วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เลิกขับรถมาแซงคิวคนอื่นซักทีเถอะครับ #วิวาทะ #pantip #เรื่องเด่นโซเชียล #ประกันภัยรถยนต์

เลิกขับรถมาแซงคิวคนอื่นซักทีเถอะครับ #วิวาทะ #pantip #เรื่องเด่นโซเชียล #ประกันภัยรถยนต์
เลิกขับรถมาแซงคิวคนอื่นซักทีเถอะครับ #วิวาทะ #pantip #เรื่องเด่นโซเชียล #ประกันภัยรถยนต์

สวัสดีครับ ASN Broker ขอนำเรื่องเกี่ยวกับมารยาททางถนน มาให้เพื่อนได้เป็นกรณีศึกษากัน หลังจากกลายเป็นกระทู้แนะนำ และกระแสในโซเชี่ยลมากมาย
คือวันนี้ผมได้ขี่มอร์เตอร์ไซค์ออกจากหมู่บ้านไปซื้อส้มตำรถเข็นครับ ไปถึงก็มีคนงานร้านขายของเก่ามายืนรอคิวซื้อประมาณ 5 คน มีคนนึงจูงเด็กมาด้วยครับ แดดก็ร้อนพอสมควรครับ ทุกคนก็พอรู้ว่าใครมาก่อนก็ให้คนที่มาก่อนมีสิทธิสั่งก่อนครับ บางคนก็ช่วยแม่ค้าย่างไก่ย่าง แต่ไม่ได้ลัดคิวกัน บางคนก็ยืนรอส้มตำ ทุกอย่างดูเป็นไปตามวิถีที่มันควรจะเป็น

  แต่จู่ๆก็มีรถยนต์คนเล็กๆมาจอดเทียบรถส้มตำครับ อธิบายคือถนนมี 2 เลน มีไหล่ทาง ข้างทางคือทุ่งนา มีต้นไม้ใหญ่ครับ รถส้มตำเลยไปจอดใต้ร่มไม้ ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยมีรถวิ่งหรอกครับ เพราะเวลานี้คนไปทำงานกันหมดแล้ว รถยนต์คันนั้นจอดขวางไป 1 เลนครับ. แล้วเปิดกระจกลงมา บทสนทนาเลยเกิดขึ้น

คนขับรถ : เอาข้าวเหนียว6 ไก่4 ตำปลาร้า 2 เผ็ดๆหน่อย
คนขาย : แปปนึงนะพี่
คนขับรถ : เร็วๆเดี๋ยวรถติด ทำให้พี่ก่อน

ทุกคนที่ต่อคิว มองเข้าไปในรถ

คนขาย : แปปนึงๆ
คนขับรถมองผมแล้วพูดว่า :น้องหยิบข้าวเหนียวให้พี่ก่อน
ผม : ไม่ครับ พี่มาต่อคิวครับ


ภาพประกอบ Google ค้นหา traffic thai
คนขับรถทำหน้าฉุนเฉียว แล้วขับรถไปจอดข้างหน้ารถส้มตำ ก่อนจะลงมา

คนขับรถ: เร็วๆหน่อย คนงานมันหิว มันจะได้ทำงานต่อ
คนขาย : ค่ะ แปปนึงนะพี่ เดี๋ยวหนูปิ้งไก่ให้เค้าแปป

คนขับรถก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ ที่ต้องรอ
ส่วนผมพอได้ของเสร็จก็ขี่รถกลับบ้าน กินข้าวเสร็จแล้วก็มานั่งตั้งกระทู้นี่แหละครับ

คืออยากจะบอกว่า ไม่ว่าคุณจะมาเครื่องบินหรือยานอวกาศ คุณก็ควรลงมาจากรถ เพื่อรอคิวซื้อของครับ ไม่ใช่ใช้อภิสิทธิเหนือใคร ผมไม่ได้ว่าคนขับรถทุกคนนะครับ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่กมลสันดารของแต่ละบุคคลครับ แต่ผมก็เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้เยอะครับ เช่น จอดรถซื้อผลไม้ข้างรถเข็น ซื้อลูกชิ้น หรืออะไรก็ตามแต่ เพื่อที่จะไม่ต้องร้อน ไม่ต้องลงจากรถ แต่สิ่งที่คุณทำมันทำให้คนอื่นที่มาก่อน ต้องมารอ มาร้อน เขาเหล่านั้นหิวไม่เป็น ร้อนไม่เป็นหรือไงครับ และแม่ค้าหลายท่านก็จำเป็นต้องลัดคิวให้ก่อน เพื่อไม่ให้การจาราจรติดขัด
ปล.ปรกติผมก็ขับรถยนต์ไปซื้อนะครับ แต่ก็ลงไปเลือกไก่ ไปยืนสั่งและรอส้มตำทุกครับ พ่อแม่สอนตลอดครับ ใจเขาใจเรา ขอบคุณครับ

***** ขอชี้แจงนะครับ ไม่ได้ว่าคนขับรถยนต์ทุกคนนะครับ เพราะผมเองก็ขับรถยนต์ แต่เหตุการ์ณที่เกิดขึ้น เพราะคนทำมีสันดารไม่ดีเหล่านี้ ไม่อยากร้อน ไม่อยากรอคิว ไม่อยากดับเครื่อง หรือจอดรถแล้วต้องเดินมา เอาตัวเองสบายครับ โดยไม่แคร์คนอื่น ถ้าหากท่านใดเข้าใจผิดหรือไม่พอใจ ผมขออภัยด้วยครับ *****

***** ขอแก้ไขชื่อกระทู้เพื่อไม่ให้เป็นการชี้เฉพาะเจาะจงนะครับ เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งแยกหรือพาดพิง ชื่อกระทู้เดิมคือ" เลิกแซงคิวคนอื่นโดยรถยนต์ซักทีเถอะครับ" ขอไม่ลบข้อความใดๆทิ้งนะครับ แต่ขอชี้แจงแทนครับ *****

ที่มา https://www.asnbroker.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิธีการกันขโมยรถยนต์ที่ดีที่สุด #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

วิธีการกันขโมยรถยนต์ที่ดีที่สุด #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
วิธีการกันขโมยรถยนต์ที่ดีที่สุด #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

(1) ล็อคมันไว้ Lock it
- ล็อคกุญแจ ไม่ว่าจะในบ้าน-นอกบ้าน จอดนาน-ไม่นาน รถที่ล็อคมีโอกาสหายน้อยลง 3.55 เท่า และรถที่หายส่วนหนึ่งมีกุญแจ แต่ลืมล็อค
- ใช้ที่ล็อครถอย่างน้อย 2 ระบบที่ใช้กลไก หรือรูปแบบการป้องกันไม่เหมือนกัน ต่างยี่ห้อกันมาใช้
- ล็อครถชนิดที่มีลักษณะเป็นวงรอบ (disc lock) หรือล็อคตัวยู (U-lock) จะดีกว่าแบบคีบหรือหนีบ (fork lock) …
- ใช้โซ่ล่ามไว้กับเสา หรือสิ่งที่ยึดติดกับพื้นดีกว่าไม่ใช้โซ่
- ล็อคกุญแจหรือโซ่ให้แน่นมีโอกาสหายน้อยกว่าล็อคหลวมๆ (ยิ่งหลวมยิ่งตัดหรือทุบได้ง่ายขึ้น) …
- การทำระบบป้องกันขโมยแบบทำเอง เสริมเข้าไปอีกช่วยได้มาก แต่ควรใช้ร่วมกับระบบล็อคทั่วไปด้วยเสมอ เช่น จากล็อค 2 ระบบเพิ่มเป็น 3-4 ระบบ
- ถ้าซื้อรถใหม่ (ไม่ว่าจะมือ 1 หรือ 2)… ต้องเปลี่ยนระบบกันขโมยใหม่เสมอ ระบบกันขโมยที่ติดตั้งก่อนซื้อรถอาจถูกทำสำเนากุญแจไว้แล้ว
(2) ปกปิดมันไว้ Cover it
- ก่อนให้ใครเข้ามาใกล้บ้าน หรือเข้ามาในบ้านต้องปกปิดทรัพย์สินมีค่าเสมอ
- ระวังพวกที่ชอบสอดรู้สอดเห็น เช่น พนักงานติดตั้งเครื่องไฟฟ้า หรือคนงานสำนักงานที่ชอบถามเรื่องซอกแซกในบ้าน ฯลฯ มักจะเป็นสายให้โจร หรือเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ …
- อย่าทำตัวรวย เช่น ใส่ทอง ทำตัวหรู ฯลฯ หรือจอดรถไว้ให้คนที่ผ่านหน้าบ้านเห็นได้ง่าย… ควรหาผ้าคลุมแบบราคาไม่แพงมาคลุมไว้(ถ้าทำได้) โดยเลือกผ้าคลุมแบบราคาไม่แพง ยิ่งแพงยิ่งเสี่ยง …
- ไม่ควรวางสิ่งของมีค่าไว้ในรถยนต์ หากจำเป็นควรเก็บซุกซ่อนให้มิดชิด ไม่ควรวางไว้ที่เบาะนั่ง เพราะจะเป็นการล่อให้คนร้ายกระทำความผิด

(3) พิจารณาติดตั้งเครื่องกันขโมยแบบส่งเสียงดัง Consider an alarm
- เครื่องกันขโมยแบบนี้จะใช้ได้ดีต้องมีเสียงแปลกๆ ไม่เหมือนแตรค้าง
- ระบบเตือนภัยขโมยผ่านโทรศัพท์มือถือ ถึงแม้เรื่องนี้จะยังไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน(อาจเป็นเพราะราคาแพง) … แต่ในอนาคต จะมีการเชื่อมโยงระบบดังกล่าวกับแผนที่ดาวเทียม GPS เพื่อระบุพิกัดให้ตำรวจติดตามได้ทันที …
(4) อย่าโชว์ความรวยหรู Don’t be a show-off
- จอดรถไว้ในบ้าน ปิดประตูรั้ว และล็อครั้วบ้านเป็นประจำ… อย่าจอดรถโชว์ไว้หน้าบ้าน
- อาจารย์ท่านกล่าวไว้ดี คือ “It’s simple: The more your bike is out of sight, the more it’s out of a thief’s mind.” = “หลักการง่ายๆ คือ อะไรที่อยู่นอกสายตา(รถ) ก็จะอยู่นอกหัวใจขโมย” …

(5) เสริมรั้วให้แข็งแรง Reinforce your garage
- ควรใช้รั้วที่แข็งแรง ติดสัญญาณกันขโมยรั้วไว้ด้วย (ที่รถก็ติด… ที่รั้วก็ติด)
- ถ้าใช้รถมอเตอร์ไซค์… ให้ทำห่วงยึดติดไว้กับพื้น แล้วล่ามโซ่หนักๆ ยึดรถติดไว้กับพื้นด้วย ล็อคกุญแจหลายๆ ระบบด้วย …
- ควรติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด หรือระบบความปลอดภัยทั้งในตัวบ้านและโรงรถ(ถ้าเป็นไปได้) และติดตั้งเครื่องกีดขวาง เช่น ถังที่เวลาเลื่อนจะเกิดเสียงดัง ฯลฯ ขวางไว้อีกชั้นหนึ่ง …

(6) ทำให้รถใช้การไม่ได้(ชั่วคราว) Disable your bike or car
- คนที่ชำนาญเรื่องช่างอาจถอดอุปกรณ์รถง่ายๆ เช่น ถอดฟิวส์ (fuse) รถออก ทำสัญญาณตัดไฟ (ชนิดทำเองมีแนวโน้มจะได้ผลดี โดยเฉพาะถ้าคิดแบบที่โจรทั่วไปไม่รู้จักได้) ฯลฯ เก็บไว้กับตัวก่อนจอดรถทิ้งไว้
- โจรและขโมยส่วนใหญ่ก็คล้ายกับนักลงทุนทั่วไป คือ มักจะชอบอะไรที่ “ง่ายๆ” มากกว่า “ยากๆ” และจะเลือกรถที่ขโมยได้ง่ายกว่าในเวลาเท่าๆ กันเสมอ 

(7) เลือกที่จอดรถให้รอบคอบ Choose parking spots carefully
- อย่าจอดรถในจุดอับสายตา โจรและขโมยจะทำงานได้ง่ายขึ้น
- เลือกจอดใกล้ๆ จุดที่มีคนอยู่ประจำแทนการจอดไกลๆ หรือฝากรถไว้ถ้าเป็นไปได้ และจอดในที่ที่มีแสงไฟสว่างพอ
- ถ้ามีรถคันอื่นขับตาม… ควรพิจารณาเปลี่ยนแผนการเดินทาง และรีบไปยังที่ที่ปลอดภัยทันที
- ถ้าฝาที่เติมน้ำมันชนิดที่ต้องใช้กุญแจไขหาย… ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า ถูกปั๊มกุญแจไปแล้ว…

(8.) ระวังพวกขอลองรถ Be wary of test rides
- เราซื้อหรือผ่อนรถมาใช้ ไม่ใช่ให้คนอื่นลองขับ เพราะฉะนั้นอย่าให้ใครมาขอลองขับรถของเรา
- ถ้าขอดูรถซื้อขาย, หรือ นัดพบในที่เปลี่ยว ให้ระวัง
- ควรฝึกล้างรถด้วยตนเอง… การให้พนักงานล้างรถ “ลองขับ” รถตอนนำรถไปทำความสะอาดเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรลอง เพราะอาจถูกก๊อปปี้กุญแจ ทำสำเนาสัญญาณกันขโมย และขโมยรถในเวลาต่อมาได้ หรืออาจใช้บริการล้างโดยเครื่องอัตโนมัติก็ได้
- ถ้าจำเป็นต้องใช้บริการล้างรถ หรือศูนย์บริการ… ควรให้กุญแจไปน้อยดอกที่สุด และให้เฉพาะกุญแจรถดอกเดียว อย่าให้กุญแจล็อคระบบอื่นๆ และอย่าให้กุญแจบ้าน เพราะจะเสี่ยงของในบ้านหาย …
- เมื่อนำรถไปซ่อม ควรเฝ้าดู และรอรับรถกลับ หากต้องฝากรถไว้ ให้เลือกอู่ที่รู้จักเป็นการส่วนตัว ไว้ใจได้

http://upic.me/i/fm/rt2e2.jpg

(9) ทำร่องรอยไว้ Mark your territory
- ขโมยรถอาจนำรถไปขายทั้งคัน หรือถอดขายเป็นชิ้นๆ… การจดหมายเลขเครื่อง (ถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลไว้ก่อน) และชิ้นส่วนต่างๆ ไว้
- การติดชื่อหรือเครื่องหมายไว้ซ่อนไว้ในที่พิเศษในรถอาจช่วยให้ตำรวจติดตามรถได้ดีขึ้น ..
- บริษัทผู้ผลิตหรือจำหน่ายรถยนต์ที่พัฒนาระบบกันขโมยได้ดีมีแนวโน้มจะได้รับความเชื่อถือมากขึ้นในระยะยาว เช่น ศูนย์บริการรถของตัวแทนจำหน่าย ฯลฯ ควรมีระบบตรวจสอบว่า รถคันนี้ขโมยมาหรือไม่เสมอ ฯลฯ

(10) ลดความเสี่ยง
- การเลือกรถรุ่นที่ “ดีอันดับสอง” จะช่วยให้ประหยัด มีเงินเหลือไว้เติมน้ำมัน หรือทำประกันรถหายได้
- การใช้รถยี่ห้อหรือรุ่นที่โจรชอบน้อยลงเป็นทางเลือกหนึ่งที่อาจช่วยป้องกันรถหายได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งติดตามสอบถามได้จากเว็บไซต์ของตำรวจไทย …
- นอกจากนั้นการที่เพื่อนบ้านจะช่วยกันเป็นหูเป็นตา ช่วยกันเฝ้าบ้าน หรือรวมกลุ่มกันจ้างทีมงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ไว้ช่วยอีกแรงหนึ่งก็ช่วยลดความเสี่ยงได้มากเช่นกัน

(11) การขายดาวน์รถ
- ดาวน์รถมาเพื่อขับขี่เท่านั้น ไม่นำไปให้ผู้อื่นเช่า หรือขายดาวน์ โดยทำสัญญาโอนลอย วิธีขายดาวน์ที่ถูกต้อง ต้องพากันไปเปลี่ยนสัญญาซื้อขายที่ไฟแนนท์เท่านั้น
- ระมัดระวังแก๊งหลอกซื้อดาวน์ จะปลอมแปลงเอกสารบัตรประชาชน และว่าจ้างให้บุคคลอื่นมาขอซื้อดาวน์แทน แล้วเชิดนำรถหนีไป

(12) เมื่อรถหายทำอย่างไร
- แจ้งผ่านทางสายด่วน 1599 หรือ ทางเวปไซต์ www.lostcar.go.th ซึ่งเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลรถหาย ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อติดตามรถที่ถูกโจรกรรมหรือ สามารถตรวจสอบรถว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาหรือไม่
- แจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด

(13) ทำประกันภัยภาคสมัครใจ (ชั้น 1 ,ชั้น2 ซึ่งมีการคุ้มครองรถหาย)
- ทำประกันภัยรถหายไว้ หากรถหายก็ยังมีค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัยมาช่วยบรรเทาความเสียหาย (เค้าทำกันทั่วโลกแล้ว เหลือบ้านเรานี่แหละไม่ค่อยทำกัน) – ไม่ควรยินยอมให้เด็กหรือเยาวชน ที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์/รถจักรยานยนต์ หรือยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ นำรถไปใช้

 ที่มา http://www.asnbroker.co.th

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การขับรถในอากาศเลวร้าย #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันภัยรถยนต์

การขับรถในอากาศเลวร้าย #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันภัยรถยนต์
การขับรถในอากาศเลวร้าย #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์ #ประกันภัยรถยนต์

คุณไม่ควรขับรถ  หากเห็นว่าสภาพอากาศข้างนอกมีฝนตกหนักมีลมพายุและมองไม่เห็นถนน ASN Broker จึงอยากนำเสนอวิธีการขับรถในสภาพอากาศเลวร้าย  เพราะหากคุณขับรถในสภาพนั้นย่อมเสี่ยงต่ออันตรายที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน  หรือหากคุณรู้สึกไม่พร้อมและกังวลใจที่จะต้องขับรถในสภาพอากาศใด ๆ ที่เป็นอยู่    อย่าทำ !   เช่นกันหากคุณรู้สึกเหนื่อยอ่อน  หรือไม่สบาย  จนไม่สามารถขับรถอย่างปลอดภัยได้    อย่าขับ!  เพราะถ้าคุณดันทุรังจะทำ  มันเหมือนกับคุณเริ่มเดินหน้าเข้าหาอุบัติเหตุทั้งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้  ระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่สำคัญกว่าทุกสิ่งคือ

ความปลอดภัยของตัวคุณเอง

แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องเดินทาง  มีคำแนะนำสองสามอย่างที่คงช่วยให้คุณปลอดภัยขึ้นได้  หากคุณปฏิบัติตามอย่างแรกคือ          ไม่ควรเร่งรีบไปให้ถึงจุดหมายปลายทางเร็วเกินไปในวันที่อากาศเลวร้าย   อย่างเสียดายเวลาที่ต้องเสียไปกับการระมัดระวัง  หลีกเลี่ยงการเสียดสีหรือเข้าใกล้รถคันอื่น  และไม่ควรขับรถเร็วกว่าที่จำเป็น  อย่าขับรถตามหลัง   รถคันหน้าอย่างกระชันชิด  เพราะภายใต้สภาพอากาศเลวร้าย    ฝนตก   ถนนลื่น   คุณอาจเบรกไม่อยู่   อาจชนท้ายรถคันหน้าได้  ควรเปิดที่ปัดน้ำฝนให้ทำงานอยู่สม่ำเสมอ  และหมั่นเช็ดไอฝนภายในรถ    เปิดไฟหน้ารถเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและดับเครื่องทันทีเมื่อถึงที่หมาย  สิ่งสำคัญที่คุณต้องระวังคือ  แบตเตอรี่ตาย!   หลีกเลี่ยงการเบรกอย่างฉับพลันเพราะสามารถทำให้เกิดการปัดท้าย  ควรเบรกเบา ๆ ร้อมจับพวงมาลัยให้แน่น    โดยเฉพาะถ้าคุณต้องขับรถขึ้นเขาอย่าเร่งความเร็วสูง  เพราะจะทำให้รถเสียหลักได้ง่าย

 สิ่งที่คุณควรเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง

-ความสามารถของยางในการรองรับการเสียดสีที่มากพอ

-การบดขยี้ของยาง

-การพองตัวของยาง

-ศูนย์ล้อที่ตั้งไว้

-เบรกและการยึดติดของล้อ

-ตรวจดูน้ำมันเบรกให้เต็ม


เพื่อรองรับความสามารถในการสตาร์ทรถ  เมื่ออากาศเย็นหรือฝนตก

-น้ำในแบตเตอรี่อยู่ในระดับที่พอเพียง  หรือเหมาะสมหรือไม่ ?

-ขั้วไฟฟ้าแบตเตอรี่สะอาดและปลอดภัยหรือไม่ ?

-สายไฟแบตเตอรี่เกิดการสึกหรอ  หรือหลุดบ้างหรือไม่ ?

-ระบบการเผาไหม้มีการทำงานเรียบร้อยดีอยู่หรือไม่ ?


การป้องกันเครื่องยนต์และเพิ่มความสามารถในการทำงานของรถคุณ  เมื่ออากาศเย็นและฝนตก
-พัดลมไม่เกิดการสึกหรอหรือหลุด

-ท่อน้ำเครื่องยนต์แข็งแรงและแน่นหนา

-น้ำในเครื่องยนต์สะอาดและอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

-ที่กรองอากาศสะอาด





สภาพการขับรถซึ่งปลอดภัยที่สุด

-ที่ปัดน้ำฝนทำงานอย่างดี

-น้ำในอุปกรณ์ล้างกระจกหน้าเต็ม  และสามารถทำงานได้ดี

-ระบบไอเสียสามารถทำงานได้ตามปกติ

ที่มา https://www.asnbroker.co.th

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ถนนลื่น และปัญหาติดหล่ม และเบอร์ฉุกเฉิน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ถนนลื่น และปัญหาติดหล่ม และเบอร์ฉุกเฉิน  #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ถนนลื่น และปัญหาติดหล่ม และเบอร์ฉุกเฉิน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

การขับรถบนถนนที่ลื่น หากคุณต้องขับรถในหน้าฝน ซึ่งถนนมักลื่นเปียกอยู่เสมอ คุณจำเป็นต้องระวังเป็นพิเศษ
เพื่อลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยลง ASN Broker จึงขอนำเกร็ดเล็กน้อยมาบอกกันครับ
หลุม บ่อ อิฐ ตะปู และเศษสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะหากละเลยอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

ในสภาพฝนตก การเร่งความเร็วและเบรกแรง ๆ สามารถทำให้รถลื่นไถลได้
จึงจำเป็นต้องระมัดระวังและสร้างสมาธิในการขับมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามจำไว้ว่าหากเกิดการลื่นไถลขึ้นสิ่งที่คุณควรทำคือ
-อย่าตกใจ
-ยกเท้าออกจากคันเร่ง
-เหยียบเบรกเบา ๆ
-หมุนพวงมาลัยไปทิศทางเดียวกับหน้ารถจนกระทั่งคุณสามารถควบคุมรถได้


ถ้าคุณติดหล่ม
-อย่าเร่งเครื่อง การโม่บดอย่างแรงจะทำให้หลุมลึกขึ้น
-โรยกรวดทราย หรือขยะ (วัสดุที่เพิ่มการเสียดสีของล้อ)ด้านหน้าของยางทั้งหมดเพื่อรองรับการบด
โดยเฉพาะล้อท้าย สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ยางยึดเกาะจนเคลื่อนออกจากหลุมได้

-ถ้าทำตามวิธีทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถออกจากหลุมได้ ให้โทรขอความช่วยเหลือจากบริการปัญหารถ

แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 191
ศูนย์ดับเพลิงศรีอยุธยา 199
กองปราบปราม 1195
ตำรวจทางหลวง 1193
ตำรวจท่องเที่ยว 1155
ศูนย์เตือนภัยพิบัติ แห่งชาติ 1860
สถานีวิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน (FM96) 1677
ศูนย์จราจรอุบัติเหตุ จส.100 1137
การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย 1672
มูลนิธิร่วมกตัญญู 0-2751-0951
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง 0-2226-4444
กรมทางหลวง Call Center 1586
แจ้งอุบัติเหตุทางน้ำ 1196
Thai Association of Emergency Medicine 02-354-8224
[บริการช่างซ่อมอาสา ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง]
โครงการ"ปันน้ำใจช่วยเหลือ รถจอดเสียกลางทาง" (จส. 100)
สถานีวิทยุ สวพ. 91 1644
ศูนย์ควบคุมและสั่งการ จราจร 1197
สอบถามข้อมูลเรื่อง อายัดบัตร ATM-เครดิต 1188
แจ้งรถหาย ศปร.ตร. 1192
สายด่วนอุบัติเหตุ. 0-2711-9161-2
สายด่วนรถหาย 0-2711-9160
ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสาร สาธารณะ 1584
ศูนย์ร้องทุกข์ กทม. 1555
[เจ็บป่วยฉุกเฉิน]
ศูนย์นเรนทร 1669
ศูนย์ส่งกลับและรถ พยาบาลกรมตำรวจ 1691
หน่วยแพทย์กู้ชีพ กทม. 1554
[การขนส่ง]
ภาคเหนือ (หมอชิต) 0-2936-2841-8 ต่อ 311
บริษัทเอื้องหลวง ล้านนา ทัวร์ กรุงเทพ 0-2617-8495-6
เชียงใหม่ 0-5324-9314-6
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หมอชิต) 0-2936-2841-8 ต่อ 611
บริษัทถาวรฟาร์ม 0-2282-3341-5
บริษัทสยามเฟิร์ส ทัวร์ 0-2279-1864
บริษัทสมบัติทัวร์ 0-2271-3005
บริษัทพิษณุโลกยานยนต์ 0-2936-2924-5 , 0-5525-8647
ภาคกลาง 0-2936-2841-8 ต่อ 311
ภาคตะวันออก (เอกมัย) 0-2391-2504
เชิดชัยทัวร์ 0-2392-9227, 0-2391-2504
สหมิตรทัวร์ 0-2391-4164
พรนิภาทัวร์ 0-2391-5179
ภาคใต้ (สายใต้ใหม่) 0-2434-7192
รถธรรมดา 0-2434-5557-8
0-2435-1199 ,
รถปรับอากาศ 0-2434-7191
บริษัท ลิกไนต์ทัวร์ 0-2435-5016
รถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ
ตรวจสอบเส้นทางเดิน รถเมล์ (ขสมก.) 184
สำนักงานคณะกรรมการ จัดระบบการจราจรทางบก 1644
ศูนย์ควบคุมการจราจร 197, 0-2247-6610-6
ศูนย์ควบคุมระบบการ จราจรบนทางด่วน (สอบถามเส้นทาง) 1543
บริการแท็กซี่
ไทยลีมูซีน (แท็กซี่ท่าอากาศยาน) 0-2535-0801
บริการเท็กซี่ สาธารณะ 1545 , 1661 , 1681

ที่มา https://www.asnbroker.co.th

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความรู้ เทคนิคการล้าง และเช็ดรถ #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ความรู้ เทคนิคการล้าง และเช็ดรถ #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ความรู้ เทคนิคการล้าง และเช็ดรถ #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน  วันนี้กระผมนาย Asn Broker จะมาแนะนำวิธีอาบน้ำให้รถคันน้อยๆ ที่รักยิ่งของท่านผู้อ่านกันครับ
อันว่า รถใครใครก็รัก และก็ย่อมอยากให้รถของเรามีสีที่สวย สะอาดเป็นเงาตลอดเวลา แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องเอารถออกมาใช้งานก็อาจเจอกับฝุ่นละออง และบางทีอาจจะโดนสเก็ตก้อนหินที่กระเด็นมาโดนเวลาขับรถ หรือบางครั้งก็ขับไปลงน้ำโคลนที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเรามาดูวิธีการล้างรถที่ถูกวิธีกันนะครับ และการที่รถสกปรก หรือมีผลต่อสีรถอันแสนสวยของคุณเกิดขึ้นได้จากต้นเหตุหลายประการ ดังนั้น ควรจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันไว้ก่อนจะเป็นการดี
วิธีการล้างรถที่ถูกวิธี
ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อสี และตัวถัง
- ฝุ่นและสิ่งสกปรกบนท้องถนน เช่น เขม่า แมลง มูลนก สารประกอบประเภทด่าง ยางไม้ และสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำลายสีรถได้ถ้าปล่อยทิ้งไว้
- ฝุ่นควันในย่านโรงงานอุตสาหกรรมก็เป็น "ตัวร้าย" ทำลายสีรถได้เช่นกัน ยิ่งมีสารประกอบประเภทซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งบางทีเค้าเรียกกันว่า "ฝนกรด" นี่แหละเป็นตัวทำลายสีรถได้ดีนัก
- เขตชายฝั่งทะเลซึ่งมีความชื้นและไอเกลือผสมปะปนอยู่ในบรรยากาศ รถบริเวณนั้นออกจะโชคไม่ดีสักหน่อยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
- ภูมิอากาศแถบร้อน เช่น แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงมาก อากาศที่มีความชื้นสูง รถที่มีสีอ่อนสามารถเกิดความร้อน 80 องศาเซลเซียส และรถที่มีสีทึบสามารถเกิดความร้อนถึง 120 องศาเซลเซียส ถ้าจอดทิ้งไว้กลางแดดนาน ๆ อาจทำให้สีเริ่มแตกได้โดยเฉพาะพื้นที่รับแสงอาทิตย์เต็ม ๆ เช่น บริเวณหลังคาและฝากระโปรงรถ
- กรวดทรายบนท้องถนนอาจทำให้พื้นผิวของสีถลอก ซึ่งจะทำให้เกิดสนิมตามบริเวณบังโคลน
สิ่งน่ารู้ของการรักษาสีรถ
การล้างรถบ่อยๆ ทำให้สีตัวรถดูสดใสตลอดเวลาและไม่ปล่อยโอกาสให้บรรดา "ตัวบ่อนทำลาย" ทั้งหลายได้มีเวลาเกาะอยู่ตามสีนานจนเกินไป แต่ทั้งนี้การล้างรถควรจะต้องคำนึงถึงการปฏิบัติอย่างถูกวิธีด้วย ประเภทสักแต่ว่าล้าง หรือ "ล้างลูกเดียว" ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กปั๊ม หรือเวลาล้างพวกรถแท็กซี่ที่มุ่งปริมาณ มากกว่าคุณภาพอย่าล้างรถท่ามกลางแสงแดดร้อนจัด ถ้ามีเหตุจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้กลางแสงแดดหรือเพิ่งเสร็จสิ้นจากการเดินทาง ความร้อนที่ฝากระโปรงยังมีอยู่ควรปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง จนกระทั่งผิวรถเย็นจึงค่อยจัดการล้างทำความสะอาด
การล้างรถ
- ควรล้างรถสัปดาห์ละครั้ง หรือเมื่อสีเริ่มสกปรก
- ล้างน้ำมันเบนซิน น้ำมันเครื่อง จาระบี หรือน้ำมันเบรกออกทันทีเมื่อเปื้อนสีรถ แม้ว่าสีรถนั้นจะเป็นยี่ห้อพิเศษที่ทนน้ำมันเบรกทนไฟก็ตาม
- ควรขจัดแมลงที่ติดตามตัวถังก่อนที่จะทำการล้างรถ
- ควรทำความสะอาดตามขอบประตู ฝากระโปรงหน้า-หลังอย่างทั่วถึง
- ในช่วงฤดูฝนควรทำความสะอาดค่อนข้างบ่อย อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวฝนตกรถก็เปรอะเปื้อนอีก เนื่องจากโคลนที่เกาะตามตัวถังเมื่อเพิ่มจำนวนขึ้นจะทำให้ล้างยากและเป็น อันตรายกับสีรถ
- ควรดูดฝุ่นภายในรถด้วย
- ในการล้างรถขั้นแรก ควรใช้น้ำฉีดล้างสิ่งสกปรกให้ละลายเสียก่อน หรือใช้น้ำเปล่าราดโชกตลอดทั่วทั้งคัน จากนั้นใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มเช็ดถูเบา ๆ อย่าถูแบบกดแรง ๆ หรือซ้ำซากในที่เดียวถ้าใช้ฉีดล้างก็ควรฉีดเบา ๆ
 -เริ่มทำความสะอาด จากด้านบนก่อนโดยเริ่มจากหลังคาลงมายังส่วนฝากระโปรงรถ สำหรับส่วนล่างของรถหรือล้อควรล้างในขั้นสุดท้าย และอย่าลืมฟองน้ำที่ใช้สำหรับส่วนล่างต่างหาก อย่าใช้ปะปนกับอันที่ใช้ล้างตัวรถ
- ถ้าใช้พวกแชมพูในการล้างด้วย ต้องล้างน้ำสะอาดธรรมดาอีกครั้งหลังจากใช้แชมพูแล้วและอย่าใช้ผงซักฟอกล้างรถเป็นอันขาด
- เช็ดรถให้แห้งด้วยผ้าชามัวส์หรือผ้านุ่มสะอาด ตรวจดูให้ทั่วอย่าให้มีหยดน้ำหลงเหลืออยู่บนตัวรถ มิฉะนั้นเวลาแห้งมันจะทิ้งรอยคราบขาว ๆ เอาไว้ ยิ่งเป็นรถที่มีสีทึบจะเห็นได้อย่างชัดเจน
- รอยสกปรกที่ยังตกค้างอยู่บนพื้นผิวสี ควรเช็ดออกด้วยน้ำยาทำความสะอาดทันทีหลังจากล้างรถแล้วเบรกอาจจะเปียกชื้น เพื่อให้เกิดความแน่ใจก่อนออกรถทุกครั้งภายหลังการล้างรถ ควรเหยียบห้ามล้อย้ำสักครั้งสองครั้งเพื่อไล่ความชื้นบนผ้าเบรก ซึ่งอาจเปียกน้ำให้หมดไป

ข้อควรรู้ >> หลังจากล้างรถเสร็จใหม่ๆ ไม่ควรดึงเบรกมือ เพราะอาจจะยังมีน้ำเกาะอยู่ที่จานเบรก (ตอนล้างล้อ) ทำให้เกิดอาการ "เบรกติด" ได้

ล้างกระจกหน้าต่าง
หน้าต่างรถด้านนอกสามารถจะใช้แอลกอฮอล์ หรือน้ำยาล้างกระจกล้างทำความสะอาด ได้ แต่ด้านในของกระจกที่มีวงจรไฟฟ้าติดตั้งอยู่ (เช่นแผงไล่ฝ้าติดตั้งกระจกหลังที่ป้องกันมิให้เกิดฝ้าจากการเกาะตัวของไอ น้ำในขณะฝนตกหรืออากาศเย็นจัด) ไม่ควรเช็ดล้างแบบเปียก ควรใช้วิธีการปัดทำความสะอาดเท่านั้น อย่าใช้น้ำยาล้างที่มีส่วนผสมของสารประเภทซิลิโคนเป็นอันขาด และไม่ควรใช้ยาขัดใดๆ ซึ่งอาจทำให้แผงเส้นลวดชำรุดได้สำหรับใบปัดน้ำฝนส่วนที่เป็นยาง ควรล้างด้วยน้ำสบู่ ระวังอย่าถูกดแรง ๆ จนทำให้ใบปัดเสียรูปทรง หรือขอบยางบิดเบี้ยว
การทำความสะอาดตัวรถ
ตัวถังรถยนต์จะได้รับการเคลือบสีไว้เป็นอย่างดี ถ้าการทำความสะอาดนั้นทำผิดวิธีจะทำให้สีที่เคลือบไว้เสียหาย เช่น เกิดการด่าง การลอกร้าวของสี ดังนั้นเราต้องทำความสะอาดให้ถูกวิธีคือฝุ่น หรือโคลนติดที่ตัวถังรถ สิ่งเหล่านี้จะดูดความชื้นได้ง่าย จะทำให้ผิวของสีเสื่อม ขาดความเป็นเงามัน สีจะซีดจางเกิดความแตกร้าวได้ง่าย ถ้ามีฝุ่นจับที่ไม่สกปรกเกินไปก็ใช้ไม้ขนไก่ปัดทุกวันก็พอเมื่อไม้ ขนไก่ไม่สามารถทำความสะอาดที่ตัวถังรถได้เพียงพอให้ใช้ผ้าอ่อน ๆ ชุบน้ำเช็ดอย่างระมัดระวัง เพราะฝุ่นนั้นจะมีละอองหินหรือสิ่งที่แข็งติดอยู่ ถ้าเช็ดแรง ๆ สีที่เคลือบไว้จะเป็นรอยขีดข่วนควรทำความสะอาดที่ปัดน้ำฝนด้วยถ้ามีโคลนจับเพราะจะทำให้กระจกเป็นรอยได้

เคล็ดลับง่ายๆ ของการล้างรถให้สะอาด ไม่เกิดรอย และไม่ทำลายสีรถ
1. เริ่มจากฉีดน้ำครับ ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน และสิ่งสกปรกต่างๆ หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด
2. ล้างด้วยน้ำเปล่าก็สะอาดเพียงพอแล้ว แต่อาจต้องใช้แรงในการขัดถูมากหน่อย ถ้าอยากให้ล้างง่ายขึ้น สะอาดใสปิ๊ง ก็ให้ใช้แชมพูล้างรถร่วมด้วยครับ
3. รถก็เหมือนบ้าน เวลาทำความสะอาดต้องเริ่มจากด้านบนก่อน ค่อยๆ ล้างจากส่วนบน ลงล่าง
4. ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช่น ผ้าสำลี ล้างรถ ไม่ควรใช้ฟองน้ำ เพราะเม็ดทรายหรือฝุ่นจะติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ เมื่อถูไปกับผิวสีรถ จะทำให้เกิดรอยขีดข่วน และถ้าทำได้ควรจะนำผ้าไปแช่น้ำไว้ก่อน ยิ่งถ้าใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วยจะดีมาก ในขณะที่ล้างรถก็ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้าด้วย
5. โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านล่างจะสกปรกและมีฝุ่นมาก จึงขอแนะนำให้แยกใช้ผ้า 3 ผืน ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง และกระจกรถทั้งหมด ผืนที่สอง ใช้ล้างด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจกด้านล่างลงมา ผืนสุดท้าย ใช้สำหรับทำความสะอาดล้อ และส่วนอื่นที่สกปรกมาก
6. ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด และ ใช้ผ้าแห้งนุ่มๆ เช็ดรถให้แห้งทันที จะได้ไม่มีฝุ่นเกาะและไม่เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถ

ล้างแล้วเช็ด
1. ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้จะไม่ทำให้รถเป็นรอย การเช็ดรถที่ถูกต้องก็เหมือนกับการล้าง คือควรเช็ดจากด้านบนไล่ลงมาด้านล่างของรถ เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมด จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อ
2. ส่วนของรถที่ต้องระวัง คือ ด้านในขอบประตูทั้งหมด ด้านในกระโปรงหลัง ด้านในฝาถังน้ำมัน กระจกหน้ารถ ควรเช็ดให้แห้งที่สุด อย่ามองข้ามเป็นอันขาด
3. ล้อแม็กซ์ ก็ควรจะเช็ดให้แห้งด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเกิดเป็นคราบน้ำขึ้น ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้นจะเช็ดออกยากจนถึงเช็ดไม่ออกเลย

ข้อควรรู้ในการล้างรถ
1. ไม่ควรล้างรถเองในตอนเย็น เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้อาจทำให้เกิดสนิมในจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้ง หรือไม่ก็ต้องยอมเปลืองน้ำมันเอารถออกไปขับไกล ๆ ให้ลมช่วยทำให้ทุกซอยทุกมุมแห้งสนิท วิธีนี้คุณผู้ชายอาจใช้เป็นข้ออ้างในการออกจากบ้านตอนเย็นๆ ได้นะครับ ไม่ว่ากัน
2. ไม่ควรล้างรถกลางแดด เพราะนอกจากคนล้างอาจไม่สบายได้แล้ว แสงแดดจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเช็ดไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถได้ครับ
3. ไม่ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรถแทนการล้างรถ เพราะจะเป็นการทำลายสภาพสี ผงฝุ่นต่างๆ ที่ติดบนผ้าจะทำให้เกิดรอยขนแมวยิ่งเช็ดรถมากครั้งขึ้นเท่าไหร่ การเกิดรอยก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
4. ไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ หรือแปรงปัดฝุ่นทุกชนิด ปัดฝุ่นเพื่อทำความสะอาด เพราะมันเหมือนกับการใช้กระดาษทรายเช็ดรถเลยทีเดียว ในขณะที่ปัดฝุ่น ไม้ปัดฝุ่นจะลากถูฝุ่นหรือเม็ดทรายไปตามผิวสีรถ ทำให้เกิดริ้วรอยได้ครับ
เมื่อเราล้างรถ เช็ดรถสะอาดแล้ว มาดูการทำให้รถลูกรักของเราเงางามวับๆ กันดีกว่าครับ
ก่อนอื่นขอพูดเรื่องน้ำยาก่อนนิดนึงนะครับ
น้ำยาที่เป็น wax แบ่งเป็น 3 ประเภท  คือ

1. แบบคานูบ้า พวกนี้จะให้ความเงางามสุดๆ ดั่งแก้วกระจก แต่ข้อเสียคือไม่เหมาะกะเมืองไทย เพราะมันหลุดเร็ว
อากาศบ้านเราเดี๋ยวร้องเดี๋ยวฝน เดี๋ยวล้าง 3 วันก็หลุดหมดแล้ว แต่ดีกับรถที่จอดอยู่ในที่เก็บไม่ค่อยได้ใช้
หรืออาทิตย์นึง ออกไปหนเดี่ยว หรือมีเวลาเคลือบ 3 วันครั้งคับ โดยจะ แบ่งเป็น ผสมน้ำ และผสม น้ำมัน(ไว้จะพูดถึงอีกทีนะคับ)
2. แบบซิลเซติก หรือเราเรียวกว่าสังเคราะห์ นำ้ยาประเภทนี้จะ เงาไม่เท่าคานูบ้า แต่ทนทานรักษาสีรถได้ดี
เหมาะกับรถสี สดๆ สีขาว แบ่งเป็น น้ำ กะ นำ้มันเช่นกัน
3. แบบขี้ผึ้ง เห็นได้ตาคลองถม อันนี้ไม่แนะนำให้ใช้ไม่ว่าจะแบบไหนๆก็ตาม เพราะ ลงยาก(อาจทำให้รถมีรอย)
ขัดออกยาก เงาแค่ 2-3 วัน คือเป็นคานูบา แบบนึงคับ
ส่วนผสม ที่เป็นนำ้มัน ข้อดี คือมันเงาคับ แต่ลงแล้วเช็ดยากมากๆ และเวลาทำรถต้องแห้งสนิท ถ้าบ้านไม่มีเครื่องเป่าลมก็ เละแน่ๆ เพราะมันจะทำให้รถเป็นรอยน้ำ ดำๆ ด่างๆ
 
ส่วนผสมที่เป็น น้ำ้ อันนี้ดีครับส่วนตัวผมชอบนะ เช็ดออกง่าย รถมีรอยน้ำนิดหน่อย หรืออาจจะไม่มีเลยถ้าลงดีๆ

การลง Wax ด้วยมือ เตรียมอุปกรณ์ดังนี้
1. wax
.2 ฟองน้ำกลม (เนื้อต้องละเอียดมากๆ ขอเป็นอย่างดีนะคับ อย่าไปเอาอันละ 10 บาทมา)ให้ไปขอซื้อจากคาร์แคร์
ดีๆไปเลย ราคา 50-100 บาทใช้กันจนตายยังไม่พัง
3. ผ้าไมโครไฟเบอร์เกรด A ซัก 2 ผืน (อันนี้ก็ขอ A แท้ๆนะคับ เพราะตามห้าง ตามคลองถม บอกว่า A มันไม่ใช่
ข้อแต่กต่างก็ดูยากมากๆ ขนาดในห้างผืนละ เป็นพันยังแค่ B เลย แนะนำให้ซื้อจากคาร์แคร์ พรีเมี่ยม เท่านั้น
เพราะเซลล์ขายในห้างมันสักแต่ขาย อย่าไปเชื่อมันมากคับ ที่บ่นเพราะเพื่อนโดนหลอกมาหลายคนแล้ว ไม่อยากให้โดนกันครับ) 
4. พื้นที่ทำงาน ที่ร่ม มีไฟส่องให้เห็นรถทั้งคัน ห้ามทำกลางแดดนะคับ


เตรียมอุปกรณ์กันครบแล้ว ก็มีวิธีการ ขั้นตอนลง Wax ดังนี้นะครับ

1. ล้างรถให้สะอาด (ต้องล้างรถก่อนทำทุกครั้งนะคับไม่งันฝุน ทราย จะติดบนสีผิว เคลือบไปละ ซวยแน่ๆ และต้องทำหลังจากล้างนะคับไม่ใช่ล้างเช้า แล้วมา wax ตอนเย็น)
2. ทำให้รถแห้งที่สุดเท่าที่ทำได้คับ
3. เอาฟองน้ำ บีบน้ำยาใส่ ไม่ต้องมาก บีบเป็นวงกลม 3 วงซ้อนกันเหมือนก้นหอยคับ เสร็จแล้ว ให้เอามาแปะที่ตัวรถ โดยแบ่งเป็นชิ้น เช่น ฝากระโปรง ประตู หลังคา เราจะทำงานเป็นชิ้น อย่าข้ามชิ้นนะคับ และตอนแปะ ให้แปะ ซัก 3 จุด ชิ้นนึงถ้าใหญ่ก็ แบ่งเป็นทีละครึ่งก็ได้ บีบ waxทีนึง ใช้ได้พื้นที่ 4-6 ตารางฟุต จากนั้นวนเบาๆ เป็นก้นหอย ผ่านตามจุดที่แปะไว้คับ ทำไปเรื่อยๆ
4. เมื่อทำเสร็จทั้งคัน ก็พักซักหน่อย 15 นาทีก็ได้ ไม่จำเป็นต้องนานครับ เพราะไม่ใช่ยิ่งนานยิ่งเงา wax แต่ละตัวมีจุดที่ให้การทำงานสูงสุด โดยปรกติ 15-30  นาที นับจากเวลาเริ่มลงชิ้นแรก
5. เช็ดออก ด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ด้านขนสั้น(สำหรับแบบน้ำ) ด้านขนยาว(สำหรับแบบน้ำมัน และขี้ผึ้ง แล้วค่อยเก็บคราบด้วยขนสั้น) ตอนนี้ใครใช้แบบน้ำมันก็เหนื่อยกันเหงื่อหยดเลย

6.  ที่เหลือก็เก็บคราบคับ ต้องเก็บให้หมดนะคับ ไม่งั้นจะเป็นรอบแห้งแข็งๆ ติดที่รถฃ
ใครยังเงาไม่สะใจ ก็ลงซ้ำเรื่อยได้ ผมยังเคยลงวันเดียว 3 รอบในคันเดียว เพราะอยากเงาขอให้เพื่อนๆ มีความสุข กับการล้างรถนะคับ 

รูปด้านบน เงาวับๆ เป็นกระจกเลย อยากให้รถเพื่อนๆ เป็นแบบนี้ กันถ้วนหน้า เลยนะครับ อิอิ ผมหวังว่าบทความนี้ จะพอช่วยแนะนำเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในการล้างรถ และเคลือบเงา เพื่มความ หล่อ สวย ให้ลูกชาย ลูกสาว สุดที่รัก ราคาเรือนแสน กันนะครับ
ครั้งหน้า จะมาคุย มาเขียนเรื่องอะไรต่อ โปรดรอติดตามรับชม

ที่มา http://www.asnbroker.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ไฟตัดหมอกรถยนต์สำคัญไฉน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ไฟตัดหมอกรถยนต์สำคัญไฉน  #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ไฟตัดหมอกรถยนต์สำคัญไฉน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

......มีเพื่อนร่วมงานหลายคนมาบ่นเรื่องปัญหาที่พบเกี่ยวกับการเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อที่เป็นปัญหาหมักหมมมานานอย่างหนึ่งในบ้านเราและASN Broker ก็เห็นด้วยว่าจริงซึ่งก็เจอกับตัวเองบ่อยเหมือนกันล่าสุดก็เมื่อคืนนี้เอง....ช่วงโพล้เพล้ตอนหัวค่ำหรือช่วงกลางคืนขณะที่อากาศปลอดโปร่ง มีบ่อยครั้งกับรถที่วิ่งสวนมา ถึงแม้จะเปิดไฟต่ำก็จริงแต่พี่แกก็แถมพ่วงด้วยไฟตัดหมอกมาด้วย...เอ่อ..แล้วจะเอาไงดีหละเนี่ย?เพราะรถผมก็มีเหมือนกัน........

Fog Lamp หรือไฟตัดหมอก

ถือกำเนิดขึ้นมาในแถบประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง หรือแถบที่อากาศหนาวหรือประเทศที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำทำให้มีฝนตกบ่อยตลอดทั้งปี ทั้งหมดที่กล่าวมาจะมีบรรยากาศที่ขมุกขมัวหรือมีหมอกซะส่วนมาก หรือมีหมอกมีฝนมากกว่าเวลาที่อากาศปลอดโปร่งดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยานพาหนะจึงมีการคิดค้นไฟตัดหมอกขึ้นมา
 
หลักการของไฟตัดหมอก

จะใช้ไฟที่ให้ความสว่างสูงส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตร์ไลท์ ส่องในระนาบขนานกับพื้นถนนหรือจะตกพื้นก็ในระยะไกล ดังนั้นความสว่างจึงมีมากและไปได้ไกลเพราะหลอดไฟหน้ามุมจะตกลงพื้นถนนแต่ไฟตัดหมอกมุมแทบจะจะขนานไปกับพื้นถนนหรือตัวรถ หลอดไฟหน้าปกติถ้าเปิดส่องในขณะที่หมอกจัดหรือฝนตกหนักเพราะมุมที่เอียงลงจึงทำให้เกิดมุมสะท้อนกลับสู่สายตาของผู้ขับขี่ จึงทำให้แสงที่ส่องผ่านไปมีน้อยหรือมองเห็นแค่ในระยะไม่เกิน 10-15เมตรแถมแสบตากับแสงที่สะท้อนกลับ แต่ไฟตัดหมอกที่ส่องแบบขนานพื้นจะไม่สะท้อนมาที่ห้องโดยสารสามารถทุลุทะลวงออกไปได้เยอะและสะท้อนกลับมาก็ในมุมที่ไม่กระทบผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นได้ในระยะมากกว่า 30-80เมตร ในทำนองเดียวกันเมื่อพื้นถนนเปียกหรือฝนหยุดตกใหม่ๆในตอนกลางคืนไฟหน้าปกติที่ส่องลงผิวถนนจะถูกพื้นน้ำสะท้อนออกไปในอีกมุมนึงบางครั้งเหมือนกับว่าแทบจะมองไม่เห็นผิวถนนด้วยซ้ำไป แต่ไฟตัดหมองที่แทบจะไม่ส่องลงพื้นถนนยังสามารถมองเห็นผิวถนนในระยะสายตาได้อย่างชัดเจน ซึ่งในแถบประเทศที่กล่าวมาเขากำหนดเป็นกฏบังคับให้รถต้องมีไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

การมาของไฟตัดหมอก

ความจริงไฟตัดหมอกมีมานานแล้ว แต่ในบ้านเรายังไม่เป็นที่นิยมเพราะราคาแพงและไม่มีความจำเป็น เมื่อก่อนจึงมีให้เห็นเฉพาะกับรถนำเข้าจากเขตเมืองหนาวหรือเขตเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆเท่านั้น ต่อมาค่านิยมเริ่มเปลี่ยนไปเพราะใครที่ติดไฟตัดหมอกถือว่าเท่และทันสมัย กอปรกับราคาที่ถูกลงจึงมีการหาซื้อมาดัดแปลงติดตั้งเพิ่มเติมกันทั่วบ้านทั่วเมือง สุดท้ายแม้แต่รถที่ผลิตในบ้านเราก็ต้านกระแสนิยมไม่อยู่หลายๆรุ่นทุกวันนี้ติดไฟตัดหมอกมาจากโรงงานแล้วทั้งนั้นไม่เว้นแม้กระทั่งรถเล็กๆที่ใช้แบตเตอรี่ตัวจิ๋วก็เอากับเขาด้วย


เมื่อไหร่ควรจะใช้ไฟตัดหมอก

ที่เป็นมาตรฐานสากลที่เขาจะใช้ไฟตัดหมอกกันก็กรณีดังต่อไปนี้ครับ

1.ฝนตก จะปรอยๆหรือตกหนักๆอันนี้ไฟตัดหมอกมีประโยชน์มากแม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2.เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขาเช่นภูเรือ-ดอยสุเทพ เป็นต้นโดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนเพราะที่สูงๆนั้นหมอกจะมีมากกว่าปกติ
3.ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ อันนี้นอกจากจะช่วยให้ทัศนะวิสัยในการขับขี่ของเราดีเพราะไฟหน้าปกติของเราถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว
4.ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนะวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50เมตร
5.ปิดไฟตัดหมองทันทีที่มีรถสวนมา ในระยะที่มองเห็นไฟห้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน แม้แต่รถที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็จะสั่งปิดไฟตัดหมอกคงไว้เฉพาะไฟปกติเมื่อสัญญานจับได้ว่ามีไฟสะท้อนมาในมุมตรงข้าม

หันมามองแถวๆนี้พบว่า

1.ท่านเปิดทันทีที่มีโอกาส แค่ตะวันตกดินฟ้ายังไม่มืดเลยก็เอากันแล้ว(กลัวไม่รู้ว่าติดมาแล้วนะหรือมีติดรถนะ)
2.รถจะสวนยังไงท่านไม่สนจะเปิดเสียอย่างจะทำไม(ขอดูสว่างไว้ก่อนคนอื่นช่างมัน)
3.บรรยากาศจะเป็นยังไงก็ไม่สนก็จะเปิดนะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถนนสีลมยังเปิดเลยแถมวิภาวดีที่มีไฟถนนเต็มไปหมดก็อยากเปิดง่ะจะทำไม(อันนี้ไม่รู้จะเปิดหาพระแสงอะไรยังไงมันก็สว่างสู้ไฟถนนไม่ได้หรอก)แต่ก็ยังดีที่ถนนแยกเลนท์กันจึงไม่ค่อยกระทบกับอีกฝั่งซักเท่าไหร่ แต่ก็กระทบกับรถคันหน้าเวลาที่โดนท่านจ่อตูดหรือช่วงรถติดนะครับ
4.ตอนนี้ฮิตไปทั่วไม่ว่าต่างจังหวัดก็เอาด้วยใครไม่เปิดหรือไม่มีไฟตัดหมอกถือว่าตกสำรวจ แต่จะหนักหน่อยและเป็นปัญหามากก็ถนนที่รถวิ่งสวนกันนั่นแหละสุดๆเลย


จะอะไรกันนักกันหนาครับ ขอความเอื้อเฟื้อแก่เพื่อนร่วมทางบ้าง บางท่านอาจจะไม่มีหรือบางท่านมีเหมือนกันแต่ท่านก็มีมารยาทและรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะใช้มัน ถ้าสมมุติว่าท่านที่ไม่มีไฟตัดหมอกสวนมาแต่ท่านก็ไม่ยอมปิดไฟตัดหมอกแล้วเขายอมเปิดไฟสูงสวนกับไฟสูงของท่านมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาต่างก็หน้ามืดไปตามๆกับ หรือต่างคนต่างมีต่างคนต่างเปิดไม่ลดลาวาศอกให้กันก็อีกแหละหน้ามืดไปตามๆกันหรืออาจจะจบลงด้วยอุบัติเหตุและการวิวาทตามมาแล้วมันได้อะไรขึ้นมา หรือเกิดคนที่ไม่มีไฟตัดหมอกหรือมีอยู่แต่ปิดแล้วแต่ท่านไม่ยอมปิดให้เขา เกิดหมั่นใส้ที่ท่านไม่ยอมปิดไฟตัดหมอกและในจังหวะที่สวนกันเขาก็อาจจะเปิดกระจกส่งเหรียญสิบบาทมายังกระจกหน้ารถของท่านยิ่งถ้าไม่ใช่ถนนสวนเลนท์กันท่านก็จะลำบากเพราะไม่รู้จะเอาตังค์เหรียญสิบบาทไปคืนเจ้าของได้ที่ไหนส่วนเลนท์ที่สวนกันก็มีวิธีเหมือนกันแต่ไม่บอกหรอกเดี๋ยวทำตามเพราะโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูง..อุอุ..ไม่ได้ยุนะครับแต่หาเหรียญสิบบาทมาเตรียมไว้บ้างก็ดีหัดดีดเม่นๆเอาด้านสันบินใส่กระจกฝึกบ่อยๆครับ..อุ้ย..แตกงามอย่าบอกใครเชียวเสียงดังฟังชัดแถมท่านก็ตกใจหักพวงมาใส่ผนังคอนกรีตด้วยงามไปใหญ่....อันนี้พูดเล่นนะครับ ถ้าจะทำจริงๆก็ดูว่ามีรถตามหลังคันนั้นด้วยหรือเปล่าเดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ครับ

ที่มา https://www.asnbroker.co.th

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ยางรถยนต์ ใช้นานแค่ไหน ถึงอันตราย #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ยางรถยนต์ ใช้นานแค่ไหน ถึงอันตราย #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ยางรถยนต์ ใช้นานแค่ไหน ถึงอันตราย #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ความปลอดภัยในการขับขี่นอกจากเบรคและช่วงล่างแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างคือยางรถยนต์

ASN Broker วันนี้จึงอยากขอนำเสนอความรู้คร่าวเกี่ยวกับยางรถยนต์

เราจะจะมีอายุการใช้งานประมาณ3ปีหรืออยู่ที่ประมาณ50,000กิโล

แม้ว่าดอกยางยังไม่สึก ก็ขอให้เปลี่ยนครับ เพราะยางรถยนต์ก็เหมือนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางทั่วไปเมื่อยางหมดอายุ

เนื้อยางจะแข็งตัว เกิดรอยปริร้าว ลองนึกถึงรองเท้ากีฬาเมื่อเก็บไว้นานๆไม่ค่อยได้ใส่สิครับ

ยางจะเปื่อยยุ่ย แตกลายงา ถึงแม้ว่าเราจะใช้น้อยก็ตาม ยางรถยนต์ก็เช่นกัน
ขอเตือนด้วยความเป็นห่วงครับ คนที่ใช้ยางเปอร์เซ็นต์
เราจะไม่สามารถทราบอายุของยางได้เลย(สำหรับคนที่ดูเป็นที่แก้มยางจะมีรหัสของวัน สัปดาห์
และปีที่ผลิตบอกไว้ตรวจสอบได้ครับ)อุบัติเหตุจากยางรถยนต์คือ รถพลิกค่ำ
หรือที่เคยเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ คือยางระเบิด ทั้งที่เป็นรถใหม่ อายุรถแค่2ปี

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า...รถบางรุ่นหรือบางยี่ห้อ ผลิตออกมากว่าจะได้ขายออกไปแล้วจดทะเบียนก็ปาเข้าไป2ปี

(ฉะนั้นควรตรวจสอบว่ารถผลิตปีอะไรตอนซื้อครับ)

เพราะซื้อมาขับได้2ปียางที่ติดรถมาก็อายุปาเข้าไป4ปีแล้ว แม้จะใช้งานมาน้อยก็ตาม...

(เลขไมล์ยังไม่กี่พันโล) แต่ว่ายางแข็งตัวแล้วครับพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ

ถ้าเราขับรถไกลและใช้ความเร็วสูงเป็นเวลานาน ฉะนั้น3ปี กับเงิน10,000บาทโดยประมาณ

(ยางรถนั่งบุคคลขนาดมาตรฐาน)ผมว่าคุ้มค่ากับชีวิตนะครับ รถเสียเครื่องยนต์ดับกลางทางอย่างดีก็จอดข้างทาง

แต่ยางแตกรถพลิกคว่ำนี่สิ นอนข้างทางไม่มีโอกาสลุกแล้วครับ

ที่มา http://www.asnbroker.co.th

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

มาดูแลแบตเตอรี่กันหน่อยดีมั๊ย #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

มาดูแลแบตเตอรี่กันหน่อยดีมั๊ย #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
มาดูแลแบตเตอรี่กันหน่อยดีมั๊ย #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ถ้าพูดถึงแบตเตอรี่ในรถยนต์จะเปรียบว่าเป็นหัวใจของรถเลยก็คงจะไม่ผิดนักเพราะว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานทั้งหมดของระบบ ASN Broker เลยชอนำความรู้เกี่ยวกับแบตมาฝากเพื่อนๆ ถ้าไม่มีแบตเตอรี่เครื่องยนต์ก็ไม่สามารถทำงานได้ แต่หลายๆคนมักมองข้ามการดูแลรักษามันไปกว่าจะรู้ตัวหรือเห็นความสำคัญของแบตเตอรี่ก็ตอนที่รถมันสตาร์ทไม่ติดนั่นแหละและที่สำคัญหลายๆคนอาจจะลืมคิดไปว่าผลที่ตามมาจากการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่อาจจะส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆด้วยไม่ว่าจะเป็นระบบการประจุไฟเข้าแบตเตอรี่เองหรืออาจจะส่งผลกระทบไปถึงระบบประมวลผลได้ด้วยทำเป็นเล่นไป!

ชนิดของแบตเตอรี่

ขอพูดถึงคร่าวๆซักนิดนะครับคงไม่ลงลึกในรายละเอียดว่าแบตเตอรี่ที่มีขายกันในท้องตลาดที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปพอจะแยกได้เป็น ๒ ชนิดคือ

๑. แบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าแบตเตอรี่แห้ง หลายๆคนยังเข้าใจว่าแบตเตอรี่แห้งคือมันแห้งจริงๆ แต่ความจริงแล้วแบตแห้งที่นำมาใช้กับรถยนต์ยังคงมีประเภทที่มีของเหลวอยู่ภายในไม่ว่าจะเป็นแบบตะกั่ว-กรดที่ใช้แคดเมี่ยมและตะกั่วในแผ่นเซลล์หรือพวกที่ใช้สารละลายอัลคาไลน์หรือที่รู้จักกันในชื่อนิเกิล-แคทเมี่ยมนั่นเอง แต่ที่นิยมและใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากคือแบบตะกั่ว-กรดเพราะมีราคาถูกกว่า

-ข้อดีคือไม่ต้องเติมน้ำกลั่น-สะดวกต่อการใช้งาน-การปล่อยทิ้งไว้ในสภาพไม่มีไฟประจุสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาที่นานกว่าแบตธรรมดา-ปริมาณแก๊สที่เกิดขึ้นจากปฎิกริยาทางเคมีภายในมีน้อย

-ข้อที่ไม่ค่อยดีนักคือราคาแพงกว่าแบตธรรมดา-เป็นระบบปิดที่มีรูหายใจแบบทางเดินทางเดียวขนาดเล็กถ้ามีการอุดตันอาจจะเกิดปัญหาด้านแรงดันภายในหรือความร้อนโดยเฉพาะระบบประจุที่รุนแรงเนื่องจากเกิดปัญหาในระบบการประจุ-แบตเตอรี่แบบที่ปิดผนึกแบบไม่ใช้อีเล็กโตรไลท์ถ้าซิลของช่องหายใจเกิดหลุดจะเกิดการเสียหายเนื่องจากมีความชื้นเข้าไป

๒.แบตเตอรี่ที่ต้องเติมน้ำกลั่น โครงสร้างมันก็เหมือนกับแบตแห้งนั่นแหละเพียงแต่มันใช้อีเล็กโตรไลท์หรือกรดซังฟุริคเจือจางด้วยน้ำกลั่นบรรจุอยู่เพราะจะว่ากันตามจริงแล้วแบตเตอรี่แบบแห้งและแบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นมันก็ต่างกันแค่วัสดุที่ใช้ทำแผ่นธาตุเท่านั้นเอง

-ข้อดีคือราคาถูก-ทนทานต่อการรับโหลดทั้งการประจุและคายประจุ

-ข้อที่ไม่ค่อยดีนักคือการรั่วหกของสารละลายจากภายในที่มีส่วนผสมของกรดสามารถทำลายสีของรถได้-ต้องคอยดูแลการประจุและการเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอไม่ว่าจากการระเหยหรือการรั่วหก

จะเลือกใช้แบตเตอรี่อย่างไร

๑.รถแบบเดิมๆที่ไม่มีการเพิ่มเติมอุปกรณ์ไฟฟ้าการเลือกใช้แบตเตอรี่แบบแห้งหรือแบบที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่าโดยเฉพาะท่านที่ไม่ค่อยได้ดูแลรถบ่อยๆหรือไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถมากนัก

๒.รถที่มีการแต่งหรือเพิ่มเติมอุปกรณ์ไฟฟ้าเข้าไปภายหลังเช่นเครื่องเสียง-ไฟตัดหมอก-ขนาดไฟหน้าที่สว่างกว่าเดิม การเลือกใช้แบตธรรมดาที่เติมน้ำกลั่นจะดีกว่าเพราะการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมากในรถทำให้เกิดการประจุและการนำกระแสไปใช้งานนั้นจะมากและรุนแรงถ้าใช้แบตแบบแห้งจะทำให้อายุงานของแบตแห้งนั้นสั้นลงอย่างมาก

๓.การเลือกใช้แบตแห้งนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควรเนื่องจากแต่ละยี่ห้อนั้นออกแบบแตกต่างกันไปในเรื่องซีลหรือระบบทางเดินเดียวของรูหายใจตลอดจนกระแสที่ใช้ในการชาจน์หรือประจุเข้าที่เหมาะสมกับแบตชนิดนี้คือการประจุแบบช้าจึงค่อนข้างมีปัญหาต่อการประจุเร็วและรุนแรงของรถที่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมากๆ

๔.ค่าความจุของแบตเตอรี่ ค่าที่เขียนติดมากับแบตเตอรี่จะเห็นเป็นตัวเลขและตัวอักษรเช่น 12V 60Ah หมายถึงแบตเตอรี่มีค่าแรงดัน 12โวลท์และมีค่าการปล่อยกระแสคงที่ 60แอมแปร์-ชั่งโมง แต่โดยทั่วไปจะคิดกันที่ 20 ชั่วโมงหรือกระแสที่จ่ายคงที่ของแบตตัวนี้คือ 3 แอมแปร์ในเวลา 20 ชั่วโมง ส่วนมากแบตที่ติดรถมาจะมีค่าความจุที่ต่ำสุดที่เพียงพอต่อการใช้งานเท่านั้น ถ้ามีการเปลี่ยนแบตตัวใหม่ควรเพิ่มค่าให้มากกว่าเดิม 5-10Ah เช่นตัวเดิม 12V 60Ah ถ้าเปลี่ยนตัวใหม่ควรจะเป็น 12V 65Ah หรือ 12V 70Ah เป็นต้นเนื่องจากว่าเมื่ออายุงานรถมากขึ้นอุปกรณ์ต่างๆเช่นสายไฟจะมีความเป็นตัวนำลดลงทำให้กระแสสูญเสียไปกับความร้อนที่เกิดขึ้นการเผื่อค่าการจ่ายกระแสมากขึ้นเพื่อป้องกันความเสียหายหรือเหตุการณ์ที่อาจเกิดจากกระแสไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

๕.ถ้าเป็นแบตที่ต้องเติมน้ำกลั่น ครั้งแรกที่ซื้อแบตใหม่ทางร้านจะเติมกรดและทำการประจุหรือชาจน์ไฟให้แม้จะเป็นเรื่องที่ดีแต่การกระทำดังกล่าวบ่งครั้งก็ทำให้แบตเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติบางครั้งแค่ปีเดียวก็เสื่อมสภาพแล้วเนื่องจากการเติมกรดครั้งแรกควรจะทิ้งไว้ราว ๑–๒ชั่วโมงก่อนที่จะนำไปประจุหรือชาจน์ไฟเพื่อให้แผ่นธาตุทำปฎิกริยากับกรดอย่างเต็มที่ก่อน และการประจุหรือชาจน์ไฟนั้นควรใช้แบบกระแสต่ำชาจน์นานๆแต่ทางร้านส่วนใหญ่มักจะใช้กระแสสูงและชาจน์เร็วเพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่าย ซึ่งถ้าเป็นลักษณะนี้แค่เติมกรดแล้วทิ้งไว้สองชั่วโมงจากนั้นนำมาติดตั้งในรถเพื่อใช้ไฟจากรถเป็นตัวประจุหรือชาจน์ยังจะดีเสียกว่า

๖.ควรเลือกซื้อแบตที่มีตาแมวหรือช่องสำหรับดูค่าความถ่วงจำเพาะหรือสถานะของแบตเตอรี่เพราะราคาก็แพงกว่าชนิดที่ไม่มีช่องดูไม่เท่าไหร่ แต่ช่องตาแมวดังกล่าวสามารถบอกเราได้ว่าสถานะแบตเตอรี่ขณะนั้นเป็นอย่างไรเช่นไฟเต็ม-ไฟอ่อน-ต้องถอดไปประจุหรือไม่มีไฟ ถ้าเป็นแบบที่ไม่มีช่องดูเวลาเกิดปัญหาที่ต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับระบบไฟจำต้องใช้เครื่องมือวัดค่าความถ่วงจำเพาะมาตรวจสอบซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยมีร้านซ่อมซื้อมาใช้แต่อาจจะเหมาลอยๆได้เลยว่าแบตเสียต้องเปลี่ยนแบต แต่ถ้ามีตาแมวให้ดูเราสามารถแย้งได้เลยว่าแบตไฟเต็มจะว่าแบตเสียนั้นไม่ใช่แน่ๆ

อายุงานของแบตเตอรี่

๑.ตอนที่ซื้อแบตเตอรี่ต้องดูให้แน่ใจว่าทางร้านมีการตอกหรือมีการเขียนที่สติ๊กเกอร์หรือพวกอุกรณ์สำเร็จรูปต่างๆที่บ่งบอกถึงวันที่ติดตั้งหรือเติมกรดครั้งแรกเพราะมันจะเป็นตัวชี้ถึงอายุงานของแบตเตอรี่ว่าสมควรต่อการเปลี่ยนหรือยัง ถ้าทางร้านไม่ได้จัดทำให้ก็ควรที่จะทำขึ้นมาเองเพื่อเป็นเครื่องเตือนไม่ว่าจะเป็นการบันทึกหรือหาสีที่ลบไม่ออกมาเขียนที่ตัวแบตเตอรี่

๒.โดยทั่วไปแบตเตอรี่จะมีอายุงานเฉลี่ย ๒-๓ ปีหมายความว่าถ้าเลยระยะ ๒ปีไปแล้วมันก็พร้อมที่จะเสียทุกเมื่อแต่ถ้าสามารถใช้งานได้ถึง ๓ปีหรือมากกว่านั้นก็ถือว่าเป็นกำไรแล้วอย่าเสียดายที่จะเปลี่ยนมันแม้ว่าจะดูแลดีขนาดไหนก็ไม่ควรจะให้เกิน ๔ปีสำหรับรถที่วิ่งทางไกลเป็นประจำ ส่วนรถที่วิ่งระยะสั้นช่วงปีที่ ๒–๓นั้นสมควรแก่เวลาที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่กันแล้วครับ

การดูแลรักษาแบตเตอรี่

ไม่ว่าแบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นแบบแห้งหรือแบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นก็ควรมีการตรวจเช็คซักเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อยหรือตอนที่เปิดเติมน้ำฉีดกระจกหรือทุกครั้งที่เปิดฝากระโปรงก็ควรตรวจเช็คมันด้วยเพราะมันก็ไม่ได้ใช้เวลามากมายอะไรในการตรวจเช็ค แล้วจะเช็คอะไรบ้างซึ่งก็คงคร่าวๆเฉพาะสภาพภายนอกที่มองเห็นหรือสำผัสได้คือ
-บวมหรือเสียรูป อันนี้ควรสังเกตุตั้งแต่แบตยังใหม่ๆอยู่เพื่อจะได้เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงได้ว่าเดิมๆมันเรียบดีแต่พอใช้ไประยะนึงด้านข้างมันบวมขึ้นมาเพราะความร้อนหรือการประจุไฟเกินหรือการระบายแรงดันไม่ดี

-แตกร้าว อันนี้ต้องคอยดูว่ามีร่องรอยการซึมออกมาของกรดหรือของเหลวที่บรรจุภายในหรือเปล่าในจุดที่ไม่ใช่รูระบายอากาศหรือช่องหายใจเช่นตามขอบ-ด้านข้าง-ฝาครอบ ซึ่งหมายถึงความเสียหายของแบตเนื่องจากการประจุแรง-ระบายแรงดันภายในไม่ทันหรือแม้แต่การรัดของตัวยึดที่แน่นเกินไป
-ถ้าเป็นแบตชนิดที่ต้องเติมน้ำกลั่นควรเช็คและเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในช่วงระดับต่ำสุดและสูงสุดเสมอไม่ควรทิ้งไว้จนระดับต่ำกว่าขีดต่ำสุดมากกว่า ๕มิลลิเมตรหรือครึ่งเซนติเมตรแม้ว่าระดับดังกล่าวของเหลวยังคงสูงกว่าแผ่นธาตุแต่ถ้ารถเอียงหรือทางลาดชันจะทำให้ระดับของเหลวไม่ท่วมแผ่นธาตุ แต่มีบางยี่ห้อที่ทำช่วงระยะต่ำสุด-สูงสุดเป็นช่วงสูงมากทำให้ขีดต่ำสุดนั้นแทบจะเท่ากับระดับความสูงของแผ่นธาตุเลย ดังนั้นที่ดีที่สุดก็ไม่ควรให้ระดับของเหลวต่ำกว่าขีดล่างสุด
-ร่องรอยการรั่วหกของของเหลวที่ระบายออกจากแบตเตอรี่(ชนิดเติมน้ำกลั่น) ปฎิกริยาของกรดซัลฟุริคจะทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจนและซันเฟตหรือปฎิกริยาทางเคมีในการประจุและคายประจุทำให้เกิดความร้อน ทำให้เกิดการระเหยของๆเหลวและการระบายแรงดันส่วนเกินทิ้งนอกจากจะเป็นผลให้ของเหลวยุบตัวจนต้องเติมน้ำกลั่นแล้วของเหลวที่หลุดออกมานั้นยังมีส่วนผสมของกรดอยู่ถ้าระบายไม่ถูกที่แต่ไปโดนส่วนที่เป็นตัวถังจะทำให้เกิดการกัดกร่อนควรทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นในปริมาณที่มากพอเพื่อป้องกันการกัดกร่อนที่จะนำไปสู่สนิมในอนาคต ถ้าทำได้ควรติดตั้งท่อระบายจากรูหายใจของแบตเตอรี่ไปในส่วนที่ปลอดภัยไม่โดนตัวถังหรืออุปกรณ์ที่เป็นยางของรถ
-ขยับดูขั้วแบตเตอรี่ว่าแน่นดีหรือไม่ ถ้าขยับได้ควรขันให้แน่น
-ขยับดูตัวแบตเตอรี่ว่าแน่นดีหรือไม่ ถ้าขยับได้ก็ควรขันแต่ไม่ต้องแน่นมาเอาแค่ตึงมือเพราะการขันตัวล็อคให้แน่นมากโดยเฉพาะชนิดที่เป็นเหล็กพาดผ่านตัวแบตนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งของแบตเตอรี่บวมหรือแตกร้าวได้ โดยเฉพาะร้านที่ติดตั้งมักไม่สนใจตรงนี้แต่มักพยามขันอัดจนแน่นจึงควรดูตอนที่ช่างหรือร้านติดตั้งด้วย แต่ถ้าเป็นชนิดล็อคที่ฐานมักไม่ค่อยพอปัญหานี้เท่าไหร่เช็คว่าขั้วของแบตเตอรี่สกปรกหรรือมีขี้เกลือเกาะติดหรือเปล่า กรณีที่ติดตั้งตรั้งแรกควรซื้อแผ่นรองขั้งแบตที่ชุบสารหล่อลื่นไส่ที่ขั้วแบตตั้งแต่แรก แต่ถ้าไม่มีขั้วแบตมักสกปรกก็ควรทำความสะอาดด้วยการใช้น้ำอุ่นถึงร้อนจัดค่อยๆเทราดลงไปที่ขั้งแบตแล้วใช้แปรงสีฟันเก่าขัดจนขั้วสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้งแล้วใช้จาระบีทาบางๆให้ทั่ว กรณีที่ไม่มีจารบีหรือกลัวว่าจะเลอะเทอะโดยเฉพาะสุภาพสตรีก็ให้ใช้วาสลีนทาบางๆให้ทั่วที่ขั้งแบตเตอรี่แทนจารบี(แถมดีกว่าด้วย)

ขับรถอยู่ดีๆรูปแบตเตอรี่ที่หน้าปัดติดขึ้นมาทำไงดี

แม้ว่ารูปแบตเตอรี่บนหน้าปัดนั้นไม่ได้หมายถึงแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงระบบการประจุหรือไดชาจน์ด้วยแถมรถบางรุ่นยังพ่วงเรื่องการทำงานของอุปการณ์ไฟฟ้าทั้งระบบเข้ามาอีก แต่เมื่อได้ก็ตามที่บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้วไฟรูปแบตเตอรี่ไม่ดับหรือกระพริบหรือขับรถอยู่ไฟมันติดหรือกระพริบขึ้นมาโอกาสที่สาเหตุจะเกิดกับตัวแบตเตอรี่นั้นมีมากกว่าตัวอื่น รองลงไปเป็นไดชาจน์ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ควรนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการหรือร้านไดนาโมทั่วๆไปโดยทันทีเพราะรถของท่านอาจจะไมสามารถติดเครื่องได้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก่อนที่ช่างจะวิเคราะห์หรือทำการเปลี่ยนแบตให้ท่านก็ควรแน่ใจว่าแบตตัวนั้นผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างน้อย ๑ปี หรือถ้าอายุของแบตลูกนั้นเกิน ๒ ปีไปแล้วโอกาสความน่าเชื่อถือว่าแบตเตอรี่เสื่อมหรือเสียหรือเก็บไฟไม่อยู่ค่อยน่าเชื่อถือกันหน่อย ยิ่งถ้าเราเป็นคนดูแลแบตเตอรี่ที่ดีหลังจากอายุของแบตเกิน ๒ปีไปแล้วก็ควรคอยสังเกตุไฟรูปแบตเตอรี่บนหน้าปัดอยู่เสมอด้วย
 
สารยืดอายุแบตเตอรี่

มีบ่อยๆที่มีการโฆษนาสารที่เติมเข้าไปในแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่นว่าสามารถยืดอายุงานของแบตเตอรี่ได้อีกจากเดิม๒-๓ปีสามารถยืดออกไปอีกเป็นปีหรือมากกว่านั้น ลองย้อนถามตัวเองนิดนึงก่อนที่จะจ่ายเงินว่า ถ้ามันยืดอายุงานได้ขนาดนั้นจริงแล้วสมมุติคุณเป็นเจ้าของโรงงานแบตเตอรี่แต่เพิ่มต้นทุนอีกเล็กน้อยแล้วเพิ่มราคาแบตเตอรี่ออกใบรับประกันอายุงานแบตเตอรี่ให้ด้วย คิดดูเองว่าแบตยี่ห้อนั้นจะโด่งดังแค่ไหน หรือลองถามคนขายดูซักนิดว่าสารที่ขายนั้นได้รับการรับรองจากสถาบันไหนในบ้านเราหรือเปล่า ถ้ามีการรับรองว่ายืดอายุงานได้จริงโดยสถาบันในบ้านเราที่ตรวจสอบได้ค่อยจ่ายเงินซื้อมาใช้ครับ

การคว่ำแบตเตอรี่

คงจะเคยได้ยินคำว่าคว่ำแบตของช่างที่พูดคุยกัน การคว่ำแบตหมายถึงการนำแบตที่มีอายุงานมาแล้ว๒–๓ปีที่สภาพไม่ดีแล้วหรือไฟรูปแบตที่หน้าปัดโชว์แล้วมาเปิดฝาแล้วเทของเหลวออกทั้งหมด เติมกรดเข้าไปใหม่ จากนั้นก็นำไปชาจน์ไฟให้เต็มแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ ถ้าพูดตามหลักวิชาการแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าพูดในเรื่องการปฎิบัติแล้วบางครั้งมันได้ผลและยืดอายุงานของแบตได้จริงอาจจะใช้งานต่อไปอีกได้ราว ๒ปีทีเดียว แต่มันก็ไม่ได้ผลทั้งหมดซึ่งเป็นผลมาจากตะกั่วซัลเฟตในแผ่นธาตุเกิดการแข็งตัวมากแล้ว วิธีนี้ถ้าจะทำก็เป็นการเสี่ยงราวครึ่งต่อครึ่งโดยทั่วไปก็ไม่อยากแนะนำให้ทำเพราะอาจจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ น่าจะเป็นวิธีที่ช่างใช้มากกว่าเพราะวิธีนี้มักเป็นการใช้ชั่วคราวหรือใช้กับแบตที่ท่านทิ้งไว้หรือร้านรับซื้อในราคาถูกๆนำไปทำวิธีนี้แล้วไปขายราคาถูกๆให้กับพวกแท็กชี่หรือรถโดยสารขนาดเล็กที่วิ่งในที่ชุมชนและมีเพื่อนฝูงผ่านไปมา ส่วนการใช้งานแบบเราๆท่านๆซื้อลูกใหม่ไปเลยสบายใจกว่าครับ

การพ่วงแบตเตอรี่

เมื่อรถสตาร์ทไม่ติดอาการที่บ่งบอกว่าแบตไม่มีไฟแล้วนอกจากรูปแบตที่หน้าปัดที่โชว์ก่อนหน้านั้นแล้วยังมีเสียงของมอร์เตอร์สตาร์ทที่ไม่มีแรงหรือรอบเบาลงจนไม่สามารถฉุดเครื่องให้หมุนได้หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆเบาลงเช่นไฟหน้าสว่างน้อยลง-แตรเสียงเบาลงหรือไม่ดังเลยและต้องมั่นใจว่าแบตนั้นหมดไฟหรือมีไฟน้อยจริงๆโดยดูจากตาแมวหรือตัวแสดงสถานะของแบตว่าบ่งบอกถึงสีที่จำเป็นต้องชาจน์หรือไม่มีไฟ ถ้ามาถึงตรงนี้คงหนีไม่พ้นการติดเครื่องให้ได้ก่อนที่จะนำรถไปซ่อมและสิ่งหนึ่งที่ทำได้คือการพ่วงแบตหรือการใช้ไฟจากรถอีกคันนึงมาช่วยในการสตาร์ท การพ่วงแบตเป็นการนำแบตสองตัวมาขนานกันซึ่งแรงดันยังคงเท่าเดิมแต่เป็นการแบ่งการไหลของกระแสไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆต่อรถทั้งสองคันอันนี้ขอให้เข้าใจตรงนี้นิดนึงเพราะบางท่านไม่ค่อยเต็มใจให้พ่วงแบตเนื่องจากเกรงว่ารถตัวเองจะเกิดความเสียหาย สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่ ราคาของสายพ่วงเส้นนึงก็ไม่กี่บาทหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านหรือห้างสรรพสินค้า การเก็บในรถก็ใช่ว่าจะยุ่งยาก จะซื้อติดรถไว้ซักเส้นเผื่อฉุกเฉินจะได้โบกรถคันอื่นขอพ่วงแบตเตอรี่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ส่วนการพ่วงแบตเตอรี่นั้น(ดูภาพ6 ประกอบ)มีขั้นตอนง่ายๆหลังจากที่ขอความช่วยเหลือได้แล้วนำรถมาจอดใกล้ๆกันในจุดที่สายพ่วงต่อถึงโดยรถคันที่จะนำไฟมาจ่ายยังคงติดเครื่องยนต์อยู่จากนั้นก็ทำดังนี้คือ

๑.เปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นของแบต(ที่ไม่มีไฟ)ทุกตัวแต่ถ้ามั่นใจว่ารูหายใจไม่อุดตันก็ไม่จำเป็นต้องเปิดฝาก็ได้

๒.ต่อขั้วบวกจากแบตรถคันที่มีไฟมาเข้าขั้วบวกของรถคันที่ไม่มีไฟ

๓.ต่อขั้วลบจากแบตรถคันที่มีไฟมาเข้าขั้วบวกของรถคันที่ไม่มีไฟ แต่ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้โครงรถในจุดที่สายขั้วลบต่ออยู่กับโครงรถแทนหรือใช้ระหว่างโครงรถกับโครงรถแทนการต่อขั้งลบ

๔.เร่งเครื่องรถคันที่มีไฟให้รอบเครื่องนิ่งๆอยู่ที่ ๑๕๐๐–๒๐๐๐รอบค่าใดค่าหนึ่ง เมื่อรอบเครื่องยนต์คันที่มาช่วยเหลือนิ่งดีแล้งจึง..

๕.บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่ไม่มีไฟถ้าเครื่องยนต์ติดแล้วก็ถอดสายแบบย้อนกลับคือตอนใส่เราทำแบบเรียงลำดับ a-b-c-d แต่ตอนถอดสายก็ทำย้อนกลับเป็น d-c-b-a

ที่มา https://www.asnbroker.co.th

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตร.จ่อดัดหลัง อ้างไม่พกใบขับขี่ ปรับสูงสุด 1 หมื่น #ข่าวรถ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

ตร.จ่อดัดหลัง อ้างไม่พกใบขับขี่ ปรับสูงสุด 1 หมื่น #ข่าวรถ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
ตร.จ่อดัดหลัง อ้างไม่พกใบขับขี่ ปรับสูงสุด 1 หมื่น #ข่าวรถ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

  พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รองผบช.น)เปิดเผยภายหลังประชุมปรับปรุงแก้ไขกฎหมายพ.ร.บ.จราจรทางบกว่าภายหลังจากที่ได้มีการหารือเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายพ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 ในระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ไปแล้ว ทาง บช.น.จึงได้หารือเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่จะเสนอแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อสรุปอีกครั้ง ซึ่งในที่ประชุมได้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย ในส่วนที่พบว่ายังมีปัญหาเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      
       โดยในที่ประชุมเห็นว่าควรจะปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายใบขับขี่ ที่ปัจจุบันได้กำหนดให้อยู่ในพ.ร.บ.รถยนต์ 2522 โดยควรย้ายจากพรบ.รถยนต์ มาเป็นพ.ร.บ.จราจรทางบก และเพิ่มโทษในข้อหาไม่มีใบอนุญาตขับขี่ จากเดิมที่มีโทษจำคุก 1 เดือนปรับไม่เกิน 10,000 บาท เป็นจำคุก 3 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท และในกรณีที่มีใบขับขี่จะต้องพกติดตัว และสามารถแสดงให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ทันทีหากไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวได้ทันที และเพิ่มบทลงโทษและอัตราค่าปรับเป็นปรับตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท จากเดิมปรับ 1,000 บาท เท่านั้น
      
       รวมทั้งยังเสนอให้แก้กฎหมายให้ตำรวจราจรสามารถตรวจยึดรถที่กระทำความผิดได้ เพราะปัจจุบันตามอำนาจ พรบ.จราจรทางบก เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจยึดรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องอาศัยอำนาจตามกฎหมายป.วิอาญา ซึ่งใช้ได้ชั่วคราวเท่านั้น ส่งผลให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่สะดวกเท่าที่ควร
      
       พล.ต.ต.อดุลย์กล่าวต่อว่านอกจากนี้ยังมีการเสนอให้เพิ่มโทษในกรณีการขับรถประมาทหวาดเสียวซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุแก่ผู้อื่นและการขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจรส่งผลให้การจราจรติดขัดอาทิ ขับรถย้อนศรแซงรถในที่คับขันโดยการเพิ่มโทษให้เป็นความผิดลหุโทษและแก้ไขอัตราค่าปรับเป็น 1,000-5,000 บาทจากเดิมที่มีอัตราค่าปรับ 400-1,000 บาท สำหรับการเปรียบเทียบปรับ เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลยพินิจเปรียบเทียบปรับได้ตามความเหมาะสม แต่จะต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
      
       ทั้งนี้ตนได้มอบหมายให้บก.จร.สรุปเนื้อหาที่จะดำเนินการแก้ไขเพื่อเสนอสตช.พิจารณาต่อไปทั้งนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิมากยิ่งขึ้นอีกทั้งอัตราค่าปรับในข้อหากระทำความผิดกฎหมายจราจรนั้นมีการบังคับใช้มานานยังไม่มีการปรับปรุงดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน 

https://www.asnbroker.co.th 

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ควรมีติดรถยามฉุกเฉิน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ควรมีติดรถยามฉุกเฉิน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ควรมีติดรถยามฉุกเฉิน #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ควรมีติดรถ   จากที่เราได้กล่าวมาในเรื่องของการตรวจเช็คและบำรุงรักษารถ   สิ่งที่เราจะขาดไม่ได้เลยคือ   เครื่องมือหรืออุปกรณ์ สำหรับซ่อมรถ   ที่อย่างน้อยเราควรมีติดรถไปบ้างเผื่อว่าบ้างกรณีที่จำเป็น   จะได้สามารถหยิบจับมาใช้ได้อย่างเช่น   ยางแบน   นอตหลวม   เราสามารถหยิบเครื่องมือพวกนี้มาใช้ได้หรือไม่   ก็เพื่อเป็นการเตรียมตัวรับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่ประมาท

            1.ประแจปากตาย   เครื่องมือสำหรับรถโดยเฉพาะ   ส่วนใหญ่จะมีกันเป็นชุดหลาย ๆ เบอร์  เพราะนอตแต่ละตัวจะมีขนาดไม่เท่ากัน  ชุดหนึ่งก็จะมีประมาณ  6  ตัว  ใช้เป็นนิ้วหรือมิลลิเมตรก็ได้  ขึ้นอยู่กับประเทศที่ผลิตรถออกมา   ถ้าเป็นรถจากสหรัฐหรืออังกฤษก็ใช้เป็นนิ้ว   รถของยุโรปและญี่ปุ่นจะใช้เป็นมิลลิเมตร



            2.แม่แรง    สิ่งนี้จำเป็นมากในกรณียางรั่ว   ยางแบน  ที่ต้องมีการถอดล้อเกิดขึ้น   ในชุดของแม่แรงจะมีกากบาทที่เป็นตัวขันนอตล้อด้วย   ควรจะหาซื้อมาไว้ติดรถถ้าบริษัทผู้ผลิตไม่ได้มีติดมาให้


             3.ไขควง    ชื่อก็บอกว่า  เหมาะสำหรับการไข  ควรมีไว้ทั้งไขควงปากแบน  และปากแฉก  น่าจะมีไว้หลาย ๆ  ขนาอทั้งเล็กและใหญ่



            4.คีมตัด  เป็นเครื่องมือสำหรับตัดสายไฟ   เส้นลวดต่าง ๆ ควรมีไว้หลาย ๆ แบบ



            5.สายแบตเตอรี่  มีไว้ในกรณีที่รถสตาร์ทไม่ติดแบตเตอรี่หมดแล้ว  ต้องการชาร์จไฟ   สิ่งนี้ควรมีติดรถตลอดเวลา



           6.น้ำกลั่นแบตเตอรี่   สิ่งนี้อาจมีไว้หรือไม่มีก็ได้เพราะเราจะต้องเช็คและเติมน้ำกลั่นตลอดอยู่แล้ว



          7.ไขควงลองไฟ   มีไว้สำหรับเทสต์ว่าตรงบริเวณนั้นมีกำลังไฟฟ้าหรือปล่าว



         8.น้ำมันเครื่อง   อันนี้ก็คงเช่นเดียวกันกับน้ำกลั่น  มีไว้ก็คงไม่เสียหลายแต่แต่ควรจะปิดขวดน้ำมันให้แน่นหนาเพื่อกันการหกเลอะเทอะใส่รถ



         9.น้ำมันเบรก   มีไว้ในกรณีฉุกเฉินที่น้ำมันเบรกเกิดแห้งหรือลดระดับลงไปมาก  แต่ถ้าจะให้ดี  ควรเช็คและเติมมมาจากบ้านให้เรียบร้อย  และควรปิดขวดน้ำมันให้แน่นเพราะน้ำมันเบรกจะทำปฏิกิริยากับสีรถท่านได้ถ้าเกิดการหกขึ้นมา



       10.ถุงมือ   ใส่ไว้เพื่อแก้ไขรถถยนต์ป้องกันมือสกปรก   หรือปกกันการเกิดบาดแผลจากการซ่อมรถ
 

และอีก10ส่งที่ควรมีไว้ในรถ
 1.ผ้าห่ม  ไม่ไช่เอาไว้ห่มนอนในรถแต่เอาไว้รองพื้นเวลาที่จะเข้าไปซ่อมแซมภายใต้ท้องรถ (การนอนในรถอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ หากไม่เปิดกระจกให้อากาศเข้ามาภายใน)


 2.น้ำ    อันนี้ก็คงแล้วแต่ดุลยพินิจว่าควรมีติดรถไว้หรือไม่  ประโยชน์ของมันก็คงเอาไว้เติมน้ำมันในเวลาน้ำมันแห้ง


 3.ไฟฉาย  มีติดรถไว้ใช้ในกรณีซ่อมรถในเวลากลางคืน


 4.ร่ม    ติดรถไว้เพื่อในกรณีฝนตกหรือแดดแรงมาก  ๆ

 5.เชือกสำหรับลากรถ  มีไว้เพื่อรถเกิดการติดขัดข้อง  ไม่สามารถเดินทางต่อได้  จะได้ใช้เชือกเพื่อการลากรถหรือช่วยลากรถคันอื่น


 6.ผ้าขี้ริ้ว  ให้สำหรับเช็คสิ่งสกปรกหหรือคราบน้ำมันต่าง ๆ ที่เปรอะเปื้อน


 7.สมุดบันทึก  ใช้จดรายละเอียดหมายเลขเครื่องยนต์   ขนาดของยาง  เบอร์สายพาน   ชนิดน้ำมันที่ใช้  คาลมยางต่าง ๆ   เพื่อกันลืม  ในการซื้อเปลี่ยนใหม่  หรือเมื่อต้องตามช่าง  ก็สามารถบอกช่าง  ให้นำอะไหล่   มาได้ถูกขนาด


 8.อะไหล่ต่าง ๆ  เช่นหัวเทียน  ฟิวส์  ยางอะไหล่   สายพานพัดลม  ผ้าเทป  หลอดไฟ  หรือชุดปะยาง ฯลฯ


 9.ชุดปฐมพยาบาล  เอาไว้สำรองในกรณีฉุกเฉิน   เมื่อได้รับบาดเจ็บจากการซ่อมรถ  หรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บจากกรณีอื่น ๆ


เครื่องมืออุปกรณ์ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ควรจะมีติดรถเอาไว้ใช้เผื่อในยามฉุกเฉิน  จะมีครบบ้างไม่ครบบ้างก็ได้แต่ในภายหลังก็พยายามหามาเติมให้ครบเครื่องมือทั้งหมดควรเก็บให้เป็นระเบียบ  ในกล่องหรือในถุงบรรจุเครื่องมือเพื่อการหยิบใช้ได้สะดวก

ที่มา https://www.asnbroker.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อู่ที่ไหนดี ช่างคนไหนเก่ง ดูอย่างไร #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

อู่ที่ไหนดี ช่างคนไหนเก่ง ดูอย่างไร #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

อู่ที่ไหนดี ช่างคนไหนเก่ง ดูอย่างไร #เรื่องรถน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

อันนี้คงไม่สามารถเฉพาะเจาะจงลงไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางที่จะบอกเลย ในการสอบสวนทางคดีอาญายังสามารถใช้สภาพแวดล้อมมาชี้บ่งความผิดได้ ASN Broker ก็ขอใช้ลักษณะเดียวกันมาเป็นตัววัดซึ่งก็เป็นเพียงข้อสังเกตุจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตเท่านั้นมาเป็นตัวบ่งชี้ความรู้ความสามารถและความน่าจะเป็นของอู่และช่าง ซึ่งสามารถแยกตามลักษณะต่างๆได้ดังนี้

1.ความสะอาด สัมผัสแรกที่ท่านย่างกรายเข้าไปในอู่สิ่งที่สังเกตุได้ง่ายที่สุดคือความสะอาดของอู่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทั่วไป บริเวณที่จอดซ่อม เครื่องไม้เครื่องมือจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดีไหม สะอาดดีไหมหรือมีแต่ขยะและน้ำมันหกเลอะเต็มไปหมด อันนี้มันบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของอู่หรือช่าง ว่ามีความพิถีพิถันแค่ไหนขนาดสถานที่ยังเลอะไปหมดก็อย่าหวังว่าเขาจะรักษาความสะอาดให้รถหรือเครื่องยนต์ของท่าน ยิ่งประเภทเด็กอู่ยั้วเยี้ยแต่สุดสกปรกอันนี้หนีให้ห่างเพราะอาจจะเจอว่าวันไปรับรถสตาร์ทไม่ยอมติดรื้อดูปรากฏว่ามีถุงพลาสติกติดอยู่ที่ท่อดูดอากาศ

2.การแต่งกาย อันนี้ถ้าไปตอนเช้าก็สังเกตุที่เด็กอู่ว่าแต่งตัวยังไงสะอาดรัดกุมแค่ไหน บางครั้งอาจจะเจอว่าตอนมาทำงานใส่มาอย่างโก้หรูแล้วมาเปลี่ยนที่อู่เป็นชุดทำงานที่ไม่เคยซักเลยซึ่งก็เหมือนกันกับกรณีแรกคือขาดความเอาใจใส่ในเรื่องความสะอาด ไม่ต้องให้เนี้ยบหรอกเอาแค่ไม่สกปรกถึงขั้นกลิ่นออกถึงแม้ชุดจะเก่าแล้วก็ตาม แต่ถ้าไปสายๆหรือบ่ายๆความเลอะเทอะของชุดก็เป็นเรื่องธรรมดา

3.คนรับรถ ก็ให้ดูว่าใครเป็นคนมาสอบถามอาการหรือรับรถจากท่าน ถ้าเป็นเด็กอู่(จริงๆแล้วอาจจะเก่ง)เพียงอย่างเดียวไม่เจอหน้าเจ้าของอู่เลย อันนี้มันบ่งบอกถึงความรับผิดชอบส่วนบุคคล ในเบื้องต้นก็ยังขาดเลยแล้วประสาอะไรถ้าเกิดข้อผิดพลาดภายหลังถ้าเจออย่างนี้ก็ทำใจไว้ด้วย แต่ถ้าเจอเจ้าของอู่มารับรถเองก็ดูว่าท่านยังมีสามัญสำนึกในความเป็นช่างเหลืออยู่แค่ไหนหรือเป็นผู้บริหารเต็มตัวแล้วประเภทแต่งตัวเนี้ยบ ผมเรียบแปร้ ถือผ้าเช็ดมือไปด้วยจับทีก็เช็ดทีหรือกลัวเลอะกลัวเหม็นแค่ยืนฟังเสียงห่างๆ ถ้าเจออย่างนี้ก็น่าจะปล่อยให้ท่านบริหารของท่านต่อไปเถอะอย่าไปยุ่งกับท่านเลยเพราะจะเจอกับท่านก็ตอนท่านมารับรถกับตอนท่านมาเก็บตังค์เท่านั้นแหละ


4.พฤติกรรมขณะรับรถ จริงอยู่สาเหตุของอาการเสียแต่ละอย่างมีมากมายแต่เมื่อมีโจทน์ให้เห็นอยู่ตรงหน้าได้สัมผัส ได้ยิน ได้ฟัง ได้ลองหรือขับ การวิเคราะห์ที่ดีจะแคบลงเหลือแค่ไม่เกิน 3 ประเด็น ช่างที่เก่งมักวิเคราะห์เงียบๆราว 15-30 นาทีจึงจะพูดออกมา ถ้าเจอประเภทพูดน้ำไหลไฟดับ(ก็โม้นั่นแหละ)แต่ขอรถไว้รื้อดูก็หลีกให้ห่างเพราะท่านคือเหยื่ออันโอชะ หรือถ้าเจอประเภทจอดปุ๊บขนเครื่องมือมาถอดปั๊บ(กันหนี)อันนี้รีบสั่งหยุดแล้วขับออกจากอู่ไปโดยไว หรือประเภทอันนี้ก็เสียอันโน้นก็เสื่อมอันนั้นก็ต้องเปลี่ยนพวกนี้ก็น่าจะหลุดมาจากศูนย์บริการเปลี่ยนบานปั่นเงินไม่ทันแน่ หรือประเภทที่มักอ้างว่ารุ่นนี้อะไหล่ไม่มีหรือไม่มีเครื่องมือ(ความจริงก็น่าจะบอกว่าซ่อมไม่ได้หรือซ่อมไม่เป็นจะถูกต้องกว่า)ขอยืนยันตรงนี้ครับว่ารถทุกคันที่มีวิ่งในเมืองไทยสามารถหาอะไหล่ทดแทนหรือดัดแปลงใส่ได้ทั้งหมด แต่ที่เขาอ้างว่าไม่มีอะไหล่เพราะมันไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลาไปหาอะไหล่ต่างหากเพราะบางครั้งใช้เวลา 2-3วันทีเดียวหรือเครดิตเขาอาจจะไม่ดีเลยไม่มีร้านขายอะไหล่ร้านไหนยอมให้เขาเข้าไปเทียบหาอะไหล่เอาเอง แต่ถ้าเจอช่างกลุ่มศิลปินจะไม่มีคำว่าไม่มีอะไหล่หรือไม่มีเครื่องมือเขาจะหามาทำให้คุณจนได้

5.ราคาเบื้องต้น เมื่อวิเคราะห์เสล็จช่างที่ดีจะต้องสามารถประเมินราคาขั้นต้นให้ลูกค้าได้คร่าวๆว่าไม่เกินเท่าใด(ถ้าเกินเขาต้องร่วมรับผิดชอบ) ถ้าเจอประเภทไว้คุยกันทีหลังหรือไม่กี่ตังค์หรอกก็รีบขอตัวซะโดยไว และถ้าเขาไม่สามารถประเมินราคาได้ช่างที่ดีมักจะบอกว่า ผมจะคิดค่าแรงเท่านั้นเท่านี้ส่วนเรื่องอะไหล่ผมไม่ทราบแต่จะถอดมาให้คุณไปหาซื้อมาเอง ซึ่งลูกค้าจะสามารถตัดสินใจได้ทันทีว่าจะซ่อมหรือไม่
6.จอดรถรอซ่อม บางทีจะเจอว่าช่องที่จอดซ่อมเต็มแล้วก็ยังจะรับรถไว้โดยมักอ้างว่าเดี๊ยวคันนั้นก็เสร็จแล้วถ้าเรารออยู่ด้วยก็ดีไปแต่ถ้าทิ้งรถไว้กลับมาอีกทีอาจเจอรถยังจอดตากแดดอยู่ที่เดิม เพราะพวกนี้จะเป็นธุรกิจเต็มตัวแล้วรับรถไว้ก่อนถอดรื้อบางชิ้น(กันเปลี่ยนใจ)แต่ถ้ามีคันใหม่เข้ามาก็รับเพิ่มอีกทั้งๆที่ไม่มีที่จอดแล้ว ถ้าเจออย่างนี้ก็อย่าทิ้งรถโดยเด็ดขาดและเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็แกล้งบอกว่าจะมาใหม่วันหลังจะดีกว่า

7.การใช้เครื่องมือ อันนี้เก็บไว้เป็นข้อมูลครั้งหน้าว่าจะกลับมาซ่อมอีกหรือเปล่า ช่างที่ดีจะใช้เครื่องมีที่เหมาะสมกับงานอย่างถูกประเภท เช่นการใช้ประแจจะใช้ปากตายขันคลายและขันอัด จะใช้ประแจแหวนตอนที่ขันหลวมแล้วเท่านั้น จะไม่ใช้ประแจเลื่อนหรือคีมล็อคโดยไม่จำเป็นอย่างเด็ดขาด ช่างที่เก่งและชำนาญจะมีความแม่นยำในการใช้เครื่องมือมองปุ๊บจะบอกได้ทันทีว่าเป็นนิ้วหรือเป็นมิล ใช้เบอร์อะไร หยิบผิดไม่เกิน 1 ครั้งและจะเลือกเครื่องมือที่จำเป็นเท่านั้นมาใช้โดยไม่ยกมาทั้งหมด ถ้าเจออย่างนี้ก็น่าคบมากแสดงว่าชำนาญดีทีเดียว

8.อายุของช่าง ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆที่อายุเป็นตัวบ่งบอกอะไรได้เยอะพอสมควร

      1.ช่างที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี กลุ่มนี้จะยังขาดความชำนาญและประสบการณ์แต่มีข้อดีคือ มีความกระตือลือล้นเป็นพิเศษ ขยันขันแข็ง อดทนและใฝ่รู้ตลอดเวลา เหมาะที่จะซ่อมรถตลาดทั่วไปที่อะไหล่ราคาไม่แพงและอายุรถที่กลางเก่ากลางใหม่ตั้งแต่ 4 ปีถึง 10 ปี
      2.ช่างที่มีอายุระหว่าง 25-30 ปี กลุ่มนี้จะถือว่าอยู่ในระดับดีเพราะประสบการณ์มีพอควร ความชำนาญก็เริ่มมีมากขึ้น ความกระตือลือล้นและลูกขยันก็ยังมีอยู่ แต่การหาความรู้ใหม่ๆใส่ตัวจะเริ่มลดลง สามารถซ่อมรถได้หลากหลายมากขึ้นทั้งรถตลาดนิยมและไม่นิยม อายุรถที่ซ่อมได้อยู่ระหว่าง 2 ปีถึง 12 ปี
      3.ช่างที่มีอายุระหว่าง 30-35 ปี กลุ่มนี้คือกลุ่มที่แกร่งที่สุด ประสบการณ์ดีและความชำนาญสูง ความรู้แน่น แต่ลูกขยันจะลดลงพอควร การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาหรือดัดแปรงทำได้ดีมาก สามารถซ่อมรถได้ทุกประเภท ทุกอายุงานตั้งแต่รถใหม่ป้ายแดงยันเก่าเก๋ากึ๊กเลยทีเดียว
      4.ช่างที่มีอายุระหว่าง 35-40 ปี เป็นช่วงที่จัดว่ามีประสบการณ์และความชำนาญสูงที่สุด แต่จะเริ่มอยู่ตัวและไม่หาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติม ความขยันก็ไม่ค่อยมี งานหนักๆมักไม่เอาแล้ว เริ่มใช้ปากทำงานมากกว่าใช้แรง เหมาะที่จะซ่อมรถกลางเก่าถึงเก่าจัดอายุรถตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
      5.ช่างที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็ผันตัวเองไปเป็นผู้บริหารกันหมดแล้ว อาศัยชื่อเสียงเก่าๆหากิน ประเภทอยู่ตัวแล้วจึงไม่หาความรู้เพิ่มเติมเลย พบตัวยากและไม่ขยัน ยิ่งนานวันเข้าความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ที่สร้างสมก็ยิ่งถดถอย จึงเหมาะที่จะซ่อมรถเฉพาะรุ่นหรือเฉพาะยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งเท่านั้น ตามที่เขาถนัดหรือเคยทำบ่อยๆซึ่งจะเป็นรถเก่าๆที่อายุงานเกิน 7 ปีไปแล้วพวกรถใหม่ๆไม่ต้องไปพูดถึงเลยใช้ลูกน้องอย่างเดียว




9.ระหว่างการซ่อมรถ เป็นเรื่องปกติของเจ้าของรถที่นำรถไปซ่อมที่จะต้องมีการพูดคุยสอบถามเรื่องราวต่างๆกับช่างที่ซ่อมรถของเขา มีทั้งลองภูมิและอยากรู้จริงๆ ช่างที่ดีมีสามัญสำนึกจึงมีหน้าที่ตอบคำถามตามที่รู้(ไม่รู้ก็บอกไม่รู้)เพราะไม่รู้จะหวงไปทำไม ที่ตอบเขาไปก็ใช่ว่าวันรุ่งขึ้นเขาจะมาเปิดอู่แข่งกับเราซะเมื่อไหร่ ช่างบางคนก็ถึงกับออกอาการหงุดหงิดไม่พอใจเมื่อเจอคำถามก็มี(อันนี้เพราะกลัวว่าลูกค้าจะหาว่าตัวเองโง่หรือไงไม่ทราบ) สิ่งหล่านี้ก็คงสามารถเก็บไว้เป็นข้อมูลว่าครั้งต่อไปควรนำรถมาซ่อมกับช่างคนนี้อีกหรือเปล่า เพราะมันบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยและสามัญสำนึกของตัวช่างเองว่าใจแคบหรือเปล่า รู้จริงแค่ไหนหรือชอบมุ๊บมิ๊บปิดบังแฝงเร้นหมกเม็ดอะไรหรือเปล่า ยิ่งถ้าเจ้าของอู่ใจแคบหวงวิชาก็อย่าหวังว่าเด็กอู่จะเก่ง

10.การซ่อมใหญ่ เช่นกานยกเครื่องหรือซ่อมหลายๆจุดอาการสาหัสทั้งนั้น ช่างที่ดีจะต้องมีการตกลงกันกับลูกค้าก่อนซ่อมว่าจะใช้วิธีใด เช่น เหมาจ่ายค่าแรงทั้งหมดส่วนอะไหล่ให้ลูกค้าหาเอง ช่างนิสัยไม่ดีจะมาในรูปการรวมค่าแรงและอะไหล่แต่ไม่ยอมประเมินราคามักพูดว่า แล้วค่อยว่ากันไม่แพงหรอกไม่มีปัญหาหรอก พอซ่อมไปวันสองวันก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าอะไหล่แพงขึ้น ค่าขนส่งแพงขึ้น แล้วก็จะบวกขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ฟันกันเลือดสาด จำไว้ให้มั่นถึงจะเก่งอย่างไรก็อย่าไปซ่อมด้วยถ้าเจอลักษณะทำนองนี้

11.การส่งมอบคืนรถ อันนี้ก็ใช้เป็นข้อมูลว่าครั้งต่อไปจะมาอีกหรือเปล่า รถที่จะส่งมอบคืนลูกค้าต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อยอย่างน้อยก็เหมือนตอนเข้ามา ถ้าจะสร้างความประทับใจให้ลูกค้าก็ต้องดีกว่าตอนที่มาเข้าอู่เช่น การล้างรถให้เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวบ่งบอกความรับผิดชอบของอู่คือ เมื่อเจอคำถามว่า “จะประกันหลังซ่อมให้นานแค่ไหน” ถ้าเขามีความรับผิดชอบ มั่นใจในฝีมือไม่หมกเม็ด ช่างจะต้องกล้ารับประกันอย่างน้อยก็ 15 วัน แต่ถ้าเจอคำตอบประเภท “เออ!น่าถ้ามีปัญหาอะไรก็เข้ามาละกัน” แสดงออกถึงความบ่ายเบี่ยงซึ่งอาจมีการหมกเม็ดเกิดขึ้น ไม่เกิดปัญหาก็ดีไปแต่ถ้าเกิดพวกนี้จะโทษว่า เจ้าของรถใช้งานผิดประเภทหรือไม่ถูกวิธีเองไม่เกี่ยวกับที่ซ่อม อันนี้ก็จำไว้เลยบอกต่อพักพวกด้วยว่าอู่นี้เป็นเช่นไร

12.เข้าอู่เล็กหรืออู่ใหญ่ดี? อันนี้ถ้าเรื่องฝีมือช่างก็คงไม่แตกต่างกันหรอกแต่อู่ใหญ่ๆจะได้เปรียบในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือที่มีเยอะกว่า กำลังพลก็มากกว่า ซ่อมได้รวดเร็วกว่า แต่อู่เล็กก็มีข้อดีตรงที่ส่วนใหญ่เจ้าของอู่จะลงมือเองและความขยันของเด็กอู่ก็จะมีมากกว่าอู่ใหญ่ๆเพราะทำงานอยู่กับเจ้าของอู่ไปหลบอู้ที่ไหนไม่ได้ ที่สำคัญคือราคาจะย่อาเยาว์กว่าเพราะไม่ได้เลี้ยงลูกน้องเป็นโขยงเหมือนอู่ใหญ่ๆ

13.เข้าอู่เปิดใหม่หรืออู่ที่เปิดมานานแล้วดี? ข้อดีของอู่ที่เปิดใหม่ๆคือต้องการเรียกลูกค้า ราคาจะค่อนข้างถูก ความกระตือลื้อล้นของช่างมีสูงมาก ขยันขันแข็งเพื่อให้ส่งมอบรถเร็วๆ การซ่อมจะทำอย่างสุดฝีมือ ข้อด้อยก็คือยังขาดความชำนาญงานที่ออกมาจึงไม่ค่อยเรียบร้อยนักจึงไม่เหมาะกับรถราคาแพง ส่วนอู่ที่เปิดมานานแล้วมีข้อดีคือ ความพร้อมและความชำนาญของช่างดีกว่า ข้อด้อยก็คือราคาแพง และส่วนใหญ่อาศัยชื่อเสียงหากินเด็กอู่มักขี้เกียจและชอบหมกเม็ด

ที่มา https://www.asnbroker.co.th


วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

คุณต้องทราบอะไร ก่อนต่อประกันภัยรถ #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์


คุณต้องทราบอะไร  ก่อนต่อประกันภัยรถ #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์
คุณต้องทราบอะไร ก่อนต่อประกันภัยรถ #เรื่องน่ารู้ #ประกันภัยรถยนต์ #ต่อประกันรถยนต์

บางครั้งปัญหาจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย  อาจทำให้คุณต้องเสียเงินค่าซ่อมแซมจำนวนมาก   แต่หากรถคุณมีประกันก็เหมือนคุณมีบัตรประกันสังคมรถหรือประกันชีวิต  คุณย่อมสามารถไปพบแพทย์ได้ทุกเมื่อที่เจ็บป่วย  หรือมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพโดยไม่ต้องเสียค่าบริการใด ๆ อีกเช่นกันกับการประกันภัยรถคุณสามารถขับรถได้อย่างมั่นใจ   และสบายใจว่าเมื่อใดหากคุณโชคร้ายเกิดอุบัติเหตุโดยที่เป็นฝ่ายผิด   หรือมีบุคคลได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ  คุณมีผู้รับผิดชอบแทนเรียบร้อยแล้ว      อย่างไรก็ตาม  ก่อนซื้อประกันรถคุณควรตรวจสอบ บริษัทประกันภัยที่จะซื้อก่อนดีกว่า ASN Broker จะมาแนะนำทริคให้เพื่อนๆกันครับ
 ใครเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองจากประกันภัย
        1.ตัวคุณ
        2.คู่กรณีที่เป็นฝ่ายถูก
        3.รถของคุณที่เสียหายจากอุบัติเหตุ
        4.รถของคู่กรณีซึ่งเป็นฝ่ายถูกและได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ
        5.บุคคลที่สามซึ่งได้รับผลจากอุบัติเหตุครั้งนั้น  (ตามประเภทของประกัน)
บริษัทประกันภัย
        ทุกวันนี้มีบริษัทประกันภัยรถยนต์ให้คุณเลือกรับบริการมากมายดังนั้นคุณควรศึกษาบริษัทที่คุณสนใจก่อนตัดสินใจด้วยว่า   บริษัทนั้นมีประวัติการให้บริการลูกค้าดีไหม?  ใช้เวลาไปถึงที่เกิดเหตุนานเกินไปหรือเปล่า? รับผิดชอบตอารประกันภัยหรือมีการหลบเลี่ยงมากน้อยแค่น้อยแค่ไหน? วางใจได้หรือไม่? พนักงานให้บริการด้วยความสุภาพหรือไม่? โดยข้อมูลเหล่านี้คุณสามารถหาไดด้จากเพื่อนฝูงที่ใช้บริการหรือจากข่าวสารทั่วไป  ซึ่งบริษัทประกันภัยที่ดีจะให้บริการปรึกษาปัญหาด้านกฎหมาย   ในกรณีที่คุณมีปัญหาจาก   อุบัติเหตุด้วย  ดังนั้นการเลือกบริษัทประกันภัยที่ดีมีความสำคัญมากเช่นกัน
        ค่าบริการที่แพงอย่างดุเดือดควรสัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถ   ค่ารักษาพยาบาลที่คุณจะได้รับ  และเงินชดใช้  เมื่อรถสูญหายอย่างคุ้มค่า
        ก่อนตกลงซื้อประกันรถ   ขั้นแรกคุณต้องมั่นใจว่าบริษัทนั้นมีความมั่นคงพอ   โดยถามพนักงานขายประกันเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบริษัท   เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีบริษัทประกันภัยมากมายถูกปิดลง   เนื่องมาจากความผดพลาดทางการเงิน   และการล้มละลาย   ระวังจะเสียเงินฟรี ! 
         ข้อต่อมาที่คุณควรศึกษาคือ   เบี้ยประกัน   เบี้ยประกันที่แตกต่างย่อมมีผลถึงระดับความคุ้มครองที่คุณจะได้รับ   ควรเลือกประกันที่เหมาะสมกับสถานะการเงินและรูปแบบประกันที่เหมาะสมกับสถานะการเงินและรูปแบบที่คุณควรได้รับการคุ้มครอง 
  พื้นฐานการประกันภัยมักแบ่งออกเป็น   4   ประเภทด้วยกัน
แบบ           ทั่วไปที่รถทุกคันต้องประกัน
การคุ้มครอง   คุ้มครองผู้บาดเจ็บจากรถ
แบบ           ประเภท   1
การคุ้มครอง   คุ้มครองรถของผู้ประกัน   รถของคู่กรณี
 แบบ           ประเภท  2
 การคุ้มครอง   คุ้มครองรถของผู้ประกัน 
แบบ           ประเภท  3
การคุ้มครอง   คุ้มครองรถของคู่กรณี
         ให้พนักงานขายประกัน   อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของแบบประกันภัย   และผลคุ้มครองที่คุณจะได้รับ   เบี้ยประกันที่คุณต้องจ่าย  และหากมีรายละเอียดข้อไหนที่คุณไม่เข้าใจ   ควรถามให้กระจ่างก่อนตัดสินใจซื้อด้วย
        เมื่อเร็ว ๆ นี้   บริษัทประกันภัยต่าง ๆ มีการเพิ่มค่าประกันจนลูกค่ารู้สึกเหมือนโดยโกงราคา   ที่เลวร้ายที่สุดคือบริษัทประกันภัยส่วนใหญ่มักหาวิธีเลี่ยงการคุ้มครองด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ที่สามารถพลิกแพลงได้ภายหลัง   จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากที่คุณต้องระวังและทำความเข้าใจในเงื่อนไขเหล่านั้นอย่างละเอียด
 
        คำแนะนำในการลดค่าธรรมเนียมของคุณ
เมื่อมั่นใจว่าคุณได้เปรียบเทียบบริษัทประกันภัย   แต่ละแห่งแล้ว   ควรถามพนักงานขายประกันถึงส่วนลดพิเศษที่คุณสามารถได้รับในกรณีต่าง ๆ เช่น
        1.การใช้รถในราคาไม่แพงมาก   สามารถลดเบี้ยประกันภัยได้
        2.บางบริษัทมีส่วนลดให้สำหรับ
           * รถที่ไม่ค่อยขับ
           * คนขับที่ไม่สูบบุหรี่
           *คนขับที่ไม่ดื่มเหล้า

        3.สำหรับครอบครัวที่มีรถมากกว่าหนึ่งคัน   หลายบริษัทมีนโยบายลดค่าเบี้ยประกันให้ถึง  15-20  เปอร์เซ็นต์

        4.บริษัทมักจะลดราคาสำหรับ

         รถขนาดเล็ก

              เครื่องยนต์ที่มีลูกสูบต่ำลงมา

            รถที่ติดตั้งถุงลมนิรภัย

             รถที่ติดระบบกันขโมย

            * เบรกแอนตี้ล็อก

             * ผู้ขับรถซึ่งมีประกาศนียบัตรเกี่ยวกับการขับรถปลอดภัย

              *นักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยสูงตามกำหนด

             *สตรีโสดที่มีอายุอยู่ระหว่าง   30-49  ปี

             * ผู้ขับรถที่มีปรระวัติดี  (ไม่เคยมีคดีเกี่ยวกับการชนมากกว่า  3  ปี)

              คนในบริษัท

        5.บริษัทประกันภัยโดยทั่วไปมักคิดค่าบริการไม่ต่างกันกับบริษัทคู่แข่ง

        6.ก่อนตกลงซื้อประกัน  ควรถามพนักงานขายถึงราคาเบี้ยประกันว่า   ตามนโยบายของบริษัทแล้วเบี้ยประกันจะสูงขึ้นไหม   หากรถคุณประสบอุบัติเหตุภายหลัง   เพื่อพิจารณาก่อนตัดสินใจ
        การเรียกค่าคุ้มครองเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุหรือสูญหาย
        การแก้ปัญหาหลังเกิดอุบัติเหตุมักทำให้เราต้องยุ่งยาก   สิ่งหนึ่งที่จะช่วยคุณได้คือ   ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้
        1.แจ้งความกับตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   เช่น  ถูกชนและมีคนบาดเจ็บ   หรือชนกับมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีประกัน
        2.แจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบโดยเร็วที่สุด   ทางบริษัทจะช่วยแก้สถานการณ์   และจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับคุณให้ทันที
        3.ถ้าตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย   แจ้งรายละเอียดทั้งหมดเพื่อลงในบันทึกประจำวัน
        4.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบและตอบข้อซักถามของเจ้าหน้าที่ประกัน
        5.ให้รายละเอียดและเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดแก่เจ้าหน้าที่ประกัน
        6.ถ้าคุณรู้สึกว่าการสอบสวนหรือการจัดการที่ได้รับไม่ยุติธรรมควรขอคำแนะนำจากทนายความก่อนนัดตกลงอีกครั้ง

ที่มา https://www.asnbroker.co.th