก้อนจำนวนหนึ่งให้กับผู้ขาย ก่อนที่จะไปดำเนินการเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อและได้รถมาขับฟังดูแล้ว "ขายดาวน์" ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ด้วยการที่ผู้ซื้อกับผู้ขายสามาถตกลงราคากันเองได้ง่ายตามพอใจ ทำให้กระบวนการนี้ลดความยุ่งยากตามที่เรานำเสนอ และเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายต่างเป็นที่พอใจ ก็สามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้แต่ที่หลายคนไม่ทราบคือ กระบวนการ ซื้อรถแบบ "ขายดาวน์" ยังมีอุปสรรคอีกมากมาย ที่อาจจะนำมาสู่ความไม่สมหวัง1.ผู้ซื้อ แม้กระบวนการขายดาวน์จะง่ายและใช้เงินน้อย แต่ที่หลายคนมักลืมไปเสียสนิท คือ เงินก้อนใหญ่ที่จ่ายไปนั้นเพื่อซื้อรถที่มีคนใช้แล้ว ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากการซื้อรถมือสองดีๆ หลาย ครั้งที่เราพบว่าการขายดาวน์กลับใช้เงินสูงกว่าการออกรถใหม่ป้ายแดงเสียด้วยซ้ำ และยิ่งไปกว่านั้นแม้การซื้อรถแบบขายดาวน์ผู้ซื้อต้องไปเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อตามระเบียบอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะซื้อได้ทุกคน เพราะการเปลี่ยนสัญญาก็ไม่ต่างกับการเช่าซื้อใหม่ ซึ่งทางสถาบันการเงินต้องตรวจสอบสถานะการเงินก่อน ไม่ใช่ว่าจ่ายเงินก้อนแล้วจะได้รถเลยและผ่อนต่ออย่างสบาย อย่างที่หลายคนเข้าใจกันไม่เพียงเท่านี้ การซื้อรถที่ขายดาวน์ หากเป็นไปได้ควรทราบประวัติรถว่า รถคันดังกล่าวไม่ใช่รถที่มีประวัติหนีไฟแนนซ์หรือค้างชำระกับสถาบันการเงิน เพิ่มขึ้นจากการดูเพียงสภาพรถทั่วไป เนื่องจากมีการซื้อขายหลายกรณีที่พบว่าท้ายที่สุดแล้วรถที่นำมา "ขายดาวน์" เป็นรถที่มีหนี้ค้างชำระกับสถาบันการเงิน
2.ผู้ขาย หากคุณมีความประสงค์ในการขายรถยนต์แล้วมองว่า การ "ขายดาวน์" เป็นทางออกที่เหมาะสมมากกว่า หนทางอื่น การดำเนินการ "ขายดาวน์" ก็ควรมองในเรื่องความคุ้มค่าด้วยไม่ใช่คิดแค่อยากปล่อยรถออกไป แต่ลองคำนวนเม็ดเงินที่ใช้จ่ายไปในแต่ละงวดด้วย โดยเฉพาะดอกเบี้ยที่คุณเสียไป
นอกจากนี้การขายดาวน์นั้นต้องไม่ปล่อยรถไปจนกว่ากระบวนการเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อจะเสร็จสิ้น ไม่ว่ากับเต๊นท์รถหรือผู้ซื้อรถก็ดี เนื่องจากการขายดาวน์ต้องมีการแจ้งเปลี่ยนผู้เช่าซื้อรายใหม่ เพื่อปิดบัญชีทั้งต่อสถาบันการเงิน และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร เพื่อให้คุณสามารถซื้อรถคันใหม่ หรือดำเนินการใดๆ ในด้านการเงินได้ตามต้องการ
ยิ่งไปกว่านั้น การดำเนินเอกสารให้เสร็จสรรพก่อนปล่อยรถออกไปยังเป็นการป้องกันในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ผ่อนชำระต่อตามที่ได้สัญญาหรือตกลงกันไว้ แม้จะมีการทำเอกสารรับรองการซื้อขายอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ในทางกฏหมาย เมื่อชื่อสัญญาเช่าซื้อยังเป็นของผู้ซื้อรายเดิม ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 352 ได้ระบุให้ผู้เช่าซื้อมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ หากบริษัทไฟแนนซ์ยื่นขอยกเลิกสัญญาและให้ผู้เช่าซื้อคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ แต่เมื่อไม่สามารถคืนได้ไม่ว่าจะไปซุกซ่อนหรือขายต่อไปแล้วจะไม่สามารถอ้างเหตุใดๆ ต้องรับโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
จากที่เรากล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การ "ขายดาวน์" หรือซื้อรถ "ขายดาวน์" ต่างก็มีความเสี่ยงสูงทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเอง แต่ไม่ใช่เราไม่แนะนำว่า ไม่ให้ซื้อรถที่ดำเนินการขายรูปแบบนี้ หากแต่คุณเองจำเป็นต้องมีความรอบคอบก่อนจะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อเงินในกระเป๋าเองและในแง่กรณีที่เกิดการดำเนินการทางกฏหมายตามมา

 
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
 
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog , Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress Asn Broker Journal Blog
 
ขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ  กิจกรรม จับ แจก ฟรี ตั๋วหนัง !! 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประกันภัยรถยนต์,ความรู้ด้านประกันภัยรถยนต์ กับ Asn Broker: วิธีดูรถมือสอง

ประกันภัยรถยนต์,ความรู้ด้านประกันภัยรถยนต์ กับ Asn Broker: วิธีดูรถมือสอง: วิธีดูรถมือสอง รถเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ทุกคน ใฝ่ฝันที่จะมีรถยนต์เป็นของตนเองไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือรถมือสอง ยิ่งในยุคนี้ผู้อ่านคง...

วิธีดูรถมือสอง

วิธีดูรถมือสอง

รถเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ทุกคน ใฝ่ฝันที่จะมีรถยนต์เป็นของตนเองไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือรถมือสอง ยิ่งในยุคนี้ผู้อ่านคงจะทราบว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำผู้คนรายได้น้อยลงแต่ราคารถใหม่สูงขึ้น รถมือสอง หรือรถใช้แล้ว จึงเป็นทางเลือกของความต้องการที่มากขึ้น เราจึงนำเสนอ ข้อคิดของ N.K.CAR PLAZA มาเป็นแนวทางในการเลือกซื้อรถมือสองให้กับผู้อ่านเพื่อป้องกันความผิดหวัง
     ทั้งนี้เนื่องจากการซื้อรถมือสองนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด รายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่ต้องพิจารณาร่วมไปกับการดูรถ เพื่อความไม่ประมาทควรศึกษาข้อมูลและรายละเอียดของรถที่ท่านจะซื้อเพื่อพิจาณาถึงข้อดีและข้อเสียของรถและสิ่งที่ควรคำนึงถึงในเบื้องแรกคือ เรื่องของราคาอะไหล่ว่าแพงไหน อะไหล่หายากหรือไม่ รถที่จะซื้อเป็นรถ ที่นิยมของตลาดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นแนวทางแรกก่อนที่จะเข้าสู่วิธีการซื้อรถด้วยการตรวจเช็ก อย่างละเอียดต่อไป
     ธุรกิจรถมือสองในบ้านเราในปัจจุบันมีการเปลี่ยนมือเปลี่ยนเจ้าของปีละประมาณ 700,000-800,000 กว่าคัน และเพิ่มสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการเลือกซื้อรถมือสอง ส่วนใหญ่อยู่ที่ราคาที่ตั้งกันไว้ในตลาดซึ่งจะเป็นราคาที่ผู้ขาย (เต็นท์รถ) ตั้งเอาไว้ซึ่งรวมราคาค่าซ่อมแซม ค่าลงทุนในการปรับปรุงให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ทันทีราคาจึงอาจสูงอยู่บ้าง แต่อาจไม่บานปลายหากผู้ขายมีความรับผิดชอบที่ดี
     อย่างไรก็ดี ผู้ค้ารถมือสองที่มีความซื่อสัตย์ และมีจรรยาบรรณในอาชีพก็มีอยู่บ้าง ในมุมมองของผู้บริโภคแล้ววิธีการในการลดความเสี่ยงจากการซื้อรถมีหนทางในการตรวจเช็กที่ไม่ยากนัก เพียงท่านปฏิบัติตามกฎกติกาที่เราได้รับคำแนะนำจาก N.K.CAR PLAZA ผู้มีประสบการณ์การในการดูรถมือสองมาเป็นเวลาเกือบ 30 ปี มาใช้ในการคัดเลือกซื้อรถมือสอง โอกาสได้รถดีมีคุณภาพสูง
     ดังนั้นข้อเสนอต่อไปนี้เป็นบรรทัดฐานในการดูรถก่อนตัดสินใจ และทดสอบรถคันที่ท่านจะซื้อ ประสบการณ์นั้นไม่จำเป็น ถ้าใช้ความรอบ คอบและใจเย็นในการตรวจเช็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถที่เกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุร้ายแรงมาก่อนหน้านี้ ถ้าหากว่าเจ้าของรถซ่อมแซมรถแค่ให้ใช้งานได้เพื่อเอาไว้ขายต่อ ร่องรอยต่างๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะถ้าซ่อมกันจริงๆ แล้วราคาค่าซ่อมจะสูงมาก แต่สมัยนี้มีอู่คุณภาพดี ๆ ที่สามารถซ่อมงานที่เสียหายมากๆ ให้ดูดีเหมือนปกติ ด้วยการเปลี่ยนชิ้นส่วนและขั้นตอนการซ่อมที่พิถีพิถัน การตรวจเช็กในบางทีก็อาจจะดูไม่ออกเหมือนกัน
     สิ่งที่เป็นสัญญาณเตือนเป็นอย่างดีอีกข้อก็คือ เอกสารจากเจ้าของมีพิรุธหรือไม่ตรงกัน หรือหากมีการแก้ใข ควรตรวจสอบอย่างละเอียด ถ้าพบข้อสงสัยมากมายในการเรื่องเอกสาร เราขอแนะนำว่าท่านควรเลี่ยงซื้อรถคันดังกล่าว เพราะปัญหาที่มีอยู่ในรถจะเป็นอะไรที่ตัวแทนจำหน่ายจะไม่ยอมรับผิดชอบหลังจากที่ท่านตัดสินใจซื้อไปแล้ว
     ดังนั้นทางเราจึงได้นำข้อมูลที่ทาง N.K.CAR PLAZA และ นิตยสารกรังด์ปรีซ์ รวมกันจัดทำมาเผยแพร่ให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงรายละเอียด และข้อแนะนำที่ถูกต้องในการซื้อรถมือสองทั่ว ๆ ไป ท่าน จะได้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคในการซื้อรถมือสอง และวิธีตรวจเช็กรถใช้แล้วเฉพาะหลักสำคัญ ๆ แบบง่าย ๆ ใช้คำศัพท์ที่ไม่เป็นทางการมากนัก เพื่อที่จะได้เข้าใจได้ไม่ยากนัก
ขั้นตอนที่ 1 ตรวจเช็กโครงสร้าง
     ก่อนที่ท่านจะซื้อรถมือสอง ให้ดูสภาพของโครงสร้างภายนอกของตัวรถก่อน จากด้านหน้าไป จรดด้านท้ายรถ สังเกตตามตะเข็บรอยต่อของหลังคา ขอบกระจกหน้า-หลัง จากนั้นเปิดฝากระโปรงหน้าดูที่คานหม้อน้ำทั้งด้านและด้านล่าง ขายึดกันชนที่ต่อเชื่อมมาจากแชสซีส์ ดูตะเข็บรอยต่อภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่ามีร่องรอยของความเสียหายหรือไม่ เพราะรถที่ถูกชนอย่างหนักพวกรอยเชื่อมหลังจากซ่อมมาแล้ว มักจะไม่เหมือนกับที่มาจากโรงงาน อันนี้คงต้องใช้การสังเกตดูหลาย ๆ คันมาเปรียบเทียบกัน และรถที่ถูกชนมาหนักพวกนี้เวลาที่ใช้งานไปนาน ๆ มักจะพบปัญหาตามมา และในบางครั้งศูนย์ของรถอาจจะคลาดเคลื่อนมากจนเกินที่จะแก้ไขได้ด้วย แต่ถ้าหากมีร่องรอยบ้างไม่มากนัก ก็แสดงว่ารถคันนี้มีการซ่อมแซมจากการชนมาบ้างแล้ว แต่ไม่หนักหนา หรือถ้าไม่พบเลยก็จะเป็นอันดีที่สุด
     การดูด้านหลังก็ให้ดูเหมือนด้านหน้า แต่โครงสร้างส่วนหลังนี้มีความสำคัญน้อยกว่าส่วนหน้า ถ้าจะให้เปรียบเทียบโครงสร้างของรถกับโครงสร้าง ของคน ก็คงจะเปรียบได้กับกระดูกที่เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้ร่างกายของเราสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ถ้าเขาเกิดอุบัติเหตุขาหัก ก็จะทำให้เดินกะเผลกเสียศูนย์ เดินแล้วไม่ปกติ เป็น ต้น ซึ่งก็เหมือนกับรถยนต์ หากเสียศูนย์ จนไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว เมื่อเบรกอย่างกะทันหันรถก็อาจหมุนได้ หรือขณะขับขี่ผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังรถก็อาจลื่นไถลได้ง่ายแม้จะไม่ได้เบรกก็ตาม
     โครงสร้างของรถยนต์นั้นหลายส่วนสามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ และก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ หรือถ้าจะเปลี่ยนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสลับซ้บซ้อนมากจนไม่มีใครนิยมทำกัน อย่างบังโคลนหน้า ฝาประโปรง ประตู สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่แทนได้ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุมา ส่วนแก้มหลังที่ต่อกับเสาหลังรถหรือเฟรมตัวถังกับเสาประตู เป็นชิ้นส่วนที่ไม่นิยม เปลี่ยนกัน ด้วยขั้นตอนความยุ่งยากและความแข็งแรงของส่วนนั้นที่จะลดลงหลังจากทำการซ่อมไปแล้ว จึงไม่เป็นที่นิยมของอู่ซ่อมจนพอจะเรียกได้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ จึงควรจะต้องดูที่บริเวณนี้ให้ดี
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจเช็กสภาพตัวถังภายนอกและสีรถ

     ลำดับถัดมาเป็นเรื่องของสภาพตัวถังภาย นอก ให้ดูว่าสภาพของสีรอบๆ ตัวรถว่ามีการบวมปูดของสีหรือสีซีดด่าง ผุเป็นสนิม มากน้อยแค่ไหน เพราะการทำสีนั้นแต่ละส่วน แต่ละบริเวณนั้นเช่น บังโคลน ค่าทำสีชิ้นละ 2,000-3,000 บาท ถ้าต้องทำสีมากหลาย ๆ จุดคำนวณดูแล้วค่าทำสีจะสูงมาก ก็ไม่ไหวเหมือนกัน

ขั้นตอนที่ 3 ตรวจเช็กเครื่องยนต์ 

     คราวนี้ก็ว่าด้วยเรื่องเครื่องยนต์กลไกต่างๆ แม้ว่าในปัจจุบันนี้รถญี่ปุ่นจะมีเครื่องใช้แล้วจาก ญี่ปุ่นเข้ามาจำหน่ายมากมายและหาง่ายก็ตาม แต่ราคาของเครื่องยนต์ก็เป็นเรือนพันเรือนหมื่นจึง ควรตรวจเช็กอย่างรอบคอบ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น จากนั้นเมื่อสตาร์ทเครื่องแล้ว ให้ดูว่าเครื่องยนต์เดินเรียบหรือไม่และให้ฟังดูว่ามีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน มีเสียงดังแต็ก..แต็ก ของวาล์วหรือไม่ หรือเสียงดังกั๊ก ๆ ที่เกิดจากแคมชาฟท์หรือเพลาข้อเหวี่ยง สลักลูกสูบหรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าเครื่องยนต์มีปัญหาใหญ่แน่ ๆ ต่อมาให้ลองฟังดูว่ามีเสียงของลูกปืนไดชาร์จไดสตาร์ทด้วย

     จากการฟังก็มาถึงการใช้วิธีดมกลิ่นที่ท่อไอเสียดูถ้ามีกลิ่นไม่ฉุนมากนักก็แสดงว่าเผาไหม้ได้ หมด แต่ถ้ามีกลิ่นฉุนรุนแรงหรือมีควันสีดำออกมาเวลาเร่งเครื่องก็แสดงว่าเผาไหม้ไม่หมดเครื่อง ยนต์ไม่สมบูรณ์ และรถคันนั้นจะกินน้ำมันมากกว่าปกติอีกด้วย หรือถ้าเป็นควันดำสีขาวไหลออก ทางปลายท่อ ยิ่งมีปริมาณมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงว่าเครื่องหลวมมากเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจเช็กระบบแอร์

 
     ตรวจเช็กตู้แอร์ดูว่ามีเสียงของพัดลมดังผิดปกติหรือไม่เสียงของคอมแอร์ดังขึ้นมาไหม ซึ่งทดลองได้ไม่ยากนัก แค่ปิด-เปิดแอร์ แล้วฟังเสียงดู ถ้ามีเสียงดังตอนเปิด และเงียบลงตอนปิด ก็แสดงว่าคอมแอร์เริ่มมีปัญหาแล้วล่ะ

ขั้นตอนที่ 5 ตรวจเช็กระบบเกียร์
     สำหรับระบบเกียร์นั้นมีวิธีการตรวจเช็กแบบง่ายๆ รถจอดอยู่กับที่ก็สามารถตรวจได้ ถ้าเป็น เกียร์อัตโนมัติให้ลองเข้าเกียร์ D ดูว่ามีการกระตุกที่รุนแรงไหม โดยใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกเอาไว้แล้วใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งลงไปเรื่อยๆ ถ้ารอบอยู่ที่ประมาณ 2,000 รอบ/นาที ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ารอบเลยขึ้นไปถึง 2,500-3,000 รอบขึ้นไป ก็แสดงว่าชุดคลัตช์เริ่มลื่นแล้วซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมนั้นสูงมาก ตั้งแต่ 20,000 ถึง หลักแสนแล้วแต่อาการ

เกียร์ธรรมก็เช่นกัน ให้ติดเครื่องและเข้าเกียร์หนึ่งโดยใช้เท้าขวาเหยียบเบรกเอาไว้และค่อยๆ ปล่อยคลัตช์ดู ถ้าเครื่องดับแสดงว่าคลัตช์ยังดีอยู่แต่ถ้าเครื่องยังไม่ดับก็เป็นอันว่าชุดคลัตช์กลับบ้านไปแล้ว

ขั้นตอนที่ 6 การตรวจเช็กสภาพห้องโดยสาร


     การตรวจสอบภายในห้องโดยสารให้ตรวจเช็กอย่างละเอียดว่าระบบไฟฟ้าทั้งหลาย ระบบไฟสัญญาณต่างๆ บนหน้าปัดขณะที่บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON สัญญาณเครื่องหมายต่าง ๆบน หน้าปัดจะต้องมีโชว์ขึ้นมาทั้งหมด

     เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้วไฟต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องดับหมด ซึ่งถ้าดวงไหนยังไม่ดับแสดงว่า ระบบนั้นต้องมีปัญหา เช่น ไฟ ABS ถ้าติดอยู่แสดงว่าระบบ ABS มีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ และอาจจะต้องเสียเงินค่าซ่อมเป็นเงินหลายตังค์แน่ๆ หรือถ้าไฟ AIR BAG ติดอยู่แสดงว่าระบบ ถุงลมนิรภัยมีปัญหาแน่ส่วนในบางทีถ้าบิดสวิตช์กุญแจแล้วไฟสัญญาณบางดวงไม่โชว์ทั้งที่มีระบบนั้น ก็แสดงว่า มีการถอดหลอดออกเพื่อไม่ให้ไฟโชว์ แบบนี้ให้ระวังให้ดี
     และอีกอย่างสำหรับรถรุ่นใหม่ๆ ก็อย่าลืมตรวจเช็กกระจกไฟฟ้า สวิตช์ไฟระบบไฟส่องสว่าง ต่างๆ ว่าทำงานหรือไม่ ระบบเครื่องเสียงยังคงใช้ได้อยู่ไหมไม่ใช่มีไว้แค่ประดับรถให้เจ้าของที่จะซื้อเอาไว้ดูเล่นตรวจเบาะนั่งทุกตัวต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมทั้งดูอุปกรณ์อื่นๆ ประกอบด้วย
ขั้นตอนสุดท้ายลองขับด้วยตัวเอง

 
     การทดสอบขับบนถนนที่มีสภาพถนนต่างๆ หลายๆ แบบจะยิ่งช่วยให้การตรวจสอบนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วงที่ทดลองขับให้พยายามฟังเสียงเครื่องยนต์ดูว่ามีอะไรผิดปกติไหม เข็มวัดอุณหภูมิความร้อนของเครื่องอยู่ในระดับปกติหรือไม่ จับอาการการทำงานของเกียร์ ซึ่งถ้าเป็นเกียร์ อัตโนมัติให้สังเกตดูว่าเกียร์เปลี่ยนครบทุกเกียร์ไหม มีการเปลี่ยนเกียร์ ที่ต่อเนี่องและนิ่มนวลหรือไม่ กระตุกมากเกินไปไหม และอย่าลืมสังเกตอีกนิดว่าเกียร์ตอบสนองทันใจไหม เพราะถ้าเร่งเครื่องแล้วรอบขึ้นไปมากแต่รถไม่ค่อยไปก็แสดงว่าชุดคลัตช์ในเกียร์นั้นคงมีปัญาหแล้วแน่ ๆ

     ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาก็ให้ลองเปลี่ยนเกียร์ดูให้ครบทุกเกียร์จะได้รู้ว่าเกียร์มีปัญหาไหม ถ้าหากมีเสียงดัง แก๊ก แก๊ก...ขึ้นมา ตอนเปลี่ยนเกียร์ทั้งที่เหยียบคลัตช์สุดแล้วแสดงว่าชุดซินโครเมช เกียร์นั้นชำรุดแล้ว หรือเข้าเกียร์ยากก็อาจจะเกิดจากผ้าคลัตช์หมดหากเป็นไปได้ก็ให้คนที่ไปด้วยช่วยฟังดูด้วยว่าเกียร์ เฟืองท้าย (ในกรณีที่เป็นรถขับหลัง) ลูกปืนล้อมีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีนั่นก็จะเป็นสัญญาณเตือนว่าถ้าคุณซื้อรถคันนี้ไป อีกไม่นานคุณอาจจะต้องเสียงตังค์ซ่อม มันแน่ และยิ่งดังมากเท่าไรคุณก็อาจจะต้องเสียตังค์เร็วขึ้นเท่านั้น
     เวลาวิ่งบนถนนที่ขรุขระ ให้สังเกตด้วยว่ามีเสียงผิดปกติของช่วงล่างไหม การบังคับเลี้ยวเป็นอย่างไร รถวิ่งเอียงหรือเฉไปเฉมาไหม หรือเบรกไม่อยู่ และลองเหยียบเบรกดูด้วยว่ามันอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ไม่ใช่วิ่งๆ ไปพอเบรกทีรถแฉลบลงข้างทางไปเลยและรถขับเคลื่อน ล้อหน้าให้ทดสอบเพลาขับหน้าด้วยโดยหักเลี้ยวซ้ายสุด ขวาสุดว่ามีเสียงดัง แกร็กๆ เวลาออก ตัวหรือไม่ ถ้าเสียงดังแสดงว่า เพลาขับหน้าชำรุดแล้ว
     สุดท้ายให้ดูสภาพของยางที่ติดอยู่กับรถว่า มีการสึกหรอเพียงใด โดยสามารถสังเกตได้อย่าง ง่ายๆ คือให้ลองเอาเล็บจิกไปที่ดอกยาง ถ้ายางแข็งมากจนเล็บจิกไม่เป็นรอย หรือเวลาที่วิ่งแล้วมีเสียงของยางกระทบพื้นถนนที่ดังมากก็แสดงว่ายางนั้นเสื่อมสภาพแล้ว แต่ต้องแยกให้ออกด้วย ว่าเป็นเสียงยางหรือเสียงลูกปืนล้อกันแน่ ถ้ายางนั้นสึกไม่เท่ากันทั้งหน้ายางก็แสดงว่าศูนย์ล้อนั้นมีปัญหาแล้วเรื่องของศูนย์ล้อก็ต้องระวังเอาไว้ด้วย เพราะถ้าแค่ศูนย์ล้อคลาดเคลื่อนธรรมดานั้นสามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าเคลื่อนจนไม่สามารถตั้งได้แสดงว่ารถคันนี้ต้องประสบอุบัติเหตุมาแน่นอน
     ทั้งหมดนี้เป็นการดูรถยนต์มือสองอย่างละเอียดพอสมควร ซึ่งเวลาปฏิบัติจริงคงไม่สามารถทำได้ทุกข้อ แต่ถ้าไม่สนใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โอกาสจะผิดพลาดและผิดหวังก็เกิดขึ้นได้ง่ายเช่นกัน อย่างไรก็ดีขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและความพอใจของผู้ซื้อว่าราคากับคุณภาพเหมาะสมกันแค่ไหน ในบางครั้งจ่ายแพงกว่าอีกนิด แต่หลายๆ สิ่งครบสมบูรณ์กว่าอาจจะดีกว่าจ่ายน้อยแต่ต้องมานั่งซ่อมบานปลายกันในภายหลัง


เทคนิคการดูรถมือสอง
1. ดูตัวถัง body
- เปิดฝากระโปรงหน้ามาดูคานหน้า มีรูเบี้ยว หรือไม่คมหรือไม่
- ป้ายทะเบียนรถยับมีรอยดัดหรือไม่
- สันด้านข้างตะเข็บความนูนเสมอกันหรือไม่
- สำหรับด้านหลัง ไฟท้ายทั้ง 2 ดวงเสมอเบ้าหรือไม่
- พื้นรถด้านหลังโดยมาก ก็สังเกตุดูว่าเท่ากันหรือปล่าว
- ส่วนด้านข้าง ก็ดูเทียบสี จากโรงงานสีเดิม กับอู่สี ใช้วิธีเคาะด้วย
 ที่ทำสีมาแล้วเสียงจะทึบๆ หน่อย ชิ้นที่สีเดิมจะมีเสียงโปร่งๆ จะรู้ถึงความต่าง
2. เครื่อง + ช่วงล่าง + เกียร์
- เครื่อง มีเสียงดัง หรือรอบไม่นิ่ง รอบสูงบ้างต่ำบ้างหรือไม่ มีน้ำมันไหลซึมออกมาหรือไม่
- เกียร์ ชุดส่งกำลัง คลัชต์ ถ้าเข้าเกียร์ ออกตัวแล้วสั่น หรือไม่ เข้าเกียร์ยากหรือไม่
 มีเสียงดังหรือปล่าว ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ เข้าเกียร์แล้วกระตุกมากๆ หรือไม่
- ช่วงล่าง วิ่งแล้วมีเสียงดังหรือไม่
3. ภายในห้องโดยสาร
- กลิ่น มีกลิ่นอับๆ ชื้นๆ หรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าน้ำเข้ารถ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
 แนะนำให้เอายางปูพื้นออก ดูว่าพื้นพรมมีรอยชื้นของน้ำหรือปล่าว
- ดูความเรียบร้อย ภายในต่างๆ ทั้งคอนโซล ช่องแอร์ อยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่
- แอร์ แนะให้เปิดแอร์เพื่อตรวจสอบตั้งแต่ระดับความแรงต่ำจนถึงระดับสูง
 ไล่ระดับความแรงเพื่อดูแรงลม จะบอกได้ว่าแอร์ตันหรือปล่าว
หรือมีเสียงอะไรดังผิดปรกติหรือไม่ และแอร์ตัดตามปกติหรือไม่

 
เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker
 
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog , Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress Asn Broker Journal Blog
 
ขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ  กิจกรรม จับ แจก ฟรี ตั๋วหนัง !! 
 
ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker Campaign
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

น้ำมันเครื่อง,การประกันภัยรถยนต์ โดย Asn Broker (asnbroker)

ความหมายของคำว่าน้ำมันเครื่อง
น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ (อังกฤษ: motor oil, engine oil) หรือ เรียกกันโดยทั่วไปว่า น้ำมันหล่อลื่น หรือ น้ำมันเครื่อง ประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญคือ น้ำมันพื้นฐาน และสารเพิ่มคุณภาพ น้ำมันเครื่องมีหน้าที่ลดแรงเสียดทานของวัตถุชิ้นที่เสียดสีกัน ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เคลือบช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส ทำความสะอาดเขม่าและ เศษโลหะภายในเครื่องยนต์ ป้องกันการกัดกร่อนจากสนิมและกรดต่างๆ และป้องกันกำลังอัด ของเครื่องยนต์รั่วไหล เป็นต้น
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
น้ำมันเครื่องชนิดใดเหมาะสำหรับรถของคุณ 
เครื่องยนต์แต่ละชนิดมีเทคโนโลยี และการดีไซน์ของเครื่องยนต์ที่ต่างกัน ดังนั้น คุณสมบัติของน้ำมันเครื่องที่ใช้จึงต่างกัน อันดับแรกควรเลือกชนิดน้ำมันเครื่องให้เหมาะสมกับชนิดของเครื่องยนต์ท่าน อาทิ เครื่องยนต์รถยนต์เบนซินควรเลือกใช้น้ำมันที่ออกแบบสำหรับเครื่องยนต์รถยนต์เบนซินโดยเฉพาะ ได้แก่ น้ำมันเครื่องในตระกูล  PERFROMA หากเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ก็ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ออกแบบสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลโดยเฉพาะ ได้แก่น้ำมันเครื่องในตระกูล DYNAMIC หรือหากเป็นรถจักรยานยนต์ ก็ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ออกแบบสำหรับรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะ เป็นต้น 
 
ความหนืดคืออะไร ดูได้อย่างไร
ความหนืด คือ ความข้น–ใส ของน้ำมันหล่อลื่นนั้นๆ ซึ่งกำหนดโดยองค์กรวิศวกรรมยานยนต์(SAE) จากอเมริกา โดยความหนืดจะระบุเป็นตัวเลขตามหลังตัวอักษร SAE เช่น SAE 10W-30 หรือ SAE 5W-40 เป็นต้น นอกจากนี้ ควรพิจารณาเลือกใช้ความหนืดที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ โดยท่านสามารถดูได้จากหนังสือคู่มือรถยนต์ ของท่านเพื่อประกอบการตัดสินใจ 
 
เราจะทราบได้อย่างไรว่าน้ำมันเครื่องตัวไหนดีกว่ากัน
สามารถดูได้จากมาตรฐานคุณภาพ โดยที่นิยมใช้กันทั่วโลก คือ มาตรฐาน API (American Petroleum Institute Standard) จากอเมริกา โดยมาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์เบนซินจะกำกับด้วย “S” เช่น API SM หรือ API SL เป็นต้น ส่วนมาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะกำกับด้วย “C” เช่น API CF-4 หรือ API CI-4 เป็นต้น ทั้งนี้ ระดับมาตรฐานที่แตกต่างกันจะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องในแต่ละหัวข้อคุณสมบัติที่ทำการทดสอบ และมาตรฐานที่สูงกว่าสามารถใช้ทดแทนมาตรฐานที่ต่ำกว่าได้ โดยปัจจุบันน้ำมันเครื่องของ ปตท. ได้ถูกพัฒนามาให้ครอบคลุมมาตรฐานคุณภาพระดับสูง ตัวอย่าง เช่น น้ำมันเครื่องที่ผ่านมาตรฐาน API SM เปรียบเทียบกับ API  SL จะให้คุณสมบัติที่ดีขึ้นในด้านต่างๆ ดังนี้
-  ป้องกันการสึกหรอสูงขึ้น (Wear protection)
-  รักษาความสะอาดเครื่องยนต์ดีขึ้น (oxidation control and piston deposit control)
-  ลดการระเหย (Evaporative loss)
-  ช่วยยืดอายุการเปลี่ยนถ่าย(Draining period)
-  ช่วยยืดอายุกรองไอเสีย (Catalytic converter)
 
น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดสูง ดีกว่าน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดต่ำจริงหรือไม่
ไม่จริง ความหนืดมิได้เป็นตัวบอกคุณภาพของน้ำมันเครื่องนั้น ๆ มาตรฐานคุณภาพ เช่น API หรือ ACEA ต่างหากที่เป็นตัวบ่งบอกคุณภาพของน้ำมันเครื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดที่เหมาะสมกับสภาพของเครื่องยนต์ และสภาพการใช้งานของท่าน เช่น หากรถของท่านเป็นรถใหม่ ก็ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืดใส จะช่วยในการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น เช่น SAE 10W-30 เป็นต้น แต่หากรถของท่านเป็นรถเก่า มีอาการกินน้ำมันเครื่อง ก็ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืดที่ข้นมากขึ้น เพื่อช่วยลดปัญหาการกินน้ำมันเครื่อง เช่น SAE 20W-50 เป็นต้น
 
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic) ดีกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไปอย่างไร 
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์มีคุณสมบัติที่เหนือกว่าน้ำมันเครื่องที่ใช้น้ำมันพื้นฐานทั่วไป ในเรื่องของความเสถียรที่อุณหภูมิสูง และไหลได้ดีที่อุณหภูมิต่ำ   เป็นผลทำให้ ช่วยให้สตาร์ทเครื่องง่าย ลดการสึกหรอจากการสตาร์ท รวมทั้งป้องกันการเกิดคราบตะกอน ช่วยให้เครื่องยนต์สะอาด   นอกจากนี้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์สามารถสร้างฟิล์มน้ำมันที่แข็งแรง จึงสามารถป้องกันเครื่องยนต์จากการสึกหรอได้สูงกว่า และทำให้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จึงช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานกว่าน้ำมันเครื่องทั่ว ๆ ไปอีกด้วย
 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์
 
สามารถนำน้ำมันเครื่องต่างยี่ห้อ ต่างระดับชั้นคุณภาพ มาผสมกันเพื่อใช้งานได้หรือไม่
ได้ เนื่องจากน้ำมันเครื่อง ปตท. มีคุณสมบัติในการเข้ากันได้กับน้ำมันเครื่องทุกยี่ห้อ  แต่อย่างไรก็ตามคุณภาพของน้ำมันที่สูงกว่าเมื่อผสมกับน้ำมันที่คุณภาพต่ำกว่า จะทำให้ประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องที่ดีลดลงไปตามสัดส่วนการผสม  ดังนั้น หากเป็นการใช้งานในสภาวะปกติทั่ว ๆ ไป แนะนำให้ไม่ควรผสมน้ำมันเครื่องต่างยี่ห้อ หรือต่างระดับชั้นคุณภาพครับ
 
น้ำมันเครื่องใหม่ที่มีสีเข้ม มีคุณภาพดีกว่านำมันเครื่องใหม่ที่มีสีอ่อนใสกว่า จริงหรือไม่
ไม่จริง เพราะสีของน้ำมันเครื่องใหม่ ไม่สามารถบ่งบอกคุณภาพของน้ำมันเครื่องได้ เพราะสีเป็นเพียงคุณสมบัติภายนอกของน้ำมันเครื่องเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม น้ำมันเครื่องที่ดี ควรจะมีลักษณะใส ไม่ขุ่น รวมถึงไม่มีฝุ่นละออง หรือน้ำ ปนเปื้อนอยู่ในเนื้อน้ำมันครับ
 
น้ำมันเครื่องใช้แล้วเป็นสีดำเร็ว แสดงว่าเป็นน้ำมันเครื่องที่ไม่ดีใช่หรือไม่
โดยปกติแล้ว น้ำมันเครื่องเมื่อเปลี่ยนถ่าย และใช้งานไประยะหนึ่งจะมีสีที่เข้มขึ้น เนื่องจากน้ำมันเครื่องที่ดี จะช่วยกระจายเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ รวมถึงช่วยชะล้างทำความสะอาดสิ่งสกปรกภายในเครื่องยนต์ ให้มาผสมอยู่ในเนื้อของน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเปลี่ยนเป็นเข้ม หรือดำ โดยที่น้ำมันเครื่องนั้น ๆ ยังสามารถคงความหนืดได้ดังเดิม แต่หากน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว  มีสีดำ และมีลักษณะที่ข้น หรือเหนียวขึ้น ถือว่าเป็นน้ำมันเครื่องที่คุณภาพต่ำครับ ดังนั้น น้ำมันเครื่องดำไม่ใช่ปัญหาครับ
 
จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเติมหัวเชื้อ เพิ่มลงน้ำมันเครื่อง
ไม่จำเป็น หากท่านเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีมาตรฐานเทียบเท่า หรือสูงกว่า มาตรฐานที่ระบุให้ใช้ในคู่มือรถยนต์ของท่าน เนื่องจากน้ำมันเครื่องที่ได้รับมาตรฐานเทียบเท่า หรือสูงกว่านั้น ได้ผ่านการทดลอง ทดสอบจากองค์กรมาตรฐาน โดยใช้เครื่องมือทดสอบต่าง ๆ อย่างเข้มงวด และหนักหน่วง จึงสามารถใช้งานตามระยะเปลี่ยนถ่ายที่ระบุไว้ในคู่มือรถยนต์ได้โดยไม่ต้องการเติมหัวเชื้อ อีกทั้งการเติมหัวเชื้อน้ำมันเครื่องเพิ่มเข้าไปในระบบจะไปรบกวนการทำงานของ additive บางชนิดที่ถูกรวมอยู่ใน additive packages ที่ผสมในน้ำมันเครื่อง ที่มีการคำนวณสัดส่วนไว้อย่างดีและทำการทดสอบแล้ว อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของน้ำมันเครื่องลดลง ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้เติมหัวเชื้อชนิดใด ๆ เพิ่มเข้าไปในน้ำมันเครื่องครับ
 
ระยะเปลี่ยนถ่ายเท่าใดจึงจะเหมาะสมกับรถยนต์ของท่าน ?
ในคู่มือของรถยนต์แต่ละรุ่น จะระบุความหนืด มาตรฐานคุณภาพขั้นต่ำ รวมถึงระยะเปลี่ยนถ่ายมาตรฐานไว้ แต่เนื่องจากน้ำมันเครื่องมีหลายชนิด และหลายระดับคุณภาพ เช่น น้ำมันสังเคราะห์ กึ่งสังเคราะห์ น้ำมันธรรมดา เป็นต้น รวมถึงระดับปริมาณสารเพิ่มคุณภาพที่ใช้ก็แตกต่างกัน จึงมีความสามารถในการคงคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันเครื่องเอาไว้ได้ในระยะเวลาที่ต่างกัน เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด สารเพิ่มคุณภาพก็จะเสื่อมคุณภาพจนหมด  ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะใช้งานเกินระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายที่กำหนด โดยน้ำมันเกรดสังเคราะห์จะเปลี่ยนถ่ายที่ 15,000 กม. กึ่งสังเคราะห์เปลี่ยนถ่ายที่ 10,000 กม. และน้ำมันธรรมดาเปลี่ยนถ่ายที่ 7,000 กม. ครับ
 
สามารถนำน้ำมันเครื่องต่างชนิดกัน มาใช้แทนกันได้หรือไม่ ?
ในกรณีปกติไม่แนะนำครับ เนื่องจากน้ำมันเครื่องแต่ละชนิดมีวัตถุประสงค์ในการใช้กับเครื่องยนต์ / เครื่องจักรที่แตกค่างกัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากเทคโนโลยี และการดีไซน์ของเครื่องยนต์ ที่ต่างกัน เช่น น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติค่าความเป็นด่างรวม (TBN) สูงกว่า น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน หรือนำเอาน้ำมันเครื่องรถยนต์เบนซิน ไปใช้ในรถจักรยานยนต์ก็ไม่เหมาะสม เป็นต้น ดังนั้น ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะกับชนิดของเครื่องจักรนั้น ๆ ครับ แต่หากเป็นกรณีฉุกเฉิน หรือเร่งด่วน อาจอนุโลมให้ใช้ทดแทนได้ในช่วงเวลานั้น ๆ   จากนั้นต้องรีบเปลี่ยนถ่ายเป็นน้ำมันที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ดังเดิมครับ
 
น้ำมันเกียร์ยานยนต์กับน้ำมันเกียร์อุตสาหกรรมใช้ปนกันได้หรือไม่
ไม่สามารถใช้ปนกันได้  เนื่องจาก  additive  ที่เป็นองค์ประกอบนั้นอาจมีลักษณะที่ไม่เข้ากัน ถ้าจะใช้ผสมกันจะทำให้น้ำมันหล่อลื่นนั้นเสื่อมคุณภาพ ทำให้เกิดผลเสียหายต่อชุดเกียร์นั้น ๆ ได้   ดังนั้น ควรเลือกน้ำมันหล่อลื่นมาใช้งานให้ถูกชนิด และประเภทของเครื่องจักร / เครื่องยนต์ครับ
 
น้ำมันเครื่องที่ซื้อไป สามารถเก็บได้กี่ปี
โดยปกติแล้ว น้ำมันเครื่องที่ซื้อกันในท้องตลาด จะมีระบุวันที่ผลิตไว้ที่แกลลอนน้ำมันเครื่องทุกแกลลอน ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไป หากยังไม่ได้ใช้งาน ไม่ได้เปิดฝา และเก็บไว้ในที่ร่ม สามารถเก็บได้ประมาณ 3 ปี นับจากวันที่ผลิตครับ แต่หากมีการเปิดฝาใช้งานแล้ว ควรปิดฝาให้สนิท  และเก็บในที่ร่ม ไม่อับชื้น ไม่โดนน้ำ สามารถเก็บได้ 1 ปี นับจากวันใช้งานครับ แต่ทั้งนี้ ก่อนใช้งานครั้งต่อไป ควรสังเกตลักษณะทั่วไปของน้ำมันเครื่องด้วยว่า ยังมีลักษณะใส และไม่มีฝุ่นละออง หรือน้ำปนเปื้อนนะครับ
 
รถเก่าแล้ว ใช้งานเกิน 7-10 ปี แล้ว ควรใช้น้ำมันหล่อลื่นชนิดไหน ความหนืดเท่าไร
ไม่ว่าจะเป็นรถเก่า หรือรถใหม่ สามารถใช้น้ำมันเครื่องได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันสังเคราะห์ กึ่งสังเคราะห์ หรือน้ำมันธรรมดา โดยหากเลือกใช้น้ำมันเครื่องชนิดสังเคราะห์ ก็จะช่วยในเรื่องการปกป้องเครื่องยนต์ ยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานกว่า เป็นต้น และหากสภาพเครื่องยนต์ยังดีอยู่ คือ ไม่มีอาการกินน้ำมันเครื่อง ก็สามารถเลือกเบอร์ความหนืดที่ใสขึ้นได้ เช่น SAE 5W-40 หรือ SAE 10W-30 เป็นต้น เพื่อช่วยในการประหยัดเชื้อเพลิง แต่หากสภาพของเครื่องยนต์ไม่ดี และมีอาการกินน้ำมันเครื่อง แนะให้ให้เลือกเบอร์ความหนืดที่ข้นขึ้น เช่น SAE 15W-40 หรือ SAE 20W-50 เป็นต้น เพื่อช่วยลดปัญหาดังกล่าว
 
รถยนต์ใช้งานน้อย วิ่งปีหนึ่ง ๆ ยังไม่ถึง 5,000 กม. จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายหรือไม่
จำเป็นครับ การที่รถยนต์ใช้งานน้อย ไม่ว่าจะเป็นการจอดทิ้งไว้เป็นเดือน หรือขับใช้งานในเมือง ที่มีการจราจรหนาแน่น ทำให้ระยะที่ขับขี่น้อย ถือว่าน้ำมันหล่อลื่นทำงานหนักครับ เพราะการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ จะเกิดการปนเปื้อนของน้ำในอากาศ ทำให้สารเพิ่มคุณภาพเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้น้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น อีกทั้งการขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น น้ำมันเครื่องก็ยังคงทำงานตลอดเวลาทั้งขณะรถติด และรถวิ่ง ดังนั้น จึงเป็นการควรที่จะพิจารณาระยะทางที่ขับขี่ ควบคู่ไปกับระยะเวลาที่เปลี่ยนถ่ายด้วย โดยเราควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งครับ
 
รถยนต์เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นพิเศษหรือไม่
สภาวะการทำงานของเครื่องยนต์ของรถที่ใช้เชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ กับรถยนต์ที่ใช้เบนซินเป็นเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความดัน หรืออุณหภูมิการทำงานไม่ได้มีความแตกต่างกัน ทำให้สภาวะการทำงานของน้ำมันหล่อลื่นจึงเหมือนเดิมตามไปด้วย ดังนั้น เราจึงสามารถใช้น้ำมันหล่อลื่นทั่ว ๆ ไป ที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน มาใช้หล่อลื่นในรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์เป็นเชื้อเพลิงได้ตามปกติ โดยมีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายตามปกติทุกประการ อย่างไรก็ตามบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้คิดค้นและพัฒนาน้ำมันหล่อลื่นสูตรพิเศษ ที่ออกแบบพิเศษเพื่อรองรับผู้ขับขี่ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และแก๊สโซฮอล์ 91 โดยเฉพาะ ชื่อว่า “เพอร์ฟอร์มา แก๊สโซฮอล์” มาตรฐานสูงสุด API  SM  จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เบนซินประเภทกึ่งสังเคราะห์ โดยมีเบอร์ความหนืด SAE 10W–30 และ SAE 10W–40 ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับสภาพการใช้งาน และสภาพของเครื่องยนต์ ช่วยให้รถคุณสตาร์ทเครื่องง่ายและลดการสึกหรอจากการสตาร์ท ช่วยให้ออกตัวและเร่งแซงดีเยี่ยม อีกทั้งเพิ่มสารคุณภาพพิเศษที่ทำให้เครื่องยนต์สะอาดกว่า และป้องกันปัญหาคราบโคลนได้อย่างดีเยี่ยม  อีกทั้งยังช่วยประหยัดเชื้อเพลิงอีกด้วย

 
ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

เรียบเรียงข้อมูลโดย Asn Broker , http://www.asnbroker.co.th

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง Asn Broker Blog , Asn Broker Blogspot , Asn Broker Exteen , Asn Broker Wikidot , Asn Broker on Wordpress Asn Broker Journal Blog

ขอฝากกิจกรรม ไว้ด้วยนะครับ  กิจกรรม จับ แจก ฟรี ตั๋วหนัง !! 

ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Asn Broker Campaign

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์